ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 225 ความวุ่นวาย(ปลาย)
คำพูดของสืออีเหนียงทำให้ให้คุณนายสี่หรี่ตาลงเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินแผนของหลัวเจิ้นซิ่ง
ไม่มีใครคิดที่จะพูดเรื่องนี้กับนาง
เช่นเดียวกับเมื่อวานที่อู่เหนียงดึงนางไปหาอี๋เหนียงสาม อู่เหนียงตำหนินางด้วยท่าทางไม่พอใจ ‘ถ้าอี๋เหนียงห้าให้กำเนิดบุตรชายแล้วยังมีสืออีเหนียงคอยหนุนหลัง เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นแม้แต่น้ำพวกเจ้าก็จะไม่มีดื่ม เจ้ายังจะดีใจแทนพวกนางอีก ทำไมไม่ลองใช้สมองคิดสักนิ’ พอถึงเวลาที่จะปรึกษากันว่าควรทำอย่างไรกลับไล่นางออกไป
ภรรยาจะสูงศักดิ์หรือต่ำต้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับฐานะของสามี
คำพูดของสืออีเหนียงนั้นหมายความว่าอย่างไร
กำลังอวดสถานะของนางกับตัวเองอย่างนั้นหรือ
คุณนายสี่อดเงยหน้ามองสืออีเหนียงไม่ได้
ดวงตาคู่งามของนางเป็นประกาย กำลังยิ้มแล้วมองมาที่ตัวเอง ไม่มีท่าทางโศกเศร้าแม้แต่นิด
คุณนายสี่หัวใจเต้นแรง
ตนเคยแอบสืบเรื่องของสืออีเหนียงผู้นี้ ได้แต่งงานกับหย่งผิงโหวผู้มีชื่อเสียง ในฐานะภรรยาตัวแทนของคุณหนูใหญ่ ทุกคนบอกว่านางมีนิสัยอ่อนโยน ใจกว้างต่อผู้อื่น ไม่เคยแข่งขันกับใคร เป็นที่ชื่นชอบของนายหญิงใหญ่ ตนสงสัยว่าในเวลานั้นคนเช่นนี้จะแย่งชิงกับอู่เหนียงและสือเหนียงที่หน้าตางดงามและอายุเหมาะสมกว่าไปแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหวได้อย่างไร แม้ว่าทุกคนจะบอกว่าเป็นเพราะนางอายุยังน้อย นายหญิงใหญ่จึงอยากให้นางช่วยดูแลจุนเกอไปอีกหลายปี แต่การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสกุลหลัว ต่อให้สกุลหลัวมีเจตนาเช่นนี้ แต่สกุลสวีที่มีบุตรชายภรรยาเอกเพียงคนเดียวก็คิดเช่นนี้เพื่อจุนเกออย่างนั้นหรือ สำหรับสกุลหลัวแล้ว จุนเกอถือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของหยวนเหนียง แต่สำหรับสกุลสวีแล้ว นั่นไม่ใช่ทางเลือกเดียวที่พวกเขามี
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของนาง คุณนายสี่ก็พลันเข้าใจทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นไม่ธรรมดา
ในเมื่อหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่หญิงสาวธรรมดา เช่นนั้นนางก็ไม่มีทางพูดจาไร้สาระแน่นอน
นางรวบรวมสมาธิ พิจารณาคำพูดเมื่อครู่ของสืออีเหนียงอย่างละเอียด
บอกตนเกี่ยวกับแผนในอนาคตของหลัวเจิ้นซิ่ง ให้นางรู้ว่าหลัวเจิ้นซิ่งให้ความสำคัญและพึ่งพาสวีลิ่งอี๋ เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก แต่ทำไมนางถึงพูดว่าสักวันพ่อตาจะกลับไปที่อวี๋หังกันเล่า
ไม่ช้าก็เร็วสกุลหลัวก็จะกลับไปที่อวี๋หัง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้
แม้แต่อู่เหนียงก็เคยพูดมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ให้หลัวเจิ้นเซิงอาศัยโอกาสที่ยังอยู่ที่เยี่ยนจิงตั้งใจเล่าเรียนกับอาจารย์ หากมีที่ใดไม่เข้าใจก็ให้ไปถามเฉียนหมิง อาศัยโอกาสนี้ไปมาหาสู่กับเฉียนหมิงบ่อยๆ การที่ญาติไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ก็จะสนิทกันมากขึ้น เมื่อเฉียนหมิงใกล้เรียนจบจอหงวน นางในฐานะพี่สาวก็จะได้พูดคุยกับเฉียนหมิงให้พาหลัวเจิ้นเซิงไปเข้ารับตำแหน่งได้
สิ่งที่อู่เหนียงกังวลก็คือเมื่อหลัวเจิ้นเซิงกลับอวี๋หังแล้วจะห่างเหินกับเฉียนหมิง แล้วสิ่งที่สืออีเหนียงกังวลนั้นคือสิ่งใด
ขณะที่กำลังครุ่นคิด หางตาของนางเหลือบไปเห็นก้อนอิฐสีเขียวที่อยู่ใต้เท้า
ตนลืมไปได้อย่างไรว่าตอนนี้พวกเรากำลังไปหาอี๋เหนียงห้า
คำตอบได้ปรากฏขึ้นในใจของคุณนายสี่ทันที
สิ่งที่สืออีเหนียงเป็นกังวลนั้นคืออี๋เหนียงห้า!
ว่าแต่เรื่องนี้เกี่ยวกับตนอย่างไรหรือ
อย่าลืมว่าหากอี๋เหนียงห้าได้อำนาจ คนที่โชคร้ายที่สุดก็คืออี๋เหนียงสาม แต่นายหญิงใหญ่อยากให้อี๋เหนียงสามเป็นคนช่วยดูแลเรื่องภายในจวน
สืออีเหนียงเห็นคุณนายสี่มีสีหน้าครุ่นคิด จึงลอบพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จริงสิ คราวที่แล้วข้าได้ยินที่หญิงห้าบอกว่าเดิมทีพี่สะใภ้สี่เป็นคนวางแผนให้พี่สี่ไปทำงานที่ห้องบัญชี เหตุใดพี่สะใภ้สี่ถึงได้คิดถึงเรื่องนี้ได้” น้ำเสียงฟังดูสบายๆ ราวกับนึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกประโยคนั้นมีความหมายแฝงลึกซึ้ง
แน่นอนว่าคุณนายสี่จะไม่รอดูอยู่เฉยๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจึงตัดสินใจไปก่อนแล้วค่อยหาโอกาสถอนตัวทีหลัง
สกุลหลัวเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในอวี๋หัง ตอนที่ไปสู่ขอนางบรรดาป้ารับใช้ผู้ดูแลเหล่านั้นกลับตรวจดูรายการสินเดิมอย่างละเอียด แม้แต่ด้ายเส้นเดียวก็ยังนับรวมไปด้วย ไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นนางก็มองออกแล้วว่าสกุลหลัวไม่เห็นนางอยู่ในสายตา จงใจทำให้นางลำบากใจในเรื่องนี้ รอดูความน่าขันของนาง อีกอย่างเหนือกว่านางก็ยังมีพี่ชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกท่าทางสง่างามและมีความรู้มากมายคอยกดนางอยู่ อีกคนหนึ่งที่คอยขวางทางนางอยู่ก็คือคู่ครองที่เหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยกของสกุลหลัว มีสินสอดทองหมั้นอย่างมากมาย และให้กำเนิดหลานชายคนโตของสกุลหลัว นางแค่อยากจะเอาอกเอาใจแม่สามี แต่เกรงว่าแม่สามีจะไม่ชอบที่นางมาป้วนเปี้ยนอยู่ตรงหน้า เมื่อนางแต่งเข้ามาแล้วได้เห็นสามีของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนทำอะไรไม่ได้เรื่อง นางเคยคิดอยากจะขอแยกจวนออกมา อาศัยโอกาสที่สามียังอายุน้อย อาศัยโอกาสที่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพื่อแยกออกมาจากจวน เมื่อก่อนตอนอยู่สกุลเดิม เรื่องในบ้านก็ต้องให้นางคอยสนับสนุน ในเมื่อนางสามารถประคองจวนนั้นไว้ได้ ก็สามารถประคองจวนนี้ได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นจวนนี้มีอำนาจมากกว่าจวนนั้นอยู่มาก
แต่จะบอกเรื่องนี้กับสืออีเหนียงไม่ได้
ลูกสะใภ้ที่พึ่งแต่งงานเข้ามาอยากจะออกไปใช้ชีวิตคนเดียวนั้นถือว่าอกตัญญู คนอื่นจะคิดว่าตัวเองไม่อยากรับใช้พ่อและแม่สามีที่อายุมากแล้ว
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “เพื่อสร้างรากฐานให้ครอบครัว ข้าก็เพียงแค่อยากจะหาอะไรให้พี่สี่ของเจ้าทำ”
สืออีเหนียงยิ้ม “เช่นนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องให้พี่สี่ไปทำงานที่ห้องบัญชี”
คุณนายสี่นึกขึ้นได้ว่าหลัวเจิ้นซิ่งยังต้องไปปรึกษากับหย่งผิงโหวเพื่อหน้าที่การงานในอนาคต…นางจึงอดที่จะถามไม่ได้ “คุณหนูหมายความว่าอย่างไร” หรือว่านางหวังว่าหลัวเจิ้นเซิงจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ น้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความยินดี
“พี่ใหญ่ยังไม่กังวลเลยว่าพี่สี่จะว่างงานอยู่ที่เรือน แล้วพี่สะใภ้สี่จะกังวลไปทำไมกัน” สืออีเหนียงยิ้มพลางมองคุณนายสี่ พูดคำพูดที่ไร้ประโยชน์ออกมา
เมื่อคุณนายสี่ได้ฟังก็รู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
นางคิดว่าสืออีเหนียงจะมีความคิดดีๆ ที่จะทำให้หลัวเจิ้นเซิงหลุดพ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้
ที่สืออีเหนียงถามก่อนหน้านี้ก็เพื่อให้คุณนายสี่คาดหวังต่อตัวเอง เช่นนี้คุณนายสี่จึงจะให้ความสำคัญกับคำพูดของนาง เมื่อนางเห็นว่าได้ผลจึงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่เป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอก กิจการของตระกูลก็อยู่ภายใต้การดูแลของท่านแม่ เมื่อลองคำนวณดูดีๆ ทุกคนต่างคิดว่าทั้งหมดเป็นของพี่ใหญ่ ต่อมาหากต้องแบ่งทรัพย์สินกัน ทรัพย์สินที่แบ่งนั้นก็เป็นของที่พี่ใหญ่สมควรได้รับ ดังนั้นข้าจึงบอกว่าในเมื่อพี่ใหญ่ไม่สนใจ พี่สะใภ้สี่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
ในตอนนี้คุณนายสี่ก็เข้าใจในทันที
ที่สืออีเหนียงพูดจาอ้อมค้อมไปมา ที่แท้ก็อยากจะบอกตนว่าต่อให้อี๋เหนียงห้าให้กำเนิดบุตรชายก็ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของนาง
เมื่อคิดดูดีๆ มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หลายปีมานี้กิจการของตระกูลล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของนายหญิงใหญ่ อนุย่อมไม่มีส่วนแบ่งในสินเดิมของนายหญิงใหญ่ จากความสามารถและความเฉลียวฉลาดของนายหญิงใหญ่ เกรงว่ากิจการของสกุลหลัวคงจะกลายเป็นสินเดิมของนายหญิงใหญ่ไปนานแล้ว บวกกับบุตรชายของภรรยาเอกที่ต้องรับหน้าที่บวงสรวงบรรพบุรุษ ซึ่งปกติแล้วจะแบ่งพื้นที่บวงสรวงเพิ่มให้อีกหนึ่งส่วน ต่อให้ไม่มีบุตรชายของอี๋เหนียงห้า แต่ดูจากนิสัยของนายหญิงใหญ่แล้วหลัวเจิ้นเซิงก็คงได้ส่วนแบ่งไม่มากนัก
ตอนที่ตนแต่งงาน จวนหย่งผิงโหวก็ให้เงินรับขวัญมาสามร้อยตำลึง บวกกับของขวัญต้อนรับของสกุลสวีอีกสองสามหาบ ทั้งหมดรวมเป็นเงินกว่าห้าร้อยตำลึง
พวกเขาอาจจะไม่เห็นค่าเงินเหล่านั้นอยู่ในสายตา
นางยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสิบเอ็ดพูดถูก ตราบใดที่พี่ใหญ่ไม่สนใจ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
การพูดคุยกับคนฉลาดนั้นไม่ต้องเสียแรงมาก
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม หันไปมองเรือนของอี๋เหนียงห้า
คุณนายสี่นึกถึงท่าทีของสืออีเหนียงในวันนี้ และนึกถึงฐานะของนาง…ไม่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจ แต่ก็ไม่ควรไปล่วงเกิน นางจึงแสดงเจตจำนงของตัวเอง “เรื่องของอี๋เหนียงห้าไม่มีสิ่งใดต้องกังวล เรื่องในเรือนมีอี๋เหนียงหกเป็นคนจัดการ ตอนนี้มีอี๋เหนียงหกคอยดูแลอี๋เหนียงห้าอยู่ เจ้าสามารถวางใจได้”
หมายความว่าหากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นก็เป็นความคิดของอี๋เหนียงหก ไม่เกี่ยวกับอี๋เหนียงห้า
สืออีเหนียงยิ้มอย่างสดใส
อี๋เหนียงหกเป็นคนที่ผ่านสนามรบมานับร้อย นึกถึงตอนนั้นที่นางต้องรับมือกับนายหญิงใหญ่และอี๋เหนียงสี่ แล้วยังต้องหาเวลาคอยจับตามองอี๋เหนียงห้า ขอเพียงแค่คุณนายสี่ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เหมือนกับอี๋เหนียงสามที่รู้จักแต่เอาอกเอาใจนายหญิงใหญ่ที่เอาแต่ใช้อำนาจข่มขู่รังแกผู้อื่น นั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง สืออีเหนียงมั่นใจในพลังการต่อสู้ของอี๋เหนียงหก
“พี่สะใภ้สี่พูดถูก” นางมองคุณนายสี่ตาปริบๆ “อี๋เหนียงของข้าเป็นคนมีนิสัยอบอุ่นและอ่อนโยน หากไม่มีอี๋เหนียงหกคอยช่วยเหลือ ข้าจะวางใจได้อย่างไร”
สืออีเหนียงไม่ลังเลที่จะโยนปัญหาไปให้อี๋เหนียงหก
ให้อี๋เหนียงสามกับอี๋เหนียงหกต่อกรกันสักตั้ง ไม่แน่อาจจะทำให้อี๋เหนียงสามได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างกันเร็วยิ่งขึ้น ให้อู่เหนียงหยุดความคิดลง ตอนนี้อี๋เหนียงสามกำเริบเสิบสานเพราะอู่เหนียงไม่ใช่หรือ
คุณนายสี่ปิดปากหัวเราะ
อู่เหนียงดูถูกนางทุกอย่าง เหยียบย่ำน้องสะใภ้ตัวเองอย่างไม่อ่อนข้อ พูดตามตรงก็เป็นเพราะเห็นว่าหลัวเจิ้นเซิงไร้ความสามารถอาศัยว่าตัวเองเป็นคนคอยอุ้มชูและมีอนาคตที่กว้างไกล มีเพียงหลัวเจิ้นเซิงที่จะต้องเป็นคนขอร้องนาง ไม่ใช่นางที่ต้องขอร้องหลัวเจิ้นเซิง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ให้อี๋เหนียงสามที่มีนางสนับสนุนมาต่อกรกับอี๋เหนียงหกที่มีสืออีเหนียงสนับสนุนดูสักตั้ง หากอี๋เหนียงสามชนะ ตัวเองก็มีผลไม่ได้ต่างอะไรไปจากตอนนี้ อย่างไรเสียสองแม่ลูกต่างก็ดูถูกตัวเอง แต่ถ้าหากอี๋เหนียงสามพ่ายแพ้ หลัวเจิ้นเซิงก็จะขาดอู่เหนียงกับอี๋เหนียงสามที่อยู่เบื้องหลัง แล้วต้องหันมาซื่อสัตย์กับตนมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน นางมีความสุขที่จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
ทั้งสองคนต่างคนต่างครุ่นคิดพลางเดินเข้าไปในห้องของอี๋เหนียงห้า
อี๋เหนียงหกกำลังปรนนิบัติอี๋เหนียงห้าทานข้าวเช้า เมื่อเห็นสืออีเหนียงกับคุณนายสี่เข้ามาพร้อมกัน ก็ไม่อาจปิดบังสีหน้าความประหลาดใจของตัวเองได้ คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะพูดเกลี้ยกล่อมให้ไท่ฮูหยินกับหย่งผิงโหวยอมให้นางกลับสกุลเดิมได้
นางยิ้มอย่างสนิทสนมมากกว่าเมื่อวาน “คุณหนูสิบเอ็ดทานอะไรมาแล้วหรือยัง พี่หญิงห้ากำลังทานโจ๊กอยู่พอดี คุณหนูสิบเอ็ดอยากได้สักชามหรือไม่ ข้าตื่นมาต้มด้วยตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่” จากนั้นก็ทักทายคุณนายสี่ “นานๆ ที่คุณนายสี่จะมา รีบนั่งลงก่อนเถิด”
เมื่ออี๋เหนียงห้าเห็นสืออีเหนียงก็ตกใจเช่นกัน “คุณหนูมาได้อย่างไร มาคนเดียวหรือมากับท่านโหว”
“ข้ามาคนเดียว พาเด็กๆ มาอวยพรตรุษจีนให้พี่ใหญ่กับพี่สี่ ท่านโหวมีธุระจึงไม่ได้มา” สืออีเหนียงตอบพลางเข้าไปพยุงอี๋เหนียงห้า “เมื่อวานพอกลับไปถึงท่านโหวก็บอกกับไท่ฮูหยินเรื่องที่ท่านตั้งครรภ์ ไท่ฮูหยินบอกว่าการเพิ่มสมาชิกให้จวนสามีนั้นเป็นเรื่องดี ซ้ำยังให้ข้านำเงินมามอบให้ท่านยี่สิบตำลึง ท่านโหวเองก็เตรียมยาสมุนไพรกับสายวัดตัวให้ข้านำมาด้วย ข้าได้ให้ของกับป้าหังบ่าวรับใช้เรือนคุณนายใหญ่แล้ว”
เมื่ออี๋เหนียงห้าได้ฟังเช่นนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วหันมาทักทายคุณนายสี่ “เชิญคุณนายสี่นั่งก่อนเถิด”
คุณนายสี่เห็นอี๋เหนียงหกทักทายเสียงดังแต่คนกลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน รู้ว่านางเพียงแค่กระตือรือร้นด้วยวาจาเท่านั้น นึกขึ้นได้ว่าหลัวเจิ้นเซิงเป็นบุตรชายของอี๋เหนียงสาม ส่วนสืออีเหนียงก็ตั้งใจมาเยี่ยมอี๋เหนียงห้าโดยเฉพาะ ตัวเองจึงไม่สะดวกที่จะอยู่ที่นี่ ยิ้มทักทายอี๋เหนียงห้าและอี๋เหนียงหกแล้วหันหลังเดินออกไป
คำพูดก็พูดไปหมดแล้ว ส่วนจะทำอย่างไรนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
สืออีเหนียงไม่ได้รั้งคุณนายสี่ไว้ ยิ้มพลางพยุงอี๋เหนียงห้าขึ้นเตียง “ท่านต้องพักผ่อนให้มากๆ นะเจ้าคะ”
อี๋เหนียงห้าพยักหน้าแล้วขึ้นเตียง
อี๋เหนียงหกอ้างว่าต้องนำจานกับตะเกียบไปเก็บที่ห้องครัว ทิ้งให้ทั้งสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกัน
สืออีเหนียงกระซิบกับอี๋เหนียงห้าว่า “อี๋เหนียงหกเป็นคนเรือนเดียวกันกับท่าน ข้ากับน้องหญิงสิบสองก็เติบโตมาในเรือนเดียวกัน อี๋เหนียงหกเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีความสามารถ หากมีเรื่องอันใดท่านก็ให้นางช่วยก็พอแล้ว”
อี๋เหนียงห้ารู้ถึงความร้ายกาจของอี๋เหนียงหกจึงพยักหน้าอย่างลังเล
สืออีเหนียงเห็นว่าอี๋เหนียงห้าไม่ได้เชื่อใจอี๋เหนียงหกมากนัก จากนิสัยของอี๋เหนียงห้า หากตัวเองบอกว่าได้ทำข้อแลกเปลี่ยนกับอี๋เหนียงหกแล้ว อี๋เหนียงห้าคงไม่ยินดีนักที่นางจะใช้สือเอ้อร์เหนียงมาเป็นเงื่อนไขในการแลกเปลี่ยน ยากที่จะพูดความจริงกับอี๋เหนียงห้าได้ จึงทำได้เพียงบอกนางว่า “อี๋เหนียงหกอยากจะเก็บสินสอดทองหมั้นให้น้องสิบสอง ข้ารับปากว่าจะจ่ายให้ส่วนหนึ่ง…”
อี๋เหนียงห้าเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่น เหตุผลนี้จึงทำให้นางเชื่อ นางพยักหน้าแล้วพูดกับสืออีเหนียงด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นเงินก้อนใหญ่หรือไม่ เจ้าอย่าทำให้ตัวเองต้องลำบาก”
“ตอนนี้ข้าเป็นฮูหยินหย่งผิงโหวแล้ว เงินจำนวนนี้ไม่ใช่ปัญหา” สืออีเหนียงปลอบใจอี๋เหนียงห้า “ท่านแค่ดูแลครรภ์ให้ดี ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าจะจัดการเองเจ้าค่ะ!”
ทั้งสองคนสนทนากันไม่กี่ประโยค อี๋เหนียงห้าก็เร่งให้นางกลับจวน “…คุณชายน้อยยังอยู่ที่เรือนหลัก”
สืออีเหนียงเห็นว่าเรื่องราวทั้งหมดได้อธิบายไว้เกือบหมดแล้ว จึงกำชับอีกสักหน่อยว่า “ท่านดูแลสุขภาพด้วย” จากนั้นก็ไปที่เรือนหลัก
อี๋เหนียงหกอดถอนหายใจไม่ได้ “พี่หญิงห้าอยู่ในเมฆมืดดำ เมื่อได้พบวันที่สดใสก็ต้องมีความสุขให้มากๆ” แต่ในใจรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย คำพูดที่พูดออกมาแฝงไว้ด้วยความอิจฉา