ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 224 ความวุ่นวาย(กลาง)
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า “พรุ่งนี้เป็นวันของท่านอา ก็ให้สืออีเหนียงพาอวี้เกอ จุนเกอ และเจี้ยเกอไปสร้างความวุ่นวายให้ท่านอาสักหน่อย!” แล้วยังให้ป้าตู้นำเงินยี่สิบตำลึงมามอบให้นาง “…ข้าให้เจ้า เอาไปให้อี๋เหนียงซื้อของอร่อยๆ ทาน”
สืออีเหนียงรีบย่อเข่าขอบคุณไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพยักหน้า มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหว ใต้เท้าหม่า หม่าจั่วเหวินจากคณะราชฑูตบอกว่ามีเรื่องด่วนจะพบท่านขอรับ”
คณะราชทูตเทียบเท่ากับราชเลขาของฮ่องเต้ หม่าจั่วเหวินกับสวีลิ่งอี๋มีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว การที่เขามาในเวลานี้ทำให้ทุกคนอดคิดว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องเด็กไม่ได้ ทันใดนั้นสายตาทั้งหมดก็จับจ้องไปที่สวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จึงหลบอยู่ด้านหลังสืออีเหนียงด้วยความหวาดกลัว
ฮูหยินห้าสังเกตสีหน้าของสวีลิ่งควน
เห็นว่าสีหน้าของสวีลิ่งควนเรียบเฉย พูดขึ้นมาว่า “พี่สี่ ข้าจะไปกับท่านเองขอรับ” ไม่หันไปมองเด็กแม้แต่นิดเดียว
ฮูหยินห้าจึงได้วางใจ
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสวีลิ่งควนใส่ใจเช่นนี้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับแล้วไปที่เรือนนอกกับเขา
ก่อนที่ทั้งสองคนจะไป คุณชายสามกับฮูหยินสามได้พาสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนกลับมาพอดี
คุณชายสามกับสวีซื่อเจี่ยนยังคงมีท่าทางปกติ หัวเราะคิกคักท่าทางดีใจเป็นอย่างมาก สวีซื่อเจี่ยนยังวิ่งไปเทียบอั่งเปากับจุนเกอว่าใครได้มากกว่ากัน จุนเกอเห็นว่าอั่งเปาของสวีซื่อเจี่ยนมากกว่าของตัวเอง ก็มีท่าทางร้อนรน ส่วนฮูหยินสามกับสวีซื่อฉินกลับมีสีหน้าไม่ดีนัก รอยยิ้มดูฝืนใจ สวีซื่อฉินยังส่งสายตาไปที่สวีซื่ออวี้อยู่เรื่อยๆ
สืออีเหนียงมองแล้วจดจำเหตุการณ์ในตอนนี้ เมื่อกลับไปถึงเรือนก็กำชับหู่พั่วว่า “ส่งคนไปดูคุณชายน้อยสอง แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายน้อยใหญ่” แล้วพูดต่อว่า “ที่แท้ข้าก็กังวลเรื่องการตั้งครรภ์ของอี๋เหนียงโดยเปล่าประโยชน์”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านก็ไม่ได้กังวลโดยเปล่าประโยชน์…” จากนั้นนางก็เล่าให้สืออีเหนียงฟังว่าอี๋เหนียงหกเป็นผู้ดูแลเรือนเพียงผู้เดียว แต่เวลามีเรื่องอะไรนายหญิงใหญ่กลับให้อี๋เหนียงสามเป็นคนจัดการ “แม้แต่สาวใช้ข้างกายของอี๋เหนียง อี๋เหนียงหกก็เป็นคนจัดหาให้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตั้งใจฟังอย่างละเอียด ยิ้มแล้วพูดว่า “โชคดีที่อี๋เหนียงไม่คิดชิงดีชิงเด่นในเรื่องนี้ สำหรับคนอื่นอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่สำหรับนางกลับถือว่าเป็นเรื่องดี”
หู่พั่วรู้สึกว่าอี๋เหนียงห้าเป็นคนขี้ขลาด นางจึงเห็นด้วยกับคำพูดของสืออีเหนียง
“แต่ว่าพรุ่งนี้เจ้าก็ยังต้องกลับไปที่ตรอกกงเสียนกับข้า” สืออีเหนียงพูดพืมพำ “มีบางเรื่องที่ควรจะพูดให้ชัดเจน”
หู่พั่วตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ” หันหลังเดินออกไปแล้วส่งคนไปที่เรือนสวีซื่ออวี้
สืออีเหนียงหยิบถุงเงินที่ไท่ฮูหยินให้มาจากใต้หมอน
ข้างในเต็มไปด้วยทองคำเม็ด
สืออีเหนียงให้ลี่ว์อวิ๋นนำไปคำนวณราคา ลี่ว์อวิ๋นมารายงานว่า “ทั้งหมดห้าสิบห้าตำลึงทองเจ้าค่ะ”
ทองห้าสิบห้าตำลึง มากสุดสามารถแลกเป็นเหรียญเงินได้ห้าร้อยห้าสิบตำลึง หรือน้อยสุดก็สามารถแลกได้สี่ร้อยสี่สิบตำลึง นางกำลังกลุ้มใจว่าปีนี้หิมะตกหนัก เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็จะต้องซ่อมแซมบ้านเรือนบนที่ดินที่เป็นสินเดิมของตัวเอง ทั้งยังต้องเตรียมเมล็ดพันธุ์และวัวไว้ไถพรวนดินในฤดูใบไม้ผลิ ในมือไม่มีเงินเลยสักตำลึง แต่พอนอนหลับตื่นขึ้นมาก็มีเงินอยู่ใต้หมอน…
หู่พั่วที่พึ่งกลับมาเห็นดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก “แบบนี้ฮูหยินก็ไม่ต้องกลุ้มใจแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า ส่งทองคำเม็ดให้หู่พั่วเก็บไว้ แล้วให้หู่พั่วปรนนิบัตินางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
สวีลิ่งอี๋ยังไม่กลับมา
สืออีเหนียงกับหู่พั่วปรึกษากันเรื่องจัดการไร่นาหลังจากฤดูใบไม้ผลิ “…ให้ฉังจิ่วเหอช่วยหาข้อมูล ดูว่าต้องใช้เงินทั้งหมดเท่าไร เมื่อพวกเรามีราคาในใจแล้ว จะได้จัดการได้ง่าย” ขณะที่พูดนางก็นึกถึงเจียงปิ่งเจิ้ง ก็พลันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ให้เขาช่วยดูว่าในเยี่ยนจิงมีกิจการใดบ้างที่สามารถทำได้ แต่เขากลับถูกใจร้านของคนอื่นและยุยงให้นางแย่งมา หรือไม่ก็บอกนางว่าผู้ดูแลของสกุลสวีมีหน้ามีตาเพียงใดเมื่ออยู่นอกจวน ให้นางช่วยหางานในจวนสวีให้ ต่อไปหากมีข่าวคราวเข้ามาเขาก็จะสามารถแจ้งข่าวให้ได้ แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่ใช้งานได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนติดตามของตน แต่ยังไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
หู่พั่วคิดว่าสืออีเหนียงกำลังเป็นห่วงเรื่องคุณชายน้อยสอง จึงปลอบใจนางเสียงเบาว่า “ฮูหยินวางใจได้ ไม่ว่าจะเป็นฟังถิงที่อยู่เรือนคุณชายน้อยใหญ่ หรือเหวินจู๋ที่อยู่เรือนคุณชายน้อยสอง ต่างก็ไปมาหาสู่กับข้าอยู่เป็นประจำ สนิทสนมกันเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” พูดพลางเผยให้เห็นความภูมิอกภูมิใจ “แม้กระทั่งข้างกายของเสี่ยวลู่จื่อ บ่าวก็มีคนคอยดูอยู่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงฟังแล้วก็หัวเราะ “เจ้าเป็นคนที่น่ากลัวเสียจริง!”
หู่พั่วหน้าแดง พูดพึมพำว่า “บ่าวทำเพื่อป้องกันเวยตู้เจี้ยนเจ้าค่ะ”
นายบ่าวพูดคุยกันอยู่นาน เห็นว่าใกล้เวลาเข้านอนแล้วแต่สวีลิ่งอี๋ก็ยังไม่กลับมา สืออีเหนียงอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงให้หู่พั่วส่งคนไปดูที่เรือนนอก หู่พั่วไปสักพักใหญ่กว่าจะกลับมา
“ฮูหยิน ได้ข่าวทางด้านคุณชายน้อยใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” นางยิ้มมุมปาก “เป็นข่าวที่ได้มาจากฟังถิง วันนี้ที่ฮูหยินสามกลับสกุลเดิม นางได้พูดถึงเรื่องแต่งงานของคุณชายน้อยใหญ่ นายหญิงใหญ่สกุลกานจะมอบคุณหนูสามสกุลกานบุตรสาวของคุณชายใหญ่ให้คุณชายน้อยใหญ่ แต่สุดท้ายกลับโดนฮูหยินสามปฏิเสธเจ้าค่ะ”
ที่ฮูหยินสามต้องการคือคุณหนูใหญ่สกุลกานเสียนเจี่ยเอ๋อร์ คุณหนูสามสกุลกานเป็นบุตรสาวของคุณชายใหญ่กับอนุภรรยา การที่นายหญิงใหญ่สกุลกานพูดเช่นนี้เท่ากับว่านางปฏิเสธการสู่ขอของฮูหยินสาม เช่นนั้น ฮูหยินสามกับสวีซื่อฉินคงไม่สบอารมณ์เพราะเรื่องนี้กระมัง ส่วนสวีซื่อฉินกลับยินดีที่จะเล่าเรื่องนี้ให้สวีซื่ออวี้ฟัง ดูแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดูจะสนิทสนมกันมาก
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิด สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
นางรีบเข้าไปต้อนรับ
มีเกล็ดหิมะติดอยู่บนเสื้อคลุมขนเตียวสีดำ
“ข้างนอกหิมะตกอีกแล้วหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงช่วยเขาถอดเสื้อคลุมออกพลางถามด้วยรอยยิ้ม
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ปีนี้เหมือนว่าหิมะจะตกอีกนาน” พูดพลางเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน
สืออีเหนียงชงชาด้วยตัวเอง ยกชามาพลางเอ่ยด้วยความเป็นห่วงว่า “ใต้เท้าหม่าพูดว่าอะไรบ้างหรือเจ้าคะ”
“เป็นกังวลว่าพรุ่งนี้ตุลาการจะยกเอาเรื่องบุตรมากล่าวฟ้องข้า” สวีลิ่งอี๋ท่าทางไม่สนใจ “รีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เจ้าต้องพาเด็กๆ กลับตรอกกงเสียน”
เรื่องที่ควรเตรียมการก็ได้เตรียมการไว้นานแล้ว แผนการรับมือก็ได้คิดไว้หมดแล้ว การกระทำขึ้นอยู่กับคน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับฟ้า เมื่อถึงเวลาก็ทำได้เพียงปรับตัวไปตามสถานการณ์ กังวลไปก็ไร้ประโยชน์
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบรับพลางปูเตียง สองสามีภรรยาพักผ่อนโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น สืออีเหนียงพาเด็กๆ ไปที่ตรอกกงเสียน
มีหญิงรับใช้สูงวัยคนหนึ่งไปรายงานที่จวนสกุลหลัวก่อนแล้ว เมื่อพวกเขามาถึง ก็มีซิวเกอพร้อมกับผู้ดูแลและบ่าวรับใช้มาต้อนรับ
ลูกพี่ลูกน้องเจอกันท่าทางดูสนิทสนมเป็นอย่างมาก เข้าไปคารวะนายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่ก่อนจากนั้นก็ไปคารวะหลัวเจิ้นซิ่งกับหลัวเจิ้นเซิง เด็กๆ ถูกพามาเล่นที่เรือนของซิวเกอ ส่วนคุณนายใหญ่นั่งอยู่เป็นเพื่อนสืออีเหนียงกับนายหญิงใหญ่
สืออีเหนียงไถ่ถามถึงสุขภาพของนายหญิงใหญ่ จากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่จะไปเยี่ยมเยียนอี๋เหนียงห้า “…แม้ว่าพระคุณที่ให้กำเนิดจะไม่สู้พระคุณที่เลี้ยงดูมา แต่ถึงอย่างไรนางก็อุ้มท้องข้ามา อีกอย่างไท่ฮูหยินก็ยังให้ข้านำเงินยี่สิบตำลึงมามอบให้อี๋เหนียง”
หากไม่จำเป็นจริงๆ นางก็ไม่อยากผิดใจกับนายหญิงใหญ่ ดังนั้นจึงใช้คำพูดที่อ่อนน้อมถ่อมตน
เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ฟังก็ตาเป็นประกาย มุมปากขยับเล็กน้อย
ป้าสวี่รีบยื่นหูไปใกล้ๆ นายหญิงใหญ่ ผ่านไปสักพักนางก็ยืนตัวตรง ยิ้มแล้วพูดว่า “นายหญิงใหญ่บอกว่าขอแค่คุณหนูสิบเอ็ดจดจำว่า ‘พระคุณที่ให้กำเนิดไม่สู้พระคุณที่เลี้ยงมา’ ก็พอแล้ว”
“ข้ายังจำความดีของท่านแม่ได้เสมอเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าจะดูแลจุนเกอให้ดีที่สุด”
นางใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อน
นายหญิงใหญ่ไม่ได้พูดอะไร
ทันใดนั้นในห้องก็พลันเงียบสงัด
คุณนายใหญ่เห็นดังนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะไปหาอี๋เหนียงห้าเป็นเพื่อนคุณหนูสิบเอ็ด”
เมื่อคืนนางได้บอกสามีเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว สามีกับนางคิดเหมือนกัน คิดว่าการที่อี๋เหนียงห้าตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้สืออีเหนียงใส่ใจสกุลเดิมมากขึ้น ดังนั้นวันนี้จึงแสดงความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
นายหญิงใหญ่กลับส่ายหน้าเบาๆ สายตาจับจ้องไปที่คุณนายสี่
คุณนายสี่ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ยังต้องจัดการเรื่องของคุณชายน้อยทั้งหลายอีก ข้าว่างๆ ไม่มีสิ่งใดทำ ให้ข้าไปหาอี๋เหนียงห้าเป็นเพื่อนคุณหนูสิบเอ็ดแทนจะดีกว่า”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย
คุณนายใหญ่ย่อมไม่ขัดเจตนาของแม่สามี ยิ้มแล้วไปส่งสืออีเหนียงกับคุณนายสี่ที่หน้าประตู จากนั้นก็หันกลับมา “ท่านแม่มีสิ่งใดจะกำชับข้าหรือเจ้าคะ”
เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ยินก็พยายามพูดอย่างยากลำบากว่า “เลี้ยง…ไม่อยู่เรือน…เจ้าต้อง ต้องป้องกัน”
แต่คุณนายใหญ่ไม่เห็นด้วย
ตั้งแต่ที่แม่สามีป่วย สภาพจิตใจไม่ดีทำอะไรก็ไม่มีเหตุผลเหมือนเมื่อก่อน
สนิทคือสนิท ห่างเหินคือห่างเหิน แต่กลับจะเลี้ยงดูคนที่ห่างเหินให้กลายเป็นคนสนิท ย่อมต้องพบกับความผิดหวัง อย่าลืมไปว่าการที่ได้รับความเคารพจากบุตรสาวอนุนั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว ท่านยังจะบังคับให้นางเห็นท่านเป็นแม่แท้ๆ ยกเว้นว่านางจะมีจุดประสงค์อื่น มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
แต่คำพูดนี้นางจะพูดกับแม่สามีที่โกรธจนล้มป่วยได้อย่างไร แน่นอนว่านางยิ้มตอบรับ “เจ้าค่ะ ข้าจะจำสิ่งที่ท่านแม่พูดไว้ในใจ”
ตอนนี้สืออีเหนียงกำลังพูดคุยกับคุณนายสี่ที่พานางไปหาอี๋เหนียงห้าอย่างสนิทสนม “พี่สะใภ้สี่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเยี่ยนจิงแล้วหรือยัง”
“ขอบคุณคุณหนูสิบเอ็ดที่เป็นห่วง” คุณนายสี่ยิ้มอย่างสดใส “ทุกอย่างดีหมดยกเว้นอากาศที่หนาวเกินไป ข้าไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไร”
“ข้าก็รู้สึกว่าอากาศหนาวเกินไป ไม่ค่อยชินเท่าไรเช่นกัน” สืออีเหนียงถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า “ยังดีที่พี่สะใภ้สี่มาพำนักที่เยี่ยนจิงเพียงชั่วคราว แต่ข้า…” ยังไม่ทันพูดจบก็ก้มหน้าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
คุณนายสี่ประหลาดใจ
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้น ฝืนยิ้มออกมา “พี่สะใภ้สี่อย่าได้ถือสาข้า ข้าคิดว่าหากวันหนึ่งท่านพ่อกลับอวี๋หัง พวกบรรดาพี่น้องที่อยู่ห่างกันเป็นพันลี้ก็ยากที่จะพบกัน ทิ้งข้าไว้คนเดียวที่เยี่ยนจิง จึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย”
เดิมทีคุณนายสี่เป็นคนเฉลียวฉลาด แต่พอได้ยินคำพูดนี้ของสืออีเหนียงก็อดตกใจไม่ได้ “พ่อสามีตัดสินใจกลับไปอยู่อวี๋หังหรือ”
เมื่อนางแต่งงานเข้ามาก็เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว สามีเป็นบุตรของอนุ ไม่มีความสามารถอะไรและไม่มีตำแหน่งในเรือน เวลามีเรื่องอะไรพ่อสามีก็เลือกที่จะปรึกษาผู้ดูแลแต่ไม่ปรึกษาสามีของตัวเอง คนในจวนก็ยิ่งไม่เห็นหลัวเจิ้นเซิงอยู่ในสายตา หากพ่อสามีตัดสินใจกลับไปอวี้หัง ก็เป็นไปได้ที่จะไม่บอกพวกเขาสักคำ
“ไม่ใช่หรอก” สืออีเหนียงส่ายหน้าเบาๆ “ศาลบรรพชนอยู่ที่อวี๋หัง ก่อนหน้านี้ท่านพ่อมารับตำแหน่งที่เยี่ยนจิง จึงได้มาเยี่ยมพี่หญิงใหญ่ด้วย ตอนนี้ท่านพ่อว่างงานอยู่ที่เรือน พี่หญิงใหญ่ก็เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ข้าวของเครื่องใช้ในเยี่ยนจิงก็ราคาสูง รอให้อาการป่วยของท่านแม่ดีขึ้น ไม่ช้าก็เร็วคงต้องกลับไปที่อวี๋หัง”
คุณนายสี่ก็คิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นการมาเยี่ยนจิงในครั้งนี้จึงไม่ได้นำของมามากนัก
“อีกอย่างเมื่อไม่กี่วันก่อนท่านโหวก็ถามพี่ใหญ่ว่ามีแผนอย่างไร หลังจากที่หลุดพ้นตำแหน่งราชบัณฑิตหลวงแล้วคิดจะรับตำแหน่งในกรมหกหรือไม่ แต่พี่ใหญ่กลับบอกว่าอยากจะออกไปอยู่ข้างนอก ท่านโหวจึงเกลี้ยกล่อมให้พี่ใหญ่อยู่ที่เยี่ยนจิงดีกว่า…” สืออีเหนียงพูดพลางสังเกตท่าทางของคุณนายสี่อย่างละเอียด
ในสกุลหลัวไม่มีใครเห็นหลัวเจิ้นเซิงอยู่ในสายตา และแน่นอนว่าย่อมไม่มีใครเห็นคุณนายสี่อยู่ในสายตาเช่นกัน นางอยากจะยืมคำพูดนี้มาบอกคุณนายสี่ว่าหลัวเจิ้นซิ่งที่สกุลหลัวมองเป็นความหวังในอนาคต เมื่อมีเรื่องอะไรก็จะปรึกษาหย่งผิงโหว เตือนสตินาง ให้นางตระหนักว่าระยะห่างระหว่างหลัวเจิ้นเซิงกับสวีลิ่งอี๋นั้นห่างกันมากเพียงใด
นางไม่เชื่อว่าวันนั้นที่อู่เหนียงลากคุณนายสี่ไปหาอี๋เหนียงสามก็เพื่อที่จะดูเสื้อผ้าที่อี๋เหนียงสามทำให้บุตรของอู่เหนียงที่ยังไม่เกิด ยิ่งไม่เชื่อว่าลูกสะใภ้ที่กล้าปะทะกับแม่สามีเมื่อเข้ามาในจวนจะเป็นคนที่ไร้ความปรารถนา
สืออีเหนียงใช้วิธีนี้บอกคุณนายสี่ว่าแทนที่จะสมรู้ร่วมคิดกับอู่เหนียงหรือหลัวเจิ้นเซิง ไม่สู้มาร่วมมือกับนางดีกว่า