ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 196 ความทุกข์ยาก(ต้น)
เมื่อส่งนายหญิงเฉียวออกไปแล้ว สืออีเหนียงก็ได้กลับเข้าไปในเรือนชั้นใน ก็เห็นสวีลิ่งอี๋ที่กำลังนอนอิงหมอนบนเตียงเตาริมหน้าต่างด้วยอาการเหม่อลอย
นางยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปรินชาให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงค่อยได้สติขึ้นมา หันไปถามนางว่า “เจ้าว่าส่งเด็กไปไว้ที่บ้านเกิดให้เซียงอี้ช่วยดูแลดีหรือไม่”
สืออีเหนียงพลันเห็นภาพหญิงร่างท้วมวัยกลางคนที่ดูสุขุมนิสัยดีคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในหัว
“นางเคยปรนนิบัติรับใช้ท่านแม่มาก่อน” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านโหวเองก็สนิทคุ้นเคย คงจะรู้นิสัยใจคอของนางเป็นอย่างดี ในเมื่อรู้สึกว่าเหมาะสม ก็คงจะไม่มีอะไรผิดพลาดหรอกเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋หยัดกายลุกขึ้น “ไป เราไปหาท่านแม่ด้วยกัน…เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบอกกล่าวกับผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ดี”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าเรื่องนี้ควรให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนไปปรึกษาหารือกับไท่ฮูหยินคนเดียวดีกว่า ตนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หากผู้หลักผู้ใหญ่ทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ก็พลอยแต่จะไปสร้างความลำบากใจให้กับผู้อื่นเสียเปล่า
“ท่านโหวไม่ไปดูเด็กเสียหน่อยหรือเจ้าคะ” นางพูดขึ้น “ได้ยินมาว่าไม่ยอมทานข้าว ข้าเองยังกังวลใจอยู่เลย”
สวีลิ่งอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ช่างเถิด! อย่างไรเสียอีกไม่กี่วันก็ต้องส่งเขาออกไปแล้ว”
ราวกับว่ากลัวการใกล้ชิดสนิทสนมอย่างไรอย่างนั้น
เหมือนฟ้าผ่ากลางหิน สืออีเหนียงจู่ๆ ก็เหมือนกับจะเข้าใจเรื่องบางอย่างขึ้นมา
มนุษย์เราล้วนอาศัยการใกล้ชิดสนิทสนมถึงเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมาได้
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นห่วงสถานการณ์ของเด็กคนนี้ แต่ก็แค่เรียกหู่พั่วมาถามไถ่ไม่กี่คำโดยที่ไม่ไปดูด้วยตัวเองเลย เห็นได้ชัดว่าเขากลัวจะสนิทสนมกับเด็กจนกลายเป็นความสัมพันธ์ขึ้นมา…
นางอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจเบาๆ
สวีลิ่งอี๋กลับรู้สึกว่าสืออีเหนียงนั้นผิดหวังในตัวเขา เขาลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “มิเช่นนั้น เจ้าไปดูเองเสียหน่อยดีหรือไม่ ส่วนข้าก็ไปหาท่านแม่ ไปพูดเรื่องนี้กับท่าน”
เดิมทีสืออีเหนียงก็ไม่ได้อยากไปอยู่แล้ว แน่นอนว่านางจะต้องตอบตกลงอยู่แล้ว
เมื่อส่งสวีลิ่งอี๋ออกไปเรียบร้อย นางก็ลังเลว่าจะไปดูเด็กดีหรือไม่ แต่จู่ๆ หู่พั่วก็วิ่งเข้ามา
สีหน้าของนางซีดเผือด ย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียงด้วยความเร่งรีบ จากนั้นก็ส่งสายตาให้กับสืออีเหนียง “ฮูหยิน พ่อบ้านไป๋ให้ข้ามาหาท่านเจ้าค่ะ”
พ่อบ้านไป๋ให้มาหา…ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของสืออีเหนียงก็คือ เกิดเรื่องขึ้นกับเด็กคนนั้น!
นางรีบพาหู่พั่วเข้าไปในห้องชั้นในทันที
หู่พั่วรอต่อไม่ไหวจึงรีบพูดขึ้นว่า “คุณชายน้อยเฟิ่งชิงหายไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ในหัวของสืออีเหนียงขาวโพลนไปหมด หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ “พูดให้ชัดเจนหน่อย หายไปแล้วหมายความว่าอย่างไร!” ใบหน้าของนางขาวซีดราวกับกระดาษก็ไม่ปาน
หู่พั่วพูดขึ้นเสียงต่ำว่า “บ่าวกำลังเอาของไปที่นั่น คุณชายน้อยเฟิ่งชิงก็หลบอยู่ในมุมเตียง ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรเขาก็ไม่ยอมทานอะไรเลย…จากนั้นพี่ตงชิงก็ออกความคิดเห็นว่าลองวางของกินไว้บนเตียงเตา เดี๋ยวเขาก็คงจะมาทานเอง พวกบ่าวก็เลยทำตามคำสั่งของพี่ตงชิง วางของกินไว้บนเตียงเตา ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทั้งคุณชายน้อยเฟิ่งชิงและของกินก็หายไปแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมา “เด็กไปแอบกินอยู่ในกองข้าวของตรงไหนสักที่กระมัง”
หู่พั่วรีบส่ายหน้า สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “พ่อบ้านไป๋ หลินปัวและจ้าวอิ่งก็มาช่วยกันหาแล้ว แต่ก็หาไม่เจอเลยเจ้าค่ะ”
จู่ๆ สืออีเหนียงก็นึกถึงคนซื้อเด็กที่หายตัวไปและยังหาไม่เจอจนถึงตอนนี้…
นางรู้สึกว่าเรื่องนี้คงจะบานปลายแล้ว
“เจ้าไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน แจ้งเรื่องนี้กับท่านโหวโดยที่ไม่ให้ผู้อื่นรู้เรื่อง” สืออีเหนียงสีหน้าเคร่งขรึม แววตาเต็มไปด้วยความสุขุม พลอยทำให้หู่พั่วรู้สึกอุ่นใจไปด้วย “ข้าจะไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น”
ถึงแม้ว่าหู่พั่วจะไม่รู้เรื่องนี้เท่าสืออีเหนียง แต่เด็กอายุสามขวบคนหนึ่งหายตัวไปจากเรือนปั้นเย่ว์พั่น ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็น่าแปลกใจเหลือเกิน
นางจึงรีบพยักหน้ารับรู้
“สูดลมหายใจแล้วตั้งสติ อย่าให้ผู้อื่นจับพิรุธได้” สืออีเหนียงกำชับหู่พั่ว ส่วนนางเองก็ได้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว คิดมากไปก็ไม่เกิดประโยชน์ สิ่งเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือรีบคิดหาวิธีจัดการรับมือกับปัญหา
เมื่อคิดเช่นนี้ จิตใจพลันสงบลงในทันที
สืออีเหนียงเดินออกไปพร้อมกับหู่พั่วด้วยสีหน้าท่าทีที่ปกติ จากนั้นก็ให้สาวใช้ไปตามจู๋เซียงมา
“พวกนางกำลังเก็บข้าวของอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น พวกเราก็ไปดูด้วยเสียหน่อย” สืออีเหนียงพูดขึ้นกับจู๋เซียงด้วยรอยยิ้ม
จู๋เซียงเองไม่ได้เอะใจอะไร นางยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “บ่าวอยากไปดูอยู่ตลอด ฮูหยินเองก็อยากไปดูหรือเจ้าคะ”
“ใช่สิ!” สืออีเหนียงพูดคุยกับนางพลางพานางและหู่พั่วไปยังสวนดอกไม้ หู่พั่วแยกจากสืออีเหนียงที่ประตูสวนดอกไม้ จากนั้นก็เดินเรียบผนังทางเดินที่มีหน้าต่างตรงไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน ส่วนสืออีเหนียงก็พาจู๋เซียงเดินผ่านประตูศาลาปี้อีขึ้นไปบนระเบียงทางเดินหินกรวดทางทิศตะวันออก ผ่านศาลาชุนเหยี่ยนถิง จากนั้นก็เดินเรียบไปตามทางเดินที่แคบเล็กข้างเนินเขา
จู๋เซียงเก็บสีหน้าไม่แสดงออกแต่อย่างใด เมื่อเห็นว่าทั้งสองข้างทางมีกิ่งหนามยื่นออกมาเป็นพักๆ นางจึงเดินนำหน้าสืออีเหนียงไปก่อน ไม่นานก็เห็นคลองน้ำที่ค่อนข้างกว้างหนึ่งสาย และเหนือคลองก็มีกระดานไม้สีแดงพาดอยู่ด้วย
นี่ก็คงจะเป็นสะพานทางเข้าหลังสวนดอกไม้ที่ลี่ว์อวิ๋นพูดถึง ทางเดียวที่สามารถเข้าไปในเรือนปั้นเย่ว์พั่นได้
นางหันไปประคองสืออีเหนียง “ฮูหยิน ระวังเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็มองสังเกตเรือนที่มุงด้วยหญ้าคาทั้งสามหลังใต้เนินเขาข้างหน้านั่น
รอบๆ ถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ กำแพงรั้วที่ทำขึ้นจากดินเหนียวผสมฟางข้าว ด้านในแบ่งสัดส่วนชัดเจน บ่อน้ำบาดาลก่อจากก้อนหิน กว้านน้ำที่ทำขึ้นจากไม้ต้นหลิว มีครบไปเสียทุกอย่าง หากเลี้ยงห่าน เป็ดหรือไก่เสียหน่อย ก็คงจะหน้าตาเหมือนลานสวนที่บ้านนอกไม่มีผิด
ทั้งสองรีบเดินไปถึงประตูรั้ว ขณะที่กำลังจะขานเรียกนั้น ก็มีเด็กหนุ่มอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีออกมาพอดี เมื่อเขาเห็นสืออีเหนียงก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ฮูหยิน ท่านมาแล้วหรือขอรับ”
เป็นจ้าวอิ่ง…
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย
จ้าวอิ่งรีบสาวเท้ามาเปิดประตูรั้ว “กลัวว่าคุณชายน้อยเฟิ่งชิงจะหลบอยู่ตรงไหนสักที่ ก็เลยลงกลอนประตูรั้วไว้ขอรับ” เขารีบอธิบาย
“ระมัดระวังและรอบคอบไว้ดีกว่าเสมอ!” สืออีเหนียงตอบรับพลางเดินเข้าไปในเรือนปั้นเย่ว์พั่นพร้อมจ้าวอิ่ง
ด้านในค่อนข้างแตกต่างจากด้านนอก หลังคามุงหญ้าคาและปูพื้นด้วยหินกรวด หน้าต่างทำด้วยกระจก ในตู้ชั้นวางมีเครื่องเรือนที่ทำจากไม้หวงลี่วางประดับอยู่
พ่อบ้านไป๋และหลินปัวรีบออกมาคารวะทันที
สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า “ค้นหาที่ใดไปบ้างแล้ว”
หว่างคิ้วของนางมีความน่าเกรงขาม พลอยทำให้พ่อบ้านไป๋และหลินปัวชะงักและรู้สึกอึ้งไปตามๆ กัน พ่อบ้านไป๋จึงค่อยพูดขึ้นว่า “ค้นหาหมดแล้ว ตอนนี้กำลังเตรียมจะไปค้นหาด้านนอกของเรือนขอรับ” เพิ่งพูดจบ ตงชิงและปินจวี๋ก็เดินออกมาจากห้องทางทิศตะวันออกด้วยสีหน้าท่าทีที่รู้สึกผิด ดวงตาของทั้งสองบวมและแดงราวกับผลท้อ
“ฮูหยิน เป็นความผิดของพวกบ่าวเอง” ทั้งสองคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย “ที่ไม่ได้รับผิดชอบสิ่งที่ท่านมอบหมายให้ดีเจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด!” ตอนนี้มานั่งถามหาความผิดจะมีประโยชน์อันใด สิ่งสำคัญก็คือทุกคนควรจะร่วมด้วยช่วยกันหาคนให้เจอถึงจะถูก
จู๋เซียงเดินเข้าไปช่วยประคองทั้งสองให้ลุกขึ้น
สืออีเหนียงให้พ่อบ้านไป๋ หลินปัวและจ้าวอิ่งพาเดินสำรวจพื้นที่ในเรือน
ห้องทางทิศตะวันออกคือห้องหนังสือ ล้วนเป็นชั้นหนังสือทั้งหมด บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างมีโต๊ะสี่เหลี่ยมวางตั้งอยู่ บนโต๊ะมีตำรา ‘หัวใจพระสูตร’ เล่มหนึ่งวางอยู่ ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นหอนอน เตียงในห้องเป็นเตียงไม้หนานมู่ลายฉลุที่มีหลังคาแบบหกเสา แขวนด้วยม่านเตียงผ้าไหมทอกึ่งใหม่กึ่งเก่าสีน้ำเงินหิน ที่นอนสีม่วงน้ำเงิน ผ้านวมสีน้ำเงินสด ที่ข้างเตียงเป็นฉากบานพับที่ทำจากไม้กฤษณา ประตูสี่บานพับตั้งสูงตระหง่าน ที่ผนังห้องมีกระบี่หลงเฉวียนแขวนอยู่ ที่ริมหน้าต่างมีพิณกู่ฉินวางตั้งอยู่ด้วย
“เด็กหายไปจากตรงไหน” สืออีเหนียงถามขึ้น
ตงชิงพูดขึ้นเสียงพึมพำว่า “หายตรงหอนอนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงกวาดตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ไม่พบกับประตูหลังเลย จึงหันไปถามจ้าวอิ่งว่า “นอกจากประตูรั้วที่เราเดินเข้ามาเมื่อครู่นี้ ยังมีทางอื่นที่สามารถออกไปได้อีกหรือไม่”
จ้าวอิ่งนำทางสืออีเหนียงเดินออกจากประตูไป ขณะที่กำลังยืนบนขั้นบันได จ้าวอิ่งก็ได้ชี้ไปทางเดินหินกรวดที่อยู่ข้างเนินเขา “ออกจากตรงนี้จะไปทะลุช่องกำแพงของเรือนนอก พ้นจากช่องกำแพงมุ่งตรงไปทางทิศตะวันตก ก็จะเจอประตูข้าง พ้นจากประตูข้างก็จะเป็นเรือนนอก แต่ปกติแล้วประตูบานนี้จะลงกลอนไว้ตลอด มีแต่บ่าวและหลินปัวที่มีกุญแจ” พูดจบก็ล้วงเอากุญแจทองแดงออกมาทั้งพวง “นี่เป็นของบ่าวขอรับ”
หลินปัวที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินแล้วก็รีบนำกุญแจทองแดงที่ห้อยอยู่ตรงคอขึ้นมาให้สืออีเหนียงดู “ส่วนนี่เป็นของบ่าวขอรับ”
“เมื่อครู่นี้พวกบ่าวก็ได้ไปดูแล้ว กลอนประตูข้างยังอยู่เหมือนเดิมไม่ได้ขยับ ตำหนิที่เคยทิ้งไว้เมื่อครั้งที่แล้วก็ยังอยู่ขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องพร้อมหลินปัว จ้าวอิ่ง พ่อบ้านไป๋ จู๋เซียงและคนอื่นๆ
สืออีเหนียงหันไปสั่งกับจู๋เซียงว่า “เจ้าไปนำพู่กัน หมึกและก็กระดาษมาหน่อย จดสถานที่ทั้งหมด ที่ที่ทุกคนเคยค้นหาลงบนกระดาษ ดูว่ามีตรงไหนที่ตกหล่นหรือไม่ จากนั้นก็แบ่งเป็นจุดๆ แยกย้ายกันค้นหาใหม่ เด็กไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่ขยับและวิ่งเป็น” จากนั้นก็หันไปหาพ่อบ้านไป๋ “เรื่องนี้คงต้องรบกวนพ่อบ้านไป๋ช่วยตรวจสอบ บอกว่าของที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นหาย ขอให้พ่อบ้านไป๋ไปช่วยสอบถาม นอกจากเราไม่กี่คนนี้แล้ว ยังมีคนอื่นเข้ามาในเรือนปั้นเย่ว์พั่นหรือไม่ อีกครึ่งชั่วยามท่านค่อยกลับมาบอกข้า หากข้าเข้าใจสถานการณ์ชัดเจน ก็จะได้วางแผนและจัดการได้ง่ายขึ้น”
พ่อบ้านไป๋เห็นสืออีเหนียงพูดจาเสียงแผ่วเบามาโดยตลอด แต่พอลงมือทำอะไรขึ้นมากลับมีระบบระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน พูดจาฉะฉานชัดเจน แม้ว่าจะเป็นตัวเขา ก็คงจะทำได้เพียงแค่จัดการวางแผนอย่างนี้ไปก่อน พลันนึกไปถึงท่านโหวที่ย้ายข้าวของเครื่องใช้ประจำวันไปที่เรือนหลักจนหมด…จึงโค้งตัวพร้อมกับขานตอบ “ขอรับ” จากนั้นก็ไปตรวจสอบที่พักของเหล่าบรรดาผู้ดูแลทันที
จู๋เซียงรีบไปรินชาร้อนมาให้สืออีเหนียงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ไปรวมตัวกับปินจวี๋ ตงชิง หลินปัวและจ้าวอิ่ง จดพื้นที่ที่ได้ทำการค้นหาไปแล้วลงบนกระดาษ
“ใต้เตียง หลังม่านเตียง หลังฉากบานพับ ในตู้ทรงสูง ใต้โต๊ะทำงาน…”
ดูเหมือนว่าที่ที่พอจะหาได้ก็หาจนครบแล้ว
สืออีเหนียงถามจ้าวอิ่งว่า “ใครรับผิดชอบห้องทิศตะวันออก ใครรับผิดชอบห้องทิศตะวันตก แล้วใครรับผิดชอบห้องโถง”
จ้าวอิ่งตอบกลับว่า “แม่นางตงชิงและแม่นางปินจวี๋รับผิดชอบห้องทิศตะวันตก บ่าวและหลินปัวรับผิดชอบห้องทิศตะวันออก แม่นางหู่พั่วและพ่อบ้านไป๋รับผิดชอบห้องโถงขอรับ”
“ดี ตอนนี้ให้ตงชิงและจ้าวอิ่งรับผิดชอบห้องโถง ปินจวี๋และจู๋เซียงรับผิดชอบห้องทิศตะวันออก ส่วนหลินปัวรับผิดชอบห้องทิศตะวันตก ทุกคนออกไปช่วยกันค้นหาอีกรอบ”
ทั้งหกขานรับอย่างพร้อมเพรียง ค้นหาทั้งสามห้องใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังคงหาไม่เจอเหมือนเดิม
ภายใต้การดูแลรับผิดชอบของคนเข้มงวดเช่นพ่อบ้านไป๋ก็ยังไม่เจออะไรเลย จึงเป็นไปไม่ได้ว่าตัวเองออกหน้าแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง สืออีเหนียงคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก เพียงแต่ว่าเรื่องนี้สำคัญหนักหนา หากตนไม่ลงมือค้นหาเองสักรอบก็จะไม่วางใจ
ตอนนี้ดูแล้วคงจะต้องรอข่าวคราวจากพ่อบ้านไป๋เท่านั้นแล้ว
ทุกคนต่างพากันท้อและถอดใจกันหมด โดยเฉพาะตงชิงและปินจวี๋ ราวกับมะเขือที่โดนปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งก็ไม่ปาน…ห่อเหี่ยวไปเสียหมด
เพราะในตอนแรก ตงชิงเป็นคนออกความคิดเห็น ปินจวี๋เป็นคนเออออเห็นด้วย หากจะลำดับซักถามความผิด พวกนางก็คือคนร้ายที่ทำความผิด
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นอย่างปลอบโยน พลางพูดกับทุกคนว่า “นั่งลงพักผ่อนก่อนเถิด! ยุ่งวุ่นวายมาครึ่งค่อนวัน ทุกคนคงจะเหนื่อยกันแล้ว” จากนั้นก็หันไปสั่งจู๋เซียงให้รินน้ำชาสักถ้วยให้กับทุกคน “จะได้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง แล้วพวกเราค่อยไปค้นหาต่อ”
ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ควรจะยิ่งต้องสุขุมใจเย็น เวลานี้ไม่ควรมานั่งหาผู้รับผิดชอบก่อน มันจะพลอยทำให้ทุกคนเสียกำลังใจ ประเดี๋ยวยังต้องตามหาคน มิฉะนั้นทุกคนจะพากันกลัวการรับผิดชอบ ไม่มีใจจะสร้างผลงาน ขอแค่ไม่มีส่วนรับผิดชอบเป็นพอ แน่นอนว่าคงจะไม่ตั้งอกตั้งใจพยายามอย่างเต็มที่เป็นแน่
จู๋เซียงรินน้ำชาอย่างคล่องแคล่วว่องไว
นอกจากตงชิงและปินจวี๋ที่สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่ สีหน้าของคนอื่นๆ ดูผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
แต่ในหัวของสืออีเหนียงกลับไม่หยุดครุ่นคิด
นางรู้สึกว่าหากถูกคนอื่นลักพาตัวไป เช่นนั้นคนที่มาลักพาตัวก็ไม่ควรสร้างความลำบากโดยการนำอาหารไปด้วย
แต่ก็ค้นหาจนครบทุกที่หมดแล้ว หากไม่ถูกลักพาตัวไป จะลอยหายไปในอากาศได้หรืออย่างไรกัน
เมื่อความคิดเช่นนี้แล่นผ่านในหัว นางก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนหลังคา
อาจเป็นเพราะต้องการความเรียบง่ายแบบเรือนหญ้าคา เรือนปั้นเย่ว์พั่นจึงไม่ได้ทำฝ้าเพดาน เพียงแค่ทาสีดำเงาลงบนเสาที่โผล่พ้นออกไปด้านนอกเท่านั้น
“หลินปัว จ้าวอิ่ง พวกเจ้าตามข้ามา!”
ทั้งสองรีบวางถ้วยชาลง จากนั้นก็รีบเดินตามสืออีเหนียงไปยังห้องทิศตะวันตกของหอนอนของสวีลิ่งอี๋
“พวกเจ้าลองปีนขึ้นไปดู” สืออีเหนียงชี้ไปที่ด้านบนของเตียงไม้หนานมู่หัวเตียงลายฉลุที่มีเสาหกต้น
ทั้งสองอึ้งไปชั่วขณะ และไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา
หลินปัวรีบยกเก้าอี้ไม้มาอย่างรวดเร็ว จ้าวอิ่งก็ปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ จากนั้นก็กอดเสาเขย่งเท้ามองไปยังด้านบนของเตียง
“ฮูหยิน!” เขารีบหันหน้ามาพลางแสดงสีหน้าดีอกดีใจ “คุณชายน้อยเฟิ่งชิงอยู่ด้านบนขอรับ”