ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 168 การเปลี่ยนแปลง(ปลาย)
ไท่ฮูหยินหลับตาลง ไม่รู้สึกถึงความสุขทุกข์ของนาง “แล้วเจ้าว่าอย่างไร”
“ข้าบอกว่าฮองเฮาฟังของฮ่องเต้เหรินจง คือฮองเฮาองค์ก่อนของฮ่องเต้เหรินจงที่ให้กำเนิดฮ่องเต้เซี่ยวจง วันหนึ่งฮ่องเต้กับฮองเฮานั่งอยู่ด้วยกัน เพราะกุ้ยเฟยแซ่หูหยอกล้อฮ่องเต้ ฮองเฮาจึงโมโหขว้างแก้วใส่ ฮ่องเต้กริ้วมาก จึงให้ออกจากตำแหน่งแล้วออกจากพระพระตำหนักฉังอันไป ประทานนามให้ว่านักพรตจิ้งฉือ ส่วนหูกุ้ยเฟยได้ถูกแต่ตั้งเป็นฮองเฮา ไม่ถึงหนึ่งปีนักพรตจิ้งฉือก็สิ้นชีวิต และพิธีศพได้ทำตามธรรมเนียมของนางสนมใน ถูกนำไปฝังที่ภูเขาทอง เมื่อเซี่ยวจงขึ้นครางราชย์ อยากนำป้ายชื่อของพระมารดาไปไว้ที่เม่าหลิง แต่ขุนนางกลับปรึกษากันว่าให้ทำพิธีพร้อมกับฮ่องเต้เหรินจง จะได้ทำพร้อมกันไปเลยทีเดียว เซี่ยวจงอายุยังน้อย เรื่องใหญ่ในราชสำนักมักจะถูกตัดสินโดยไทเฮาหู เซี่ยวจงเกรงกลัวอำนาจจึงทำได้เพียงนำป้ายของฮองเฮาฟังมาไว้ที่พระตำหนักเฟิ่งฉือ ส่วนฮองเฮาเฉินของฮ่องเต้เซี่ยวจง ถูกปลดเหลือเพียงตำแหน่งพระสนมเพราะไม่สมกับเจตนารมณ์ของไทเฮาหู นางมีพระโอรสสองพระองค์ พระองค์แรกทรงป่วยหนักจนสิ้นพระชนม์ อีกพระองค์หนึ่งก็จมน้ำจากไป พิธีศพถูกจัดตามธรรมเนียมของนางกำนัลฝังไว้ที่อันหยวน ตรงข้ามกันกับฮองเฮาเกาของฮ่องเต้อิงจง แม้ว่าจะไม่มีพระโอรสหรือพระธิดา แต่นิสัยดีมีคุณธรรม กตัญญูและอ่อนโยน ทรงเลี้ยงดูฮ่องเต้ซื่อจงอย่าทะนุถนอม จึงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เมื่อซื่อจงขึ้นครองราชย์ ก็เห็นไทเฮาเกาเป็นดั่งมารดาผู้ให้กำเนิด หลังจากที่พระนางสิ้นพระชนม์แล้วก็ได้ถวายเกียรติยกย่องให้เป็นฮองเฮาที่มีความซื่อสัตย์ กตัญญู มีคุณธรรม และถูกฝังไว้กับเซี่ยวจงที่ไท่หลง มีสถานที่บูชาอยู่ที่วัดไท่เมี่ยว” ฮูหยินสองพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“จะถูกฝังไว้กับฮ่องเต้แล้วมีสถานที่บูชาที่วัดไท่เมี่ยว หรือจะเลือกฝังหลุมศพไว้ที่พระตำหนักเฟิ่งฉือ ก็ขึ้นอยู่กับว่าฮองเฮาจะทรงเลือกอย่างไร”
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้าลึก
คำพูดนี้ช่างกล้าหาญและเฉียบคเสียจริง…ทำให้คนฟังรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋อย่างอดไม่ได้
เห็นว่าเขากำลังขมวดคิ้วอยู่เล็กน้อย
แต่ไท่ฮูหยินกลับมีสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยเสียงเรียบว่า “ฮองเฮาตรัสว่าอย่างไร”
“ฮองเฮาทรงฟังแล้วแต่ก็ไม่ได้ตรัสสิ่งใดเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองสีหน้าเคร่งเครียด คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “ฮองเฮาสีหน้าเรียบเฉยดุจกระดาษขาว ทรงเอ่ยถามอาการของตานหยางแล้วก็จากไป”
ใช่สิ สิ่งที่ควรถามก็ถามแล้ว สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว…นอกจากความเงียบแล้วยังจะเกิดอะไรขึ้นได้อีก!
แต่ในใจของสืออีเหนียงพลันโศกเศร้าขึ้นมา
ทำไมประสบการณ์การเติบโตของสตรีมักจะต้องจ่ายด้วยราคาแพงเช่นนี้
บางทีความไร้เดียงสาอาจจะทำให้มีความสุขยิ่งกว่ากระมัง!
ระหว่างทางกลับเรือน สวีลิ่งอี๋เหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด สืออีเหนียงเองก็กำลังครุ่นคิดอยู๋เช่นกัน นางคิดมาตลอดว่าชีวิตของฮองเฮาช่างราบรื่นยิ่งนัก ไม่ใช่ว่านางไม่เคยผ่านประสบการณ์อะไรมา แต่เป็นเพราะว่านางมีความรักของสามี ลูกๆ ของนางสุขภาพแข็งแรง นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับสตรีที่ไม่มีความทะเยอทะยาน แต่ตอนนี้นางต้องเผชิญกับทางเลือก ด้านหนึ่งเป็นพระสวามี อีกด้านหนึ่งเป็นพระโอรส รวมถึงสกุลเดิมของนางด้วย ไม่ว่านางจะเลือกทางใดก็ล้วนเจ็บปวดทั้งสิ้น
ทั้งสองกลับห้องไปล้างหน้าล้างตาอย่างเงียบๆ สวีลิ่งอี๋พลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวมีอะไรอยากจะคุยกับข้าหรือไม่เจ้าคะ”
สวิลิ่งอี๋ลุกขึ้นมานั่ง “ข้าไม่มีอะไรจะพูด” แต่กลับแสดงท่าทางเหมือนมีเรื่องจะพูดอีกยาว
สืออีเหนียงรู้สึกขบขัน ความไม่สบายใจในก้นบึ้งของหัวใจพลันเบาบางลงมาก
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจ “ฮองเฮาอายุมากกว่าข้าสองปี…”จากนั้นก็หยุดลง ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดต่อไปอย่างไรดี
จู่ๆ ก็พูดถึงฮองเฮา คงจะเป็นห่วงนางกระมัง
ดังนั้นจึงนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา
ว่ากันว่าสวีลิ่งเฉินแต่งงานตอนอายุสิบสี่ปี ไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดีเพียงใด แต่ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันก็มีแค่ตอนเยาว์วัยเท่านั้น
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนเด็กๆ มีใครเคยสอนการศึกษาปฐมวัยให้ท่านหรือไม่เจ้าคะ”
การศึกษาปฐมวัยเป็นตำราความรู้ที่ค่อยๆ แพร่หลายมากขึ้นในต้าโจว
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็พูดพึมพำว่า “เคย ก่อนที่เซียวเฉาจะมาเป็นอัครเสนาบดีของฮั่นเกา ก็มีชาติกำเนิดมาจากดาบและพู่กัน จี๋อั้นอัครเสนาบดีของฮ่องเต้ฮั่นอู่ ขุนนางคนสำคัญในราชสำนักที่ให้ท่านลุงขึ้นปกครองแทนเหวินอ๋อง เขาเคยพำนักอยู่ใต้ต้นกานถัง คนรุ่นหลังนั้นรักและเคารพเขาจึงไม่อาจโค่นต้นไม้ลงได้ ขงเบ้งมีความสามารถในการปกครองประเทศ ใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ในป่า หลิวเป่ยชื่นชมในชื่อเสียงของเขาจึงมาขอคำชี้แนะถึงสามครั้ง นี่เป็นสิ่งที่พี่หญิงข้าเล่าให้ฟัง…”
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าเขาพูดว่า ‘พี่หญิง’ ไม่ใช่ ‘ฮองเฮา’
ในครอบครัวเชื้อพระวงศ์นั้นให้ลำดับความสำคัญกับเชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารก่อน แล้วค่อยตามด้วยเครือญาติ
บางครั้งความสัมพันธ์ของเชื้อพระวงศ์กับข้าราชบริพารก็มักจะไปกดความสัมพันธ์ของเครือญาติ จนกระทั่งทำให้ความสัมพันธ์แปรเปลี่ยนไป
“ตอนนั้นข้าคิดอยู่ว่าหากข้าเป็นขงเบ้งจะดีแค่ไหน สามารถวางท่าต่อหน้าฮ่องเต้ได้ สามารถทำให้แคว้นสงบลงได้ สามารถมีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์ได้…”
เขามองไปบนยอดมุ้ง สีหน้าอ่อนโยนเป็นอย่างมาก “ตอนนั้นแม้แต่การเขียนพู่กันตัวเอียงด้วยหมึกสีแดงข้าก็ยังเขียนได้ไม่ดี อาจารย์บอกว่าข้าไล่ตามเป้าหมายที่สูงเกินไป คนในห้องเรียนสกุลอื่นๆ ก็หัวเราะข้าที่ฝันกลางวัน มีแต่พี่หญิงที่ชมว่าข้ามีความทะเยอทะยานแล้วยังบอกอีกว่าความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวเองต้องมีความสามารถ ให้ข้าตั้งใจเรียนรู้กับอาจารย์ให้มาก ให้รู้จักตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้า ลองอ่านหนังสือเล็กๆ น้อยๆ ก่อน ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ ต่อไปก็สามารถทำเรื่องใหญ่ได้…”
“ข้ายังจำได้ ตอนนั้นข้าอายุเพียงเจ็ดขวบ พี่สองอายุสิบสองปี ท่านแม่กำลังกลุ้มใจเรื่องเปลี่ยนอาจารย์ให้พี่สอง พี่หญิงพาสาวใช้ไปเก็บใบของต้นเอมในห้องครัวมาทำขนมเปี๊ยะใบเอมให้ข้ากิน สุดท้ายไม่รู้ว่าใครไม่ทันระวังทำให้สะเก็ดไฟกระเด็นไปถูกฟืนที่อยู่ข้างๆ…” เขาหัวเราะ “ข้ายังจำได้ สาวใช้ของพี่หญิงในตอนนั้นคือซู่เอ๋อร์กับชิงเหนียง ซู่เอ๋อร์ตกใจจนร้องไห้ ส่วนชิงเหนียงก็ใช้กระโปรงคลุมหน้าพี่หญิงแล้วพานางออกไปด้านนอก พี่หญิงเอาแต่ร้องไห้เรียกชื่อข้า หญิงรับใช้ที่ดูแลห้องครัวได้ยินจึงรีบวิ่งมา พบว่าเป็นเพียงฝืนที่วางไว้ข้างเตามีควันลอยออกมา แต่พวกเราที่อยู่ตรงนั้นบางคนก็ร้องไห้ บางคนก็ตื่นตระหนก…”
สืออีเหนียงจินตนาการถึงเหตุการณ์น่าขันในตอนนั้น มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย “ต่อมาต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงแน่ๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“อืม!” เขามองไปที่สืออีเหนียง ในความมืดมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังเปล่งประกาย “ข้ากับพี่หญิงถูกกักบริเวณ ห้ามออกจากห้องเป็นเวลาหนึ่งเดือน ส่วนซู่เอ๋อร์กับชิงหนียงถูกลงโทษให้ไปล้างจานในครัวหนึ่งเดือน…”
เขาเล่าให้ฟังต่างๆ นาๆ บอกว่าลายมือของเขาเขียนออกมาไม่ดี พี่หญิงก็หาวิธีหาป้ายมาให้เขาเขียนตาม บอกว่าเขาท่องหนังสือไม่ได้ พี่หญิงก็อยู่เป็นเพื่อนเขา บอกว่าเขาไปทะเลาะกับคนอื่นจนเสื้อผ้าขาด พี่หญิงก็ปิดบังไท่ฮูหยินแล้วทำเสื้อผ้าแบบเดียวกันให้เขา…
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ถอนหายใจ
หากสวีลิ่งเฉินได้แต่งงานกับสกุลที่เหมาะสมเหมือนกับคุณหนูใหญ่เจียงฮูหยินของสกุลเม่ากั๋วกง นางจะมีความสุขมากกว่านี้หรือไม่
อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องตกอยู่ในภัยอันตรายเช่นนี้!
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็พูดออกไปว่า “เพราะเหตุใดตอนนั้นพี่หญิงถึงได้แต่งงานกับองค์ชายเจ็ดเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบาลงว่า “พระมารดาขององค์ชายเจ็ดสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควร อาจารย์เติ้งแห่งสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนเป็นอาจารย์ของเขา อาจารย์เติ้งกับท่านพ่อรู้จักกันมาแต่เด็ก เป็นความสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน อาจารย์เติ้งรู้สึกว่าองค์ชายเจ็ดมีนิสัยอ่อนโยน คุณธรรมสูงส่ง ส่วนพี่หญิงก็เป็นคนอ่อนโยนและใจกว้าง มีความสามารถโดดเด่น เป็นคู่ที่เกิดมาซึ่งกันและกัน จึงอยากจะเป็นพ่อสื่อ ก่อนหน้านี้ท่านพ่อเคยพบองค์ชายเจ็ดอยู่หลายครั้งก็รู้สึกว่าแม้เขาเกิดในราชวงศ์ แต่กลับไม่มีนิสัยไม่ดีอย่างพวกองค์ชายเสเพลเหล่านั้น อีกทั้งการกระทำก็สุขุมและมั่นคง แม้ว่าในราชสำนักจะไม่มีใครสนับสนุน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเชื้อสายของราชวงศ์ การที่จะได้แต่งตั้งเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากพี่หญิงแต่งเข้าไปก็จะไม่ได้รับความลำบาก คิดว่าเป็นทางเลือกที่ดี จากนั้นอาจารย์เติ้งก็ลองนำไปเสนอฮ่องเต้ ฮ่องเต้เองก็คิดว่าดี พี่หญิงจึงได้แต่งกับองค์ชายเจ็ด ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ตอนแรกก็มีคดีมนต์ดำขององค์รัชทายาท ต่อมาฮองเฮาอู๋ก็สิ้นพระชนม์ มีองค์ชายอีกหลายคนที่ถูกกักขังไว้ บางคนก็ฆ่าตัวตาย ตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมีพระชันษามากแล้ว มีเรื่องหวาดระแวงไม่หยุด ทรงไม่เพียงแค่ไม่สบายใจกับบรรดาองค์ชาย แต่ยังใช้เรื่องนี้กำจัดขุนนางผู้มีคุณูปการในราชสำนักอีกด้วย ท่านพ่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ หากยังไม่คิดหาวิธีเกรงว่าไม่ช้าก็เร็ว องค์ชายเจ็ดกับพี่สาวคงจะมีจุดจบที่ไม่ดี พอดีที่องค์ชายเจ็ดมาปรึกษาเรื่องนี้กับท่านพ่อ คิดอยากได้ตำแหน่งรัชทายาทที่ยังว่างอยู่ ท่านพ่อคิดไปคิดมา รู้สึกว่าแทนที่จะนั่งรอความตาย ไม่สู้ฉวยโอกาสสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงขายกิจการส่วนใหญ่ในจวนและคิดหาวิธีผ่านทางเจี้ยนหนิงโหวกับโซ่วชังปั๋ว แล้วพูดคุยกับไทเฮาที่ตอนนั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาทั้งๆ ที่ไม่มีบุตร ด้วยการสนับสนุนจากฮองเฮา บวกกับความอ่อนน้อมถ่อมตนของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แล้วพี่หญิงก็ยังให้กำเนิดพระโอรสถึงสามพระองค์ ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงตัดสินใจให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสืบทอดราชบัลลังก์…จึงได้มีการปกครองที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุขอย่างตอนนี้”
น้ำเสียงของเขาดูเศร้าหมอง
สืออีเหนียงได้แต่ปลอบใจเขา “ฮองเฮาเป็นคนฉลาดเช่นนี้คงไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรอกเจ้าค่ะ” รู้สึกว่าการปลอบประโลมนี้ดูน้อยเกินไปจึงยื่นมือไปกุมมือของสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจกับการกระทำของภรรยา
เมื่อนึกถึงความรู้สึกนุ่มนิ่มตอนที่นางขดตัวอยู่ในอ้อมกอดเมื่อคืนนี้…เขาจับมือสืออีเหนียงทันที “ขยับเข้ามาหาข้า”
ในยามนี้ จะด้วยเหตุผลหรือความรู้สึกล้วนไม่อาจปฏิเสธได้
สืออีเหนียงลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะขยับเข้าไปอยู่ในผ้าห่มของเขา
นางไม่ได้ตัวเตี้ยในหมู่สตรี แต่เมื่อเทียบกับสวีลิ่งอี๋แล้ว นางดูตัวเล็กและเรียวบางในทันที ถูกเขาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน มือและเท้าของนางอบอุ่นและสบายอย่างมาก ร่างกายจึงผ่อนคลายไปโดยธรรมชาติ
สวีลิ่งอี๋สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของนางทันที ร่างกายที่ดูแข็งเกร็งก่อนหน้านี้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเหล่าแม่ทัพในค่ายที่ขยิบตาแล้วพูดเพียงว่า “…สตรีต้องรออายุยี่สิบสี่ปีก่อนถึงจะรู้จักร้อนรู้จักหนาว พวกสาวน้อยเหล่านั้นจะไปรู้อะไร…เหมือนกับภรรยาข้า ต้องมีบุตรสามคนก่อนถึงจะมีรสชาติ…” ตอนนั้นเขาแค่รู้สึกว่าการเอาเรื่องส่วนตัวของตัวเองมาพูดเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากๆ…แต่ตอนนี้หัวใจพลันเต้นแรง มือค่อยๆ สอดเข้าไปใต้เสื้อของนาง
ร่างกายของเขาตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
เขาอดถอนหายใจในใจไม่ได้
พลันหยุดมือลง
เขาพูดเสียงเบาว่า “รีบนอนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องไปไว้อาลัยต่อ”
ใช้น้ำเสียงที่เฉยเมยเหมือนกับเมื่อวาน
สืออีเหนียงตอบแค่เพียง “เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋หลับตาลง ลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอ
คนในอ้อมแขนค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางค่อยๆ ปรับท่าทางแล้วขยับเข้าไปในอ้อมกอดของเขา มือของเขาห้อยลงมาที่ขอบเตียง
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก
มือของเขาไม่ได้กอดนางแล้ว แต่นางยังคงอยู่ในอ้อมอกของเขา กลิ่นหอมจากเส้นผมจางๆ โชยเข้าจมูก ทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย…นี่จะถือว่าเสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กหรือไม่
เขาขยับมุมปากเล็กน้อย
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะขยับตัวให้อยู่ในท่าทางที่สบาย
คนในอ้อมแขนของเขาหดตัวลงอย่างระแวดระวังอย่างกับลูกแมว
สวีลิ่งอี๋อยากจะหัวเราะ
เขาพลิกตัวไปนอนตะแคงแล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขน
นางดิ้นอยู่หลายที เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ค่อยๆ เอนศีรษะพิงไหล่ของเขาอย่างช้าๆ หาตำแหน่งที่สบายๆ ให้ตัวเองแล้วค่อยๆ ผ่อนคลายลง
สวีลิ่งอี๋มั่นใจเป็นอย่างมาก
ตราบใดที่เขารักษาระยะห่างที่แน่นอน นางก็ยินดีที่จะอยู่กับเขา
นิสัยเหมือนเด็กเสียจริง
ในหัวปรากฏภาพดวงตาของนางที่เลือนลางราวกับถูกสายฝนในเดือนสามบดบัง…ในตอนนั้นคงรู้สึกเจ็บปวดมาก
เขารู้จักความอ่อนโยนของนางดียิ่งกว่าใครๆ การที่ได้พรหมจรรย์ของนางมา แม้แต่เขาเองก็ยังประหลาดใจ
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว ความรู้สึกแปลกๆ ในใจก็ค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา
บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเศร้าใจ เจ็บปวดหรือผิดหวัง เสียดายหรือรู้สึกผิด…ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นใจ
******
เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋หลับไป สืออีเหนียงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สืออีเหนียงพลิกตัวไปมาอย่างไม่สบายตัว แต่กลับทำให้คนข้างๆ บ่นพึมพำออกมา จากนั้นก็ถูกกอดแน่นขึ้น