ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 167 การเปลี่ยนแปลง(กลาง)
เมื่อขึ้นรถม้าสวีลิ่งอี๋ก็ถามสืออีเหนียงว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” น้ำเสียงของเขาเบามากราวกับว่าไม่ค่อยคุ้นเคยกับคำถามเช่นนี้ ดังนั้นจึงพยายามซ่อนความเป็นห่วงที่อยู่เบื้องหลังคำถาม
“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงลูบหัวเข่าตัวเอง “ใส่ปลอกเข่าไว้อยู่” อันที่เหวินอี๋เหนียงมอบให้นาง นางได้ให้ไท่ฮูหยินไปแล้ว ส่วนอันนี้เป็นของไท่ฮูหยิน แม้ขนจะไม่ค่อยดีเท่าของเหวินอี๋เหนียง แต่สืออีเหนียงก็ยืนกรานจะแลกเปลี่ยนกับไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “การระมัดระวังนั้นเป็นเรื่องดี อากาศหนาวเช่นนี้หากคุกเข่าบนพื้นนานๆ จะทำให้เป็นโรคไขข้อได้ ยามที่ฤดูเปลี่ยนก็จะเจ็บปวดขึ้นมา หมอใดก็รักษาไม่หาย”
“ขอบคุณท่านโหวที่เป็นห่วง” สืออีเหนียงกล่าวขอบคุณเขาแล้วเอ่ยถามอย่างกะตือรือร้นด้วยคติที่ว่า ‘ท่านห่วงใยมา ข้าห่วงใยกลับ’ “ท่านโหวก็ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าไม่เป็นอะไร” สวีลิ่งอี๋ตอบสั้นๆ แต่สีหน้าดูผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด “แม้ว่าเยี่ยนจิงจะหนาวแต่ก็เทียบไม่ได้กับความเหน็บหนาวทางแถบตะวันตกเฉียงเหนือ”
“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตาของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แถบตะวันตกเฉียงเหนือหนาวขนาดไหนหรือเจ้าคะ”
“ต้องใส่เสื้อกันหนาวเพิ่มอีกหนึ่งตัวจึงจะป้องกันความหนาวเย็นได้”
ทั้งสองพูดคุยสนทนากัน สืออีเหนียงเห็นว่าบรรยากาศดูไม่เลวจึงเล่าสถานการณ์ทางด้านตัวเองให้ฟังว่า “…ไทเฮาพาท่านแม่ไปแล้วให้องค์หญิงไปไว้อาลัยกับพวกเราด้วย พวกเราจึงต้องไปที่ประตูซือซ่าน เนื่องจากไทเฮาได้ตรวจพบอะไรบางอย่างแล้ว คนสกุลหยางก็คงจะรู้อะไรบางอย่างเช่นกัน พี่สะใภ้สองจึงให้ข้าคิดหาวิธีเพื่อขวางคนสกุลหยาง…”
สวีลิ่งอี๋อึ้งไปเล็กน้อย “ให้เจ้าหาวิธีขวางคนสกุลหยางอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “พี่สะใภ้สองคงเห็นว่าข้าอายุยังน้อย ถึงแม้ว่าข้าจะมีปากเสียงกับคนสกุลหยาง คนอื่นก็จะคิดเพียงว่าข้าไม่รู้ความ แล้วยังมีท่านโหวที่คอยอยู่ข้างข้า แม้ว่าไทเฮาจะรู้เรื่องนี้แต่ก็จัดการกับข้าไม่ได้ มิเช่นนั้นก็จะทำให้คนคิดว่าไทเฮาทรงไร้ความเมตตา แต่ว่าข้าโตมาขนาดนี้ก็ยังไม่เคยไปทะเลาะกับใครเลยจึงไม่มีความกล้า ข้าจึงแนะนำให้พี่สะใภ้สองบอกให้น้องสะใภ้ห้าแกล้งทำเป็นไม่สบาย…” นางเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง “น้องสะใภ้ห้าฉลาดมากเจ้าค่ะ นางแกล้งปวดท้องในทันที ทำให้โจวฮูหยินกับพี่สะใภ้สองได้ไปส่งนางที่ตำหนักชั้นใน ทำให้พี่สะใภ้สองได้เจอกับฮองเฮาอย่างราบรื่น”
สวีลิ่งอี๋ฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าไม่หยุด สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นว่า “น้องสะใภ้ห้าคุ้นเคยกับวังมากที่สุด เรื่องแบบนี้เดิมทีนางก็ทำได้ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่นางยังเด็กเกินไป เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮาอาจจะดูแปลกหน้าไปบ้าง กลัวแต่ว่าจะพูดอะไรที่ขัดหู ไม่เหมือนพี่สะใภ้สองที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฮองเฮา ก่อนที่ฮ่องเต้จะขึ้นครองราชย์ทั้งสองคนก็นับว่าสนิทกันอย่างยิ่ง คนหนึ่งมีความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามี อีกคนก็โศกเศร้าเสียใจที่สูญเสียบุตรชาย จะว่าไปแล้วทั้งสองนั้นมีหัวอกเดียวกัน” เขาพูดพลางทำสีหน้าครุ่นคิด “ดูแล้วไทเฮาไม่เพียงแต่ป้องกันท่านแม่ แต่ยังป้องกันพี่สะใภ้สองด้วย…คาดว่าคงจะสนใจเรื่องของสกุลเรามานานแล้ว…ข้าสืบจนพบว่าการตายขององค์ชายห้านั้นเกี่ยวข้องกับนาง คาดว่านางคงจะพอรู้อยู่บ้าง ต่อไปก็คงจะคิดหาวิธีโจมตีฮองเฮา…”
สืออีเหนียงกลับนึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้
ฮองเฮาอู๋และฮ่องเต้องค์ก่อนก็เป็นสามีภรรยากัน สุดท้ายเป็นเพราะรัชทายาททำพิธีสาบแช่งฮ่องเต้องค์ก่อนจนกระทั่งถูกปลด ฮองเฮาอู๋รับความอับอายขายขี้หน้านี้ไม่ได้จึงได้ฆ่าตัวตาย
“จะเตือนฮองเฮาดีหรือไม่เจ้าคะ…” นางพูดอย่างลังเล “ต้องระวังคนรอบข้างให้ดี จะได้ไม่มีคนนำของสกปรกเข้ามาในวัง”
สวีลิ่งอี๋เข้าใจความหมายในคำพูดของนางทันที “ฮองเฮาไม่เคยติดต่อกับพระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ และคนรอบข้างก็ไม่ได้มีใครศรัทธา แต่อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาเช่นนี้ การระมัดระวังย่อมดีเสมอ”
นับว่าเป็นการยอมรับความเห็นของสืออีเหนียงในทางอ้อม
สืออีเหนียงทำท่าทางครุ่นคิด
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็อดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้ “เป็นอะไรไป…”
สืออีเหนียงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่ามีเรื่องใดที่จะทำให้ฮองเฮาสั่นคลอนได้”
“เจ้าเพียงคนเดียวจะนึกออกได้สักกี่เรื่องกัน” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “ข้าจะไปปรึกษากับกุนซือ”
สืออีเหนียงพยักหน้ายอมรับว่าสิ่งที่สวีลิ่งอี๋พูดนั้นมีเหตุผล “ข้าคิดฟุ้งซ่านไปเอง” พูดพลางยิ้มเล็กน้อย
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นนางเอียงคอมองตัวเอง หว่างคิ้วก็ผ่อนคลายลง จิตใจพลันสงบลงตามไปด้วย พูดขึ้นมาว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์”
“ข้าอ่านจากในหนังสือประวัติศาสตร์เถื่อนเหล่านั้นเจ้าค่ะ” มีบางเรื่องที่เป็นความลับอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ สืออีเหนียงไม่มีความคิดที่จะบอกให้ใครล่วงรู้ “แต่ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ”
หนังสือประวัติศาสตร์เถื่อน?
สวีลิ่งอี๋ไม่เชื่อ แต่กลับรู้สึกว่านางมักจะทำตัวเองให้โปร่งแสงแล้วหลบซ่อนตัวในกลางหุบเขา ทำให้เขามองเห็นเพียงโครงร่างที่พร่ามัว…
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอยากจะฝ่าเมฆหมอกเข้าไปเพื่อดูว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองภายในนั้นเป็นอย่างไร
******
ทางด้านฮูหยินสองกับไท่ฮูหยินก็กำลังคุยเรื่องนี้เช่นกัน “…น้องสะใภ้สี่อายุยังน้อย หากมีความขัดแย้งกับสกุลหยางทุกคนก็จะเข้าใจว่าเป็นเพราะนางไม่รู้ความ ทำให้สกุลหยางทำอะไรไม่ได้ ข้าเป็นพี่สะใภ้ของท่านโหว ทั้งมีชื่อเสียงในเรื่องทะนงตน แม้จะถูกไทเฮาจับได้ เพียงแค่ท่านโหวบอกว่าข้าเป็นคนหัวดื้อ ก็จะปัดเรื่องนี้ให้พ้นตัวไปได้อย่างหมดจด…”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังเช่นนั้นก็พูดด้วยความตกใจว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!”
“ทำไมจะไม่ได้เจ้าคะ” ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดต่อว่า “หากรังนกตก ไข่ก็จะแตกทั้งรัง!”
“ถึงอย่างไรก็จะทำเช่นนี้ไม่ได้!” ไท่ฮูหยินส่ายหน้า ฮูหยินสองพูดขึ้นมาว่า “แต่คิดไม่ถึงว่าน้องสะใภ้สี่จะคิดแผนการดีๆ ออก…” จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังแล้วพูดต่อว่า “น้องสะใภ้ห้าก็เฉลียวฉลาด เพียงนิดเดียวก็มองออก ทันใดนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่สบายทำให้ฮองเฮาต้องเสด็จมาเยี่ยม”
“ต้นไม้เพียงต้นเดียวมิอาจกลายเป็นป่าได้” ไท่ฮูหยินได้ฟังเช่นนั้นก็ทอดถอนใจ “การที่พวกเจ้าทำได้เช่นนี้ช่างเป็นวาสนาของสกุลสวีของเรา”
ฮูหยินสองกอดแขนไท่ฮูหยินเอาไว้ “ท่านแม่ การที่ข้าได้เข้ามาในสกุลสวี ได้แต่งกับคุณชายสอง ได้เป็นลูกสะใภ้ท่าน เช่นนี้จึงจะถือว่าเป็นวาสนา”
น้ำเสียงของนางจริงใจเป็นอย่างมาก เมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังก็รู้สึกปวดใจ ตบมือนางเบาๆ “ทั้งหมดนี้เป็นโชคชะตาของเจ้าและข้า!”
เมื่อรู้สึกถึงความโศกเศร้าของไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วบอกไท่ฮูหยินเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของสืออีเหนียงในวันนี้ “…นางฉลาด ไหวพริบดี รู้จักขอบเขต หากท่านให้นางอยู่ข้างกายคอยสั่งสอนสักปีสองปี แล้วให้นางรับผิดชอบด้านอาหารการกินในจวน คาดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไร”
“เจ้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ” แววตาของไท่ฮูหยินเปลี่ยนไป บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น “ข้าก็รู้สึกว่านางทำสิ่งต่างๆ ได้มั่นคงเป็นอย่างมาก”
ทำได้เหมาะสมเป็นอย่างมาก
เวลาที่ควรยอมก็ยอม เวลาที่ควรโต้กลับก็โต้กลับ
อย่างไรก็ตามเมื่อจวนหย่งผิงโหวมาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งที่ต้องการก็คือคนเฉลียวฉลาดอย่างนาง
ฮูหยินสองพยักหน้าแล้วพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “ตอนนี้ในจวนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อก่อนต้องอดทนต่อการดูถูกเพื่อให้หน้าที่อันใหญ่หลวงนั้นสำเร็จ ต้องอาศัยความเพียรพยายาม ความเข้มแข็งและความกล้าหาญอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ตอนนี้เรื่องในเรือนกลับราบรื่นไปทุกด้าน หากมีต้นทุนที่ดี สิ่งต่างๆ ก็จะสำเร็จได้ง่าย มิเช่นนั้น หากนางมีนิสัยดื้อรั้นเกินไป เกรงว่าท่านโหวคงจะไม่ยินดี”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง “เป็นอย่างที่เจ้าว่า ดังนั้นตอนที่บอกว่านางเป็นบุตรอนุ ข้าก็คิดดีแล้ว เจ้าสี่เป็นคนหัวแข็ง หากได้คนไม่ยอมคนมาเป็นคู่ เกรงว่าต่างคนก็คงต่างใช้ชีวิตของตัวเอง”
ฮูหยินสองหันไปมองไท่ฮูหยินด้วยรอยยิ้ม
ไท่ฮูหยินอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ไปนอนที่เรือนนางเกินสิบห้าวันแล้ว…”
ฮูหยินสองปิดปากหัวเราะ
ไท่ฮูหยินรู้สึกอายเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ข้ากังวลไปหน่อยจึงได้ตามสืบดู” แล้วพูดขึ้นอีกว่า “ข้าชอบให้จวนครึกครื้น”
หมายความว่าหากในจวนมีเด็กเพิ่มมาอีกสักสองสามคนก็จะดี!
มีหรือที่ฮูหยินสองจะไม่เข้าใจความหมายของไท่ฮูหยิน แววตาของนางหม่นลง นางรีบหยุดความคิดอย่างรวดเร็ว นึกถึงเรื่องที่ฮูหยินห้าช่วยในวันนี้ก็รู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ของนาง “เสี่ยวหลานที่อยู่เรือนน้องห้าผู้นั้น…”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เดิมทีข้าตั้งใจจะให้คนส่งกลับไปที่บ้านเกิด ปล่อยให้นางใช้ชีวิตไปตามยถากรรมแต่ตานหยางกลับให้นางอยู่” พูดพลางถอนหายใจเบาๆ “หากจะโทษก็ต้องโทษเจ้าห้าที่ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ทำเอาเจ้าสี่โมโหเป็นอย่างมาก จะเตะเขาในตอนนั้น เจ้าก็รู้ว่าเจ้าสี่แรงเยอะ ข้ากลัวว่าตอนนั้นเขาจะเตะลงไปจริงๆ ยังดีที่มีเด็กดีอย่างตานหยางเข้าไปขวางเจ้าสี่เอาไว้”
เมื่อฮูหยินสองได้ฟังก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ข้าว่าความคิดของตานหยางท่านยังต้องดูให้ดีๆ นางไม่ใช่คนที่รู้จักทำแต่เรื่องไร้สาระ หากควบคุมคุณชายห้าได้จริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ต้องโทษข้าที่เอาแต่ยุ่งอยู่กับงานในจวน จึงมีเวลาดูแลเขาน้อยเกินไป…”
“จะโทษเจ้าได้อย่างไรกัน” ไท่ฮูหยินส่ายหน้าแล้วพูดขัดจังหวะการสนทนาของฮูหยินสอง “ตามหลักแล้วเมื่อเขาอายุสิบขวบก็ควรจะย้ายออกไปอยู่เรือนนอก เป็นข้าเองที่รั้งเขาไว้จนอายุสิบสามปี เขาเข้ากองทัพอวี้หลินได้โดยอาศัยชื่อเสียงจากการเป็นพี่น้องของฮองเฮา ยังไม่ทันได้เป็นทหารก็ต้องเข้าไปเป็นผู้บัญชาการในค่าย เจ้าสี่ไม่อยู่จวน แม้ว่าเจ้าสามจะเป็นพี่ชายแต่ก็ไม่กล้าไปยุ่งกับเขา พวกเราไม่สามารถไปยุ่งเรื่องของพวกเขาได้ หากไม่เกิดเรื่องขึ้นกับเขาสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก! จะว่าไปแล้วเจ้ากับข้าก็คิดเหมือนกัน เจ้าสี่เป็นเสาหลักของตระกูล ไม่ช้าก็เร็วเจ้าห้าจะต้องแยกเรือนออกไป หากตานหยางสามารถดูแลเขาได้ ตราบใดที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งเป็นคนตีและอีกคนหนึ่งยอมถูกตี ข้าก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยให้พวกเขาไปจัดการกันเอง”
“ในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นความผิดพลาดของลูกบ้าน” ฮูหยินสองพูดต่อว่า “นี่เป็นคำพูดจากในหนังสือเจ้าค่ะ”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจยาว “บางครั้ง พอข้าคิดเช่นนี้ก็รู้สึกสงสารที่เขาไม่ฉลาด จึงอดที่จะตามใจเขาไม่ได้…”
******
เหอฮวาหลี่นั้นอยู่ข้างวังหลวง สนทนากันไม่นานก็มาถึงเหอฮวาหลี่แล้ว
ทุกคนเดินห้อมล้อมไท่ฮูหยิน ส่งนางกลับไปที่เรือน
ทั้งวันกินแต่ข้าวกับแกงผักในวังหลวงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเดินลงมาจากรถม้าจึงรู้สึกหิว
ป้าตู้มีประสบการณ์มาก ไม่เพียงแต่จัดเตรียมให้สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ รีบพักผ่อน เมื่อสาวใช้ยกน้ำร้อนมาให้ทุกคนได้ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ข้าวและอาหารร้อนๆ ก็ถูกยกมาวาง แล้วยังทำซุปขาหมูตุ๋นถั่วเหลืองและอาหารบำรุงอื่นๆ ให้ฮูหยินห้า ทำซุปซี่โครงหมูตุ๋นพุทธาแดงใส่เก๋ากี้ให้ฮูหยินสอง
ไม่มีใครที่รู้สึกไม่พอใจ
หลังจากกินกันจนอิ่ม ไท่ฮูหยินก็ให้สวีลิ่งอี๋อยู่คุยต่อ
ฮูหยินสองอยู่พักที่เรือนไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงต้องปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋ จึงต้องอยู่ต่อ
เช่นเดียวกันกับเมื่อคืน ป้าตู้รีบพาบ่าวรับใช้ในห้องออกไปทันที สืออีเหนียงไปชงชาร้อนๆ ด้วยตัวเอง
คราวนี้ฮูหยินสองรอให้สืออีเหนียงนั่งลงก่อนจึงได้เริ่มพูด
“ฮองเฮาทรงเข้มแข็งกว่าที่พวกเราคิด และเข้าใจโลกดีกว่าที่พวกเรารู้ เมื่อได้ยินว่าตานหยางไม่สบายก็รีบมาทันที ตอนที่หมอหลวงกำลังตรวจอาการตานหยางผ่านผ้ามุ้ง นางก็ได้ให้ขันทีมาเรียกตัวข้าไปซักถาม”
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย
แต่ไท่ฮูหยินกลับมีสีหน้าเรียบเฉย “นางถามอะไรบ้าง”
ฮูหยินสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อว่า “ถามว่าสกุลสวีมีแผนการอย่างไร นางควรจะทำอย่างไร”