ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 164 มีส่วนร่วม(กลาง)
“เช่นนั้นเจ้ามีวิธีอย่างไร” สวีลิ่งอี๋นอนเท้าคางมองไปที่นาง
“ระวังจะหนาวนะเจ้าคะ” สืออีเหนียงเห็นว่าส่วนบนของเขานั้นเปลือยเปล่า
“ไม่เป็นไร!” สวีลิ่งอี๋ไม่คิดเช่นนั้น “ในห้องนั้นอบอุ่น” แล้วพูดต่อว่า “บอกมาสิว่าเจ้ามีวิธีอย่างไร”
เห็นเขาถามอย่างจริงจังเช่นนี้ สืออีเหนียงกลับรู้สึกยากที่จะตอบคำถาม
นางเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงดูมาให้อยู่แต่ในเรือน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงมีอุปนิสัยอย่างไร และไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ราชโองการของราชสำนักมีเจตจำนงอย่างไร แต่หากไม่ตอบก็กลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะผิดหวังในตัวเอง ทำให้ความไว้วางใจที่ได้มาอย่างยากลำบากต้องสูญหายไป
นางทำได้เพียงพูดอย่างคลุมเครือว่า “ข้าไม่มีวิธีดีๆ อะไรหรอกเจ้าค่ะ…แค่คิดว่าเราไม่ควรจะทำอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ พวกเรายอมทำตัวสงบเสงี่ยมแล้วปล่อยให้สกุลโอวทำความลับรั่วไหลเองให้ฮ่องเต้ทรงสงสัย ดีกว่าให้ตุลาการร้องเรียนสกุลโอวในเวลานี้ จะว่าไปแล้วใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือไม่ถูก ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดของฮ่องเต้ ท่านไม่ได้บอกว่าสกุลเรากับสกุลโอวขัดแย้งกันหรอกหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ฟังอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ในผ้าม่านมืดครึ้ม มองเห็นเพียงแค่โครงร่าง ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าได้ชัดเจน แต่กลับให้ความรู้สึกเคร่งขรึม
สืออีเหนียงไม่ชอบบรรยากาศที่กดดันเช่นนี้จึงลุกขึ้นช่วยสวีลิ่งอี๋จัดผ้าห่ม “ท่านโหวรีบนอนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องไปที่ประตูซือซ่านเพื่อดูปฏิกิริยาของทุกคนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
สวีลิ่งอี๋นอนลงอย่างเชื่อฟัง ปล่อยให้สืออีเหนียงห่มผ้าให้เขา
“เดือนสิบสองวันที่ยี่สิบเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา “เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้คนร่างฎีกาถึงฝ่าบาท แนะนำให้ฝ่าบาททรงนิรโทษกรรม รวมถึงโจรสลัดที่ไม่ได้ถูกตัดสินโทษมานานหลายปีในฝูเจี้ยน กวางตุ้ง และเจ้อเจียง”
สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ท่านโหว…”
เนื่องจากสกุลโอวอยู่ในฝูเจี้ยนและกวางตุ้งต่อสู้กับโจรสลัดมาหลายปี ไม่รู้ว่าฆ่าล้างโจรสลัดไปแล้วกี่คน และมีความแค้นทางสายเลือดมากน้อยเพียงใด การอภัยโทษให้โจรสลัดของราชสำนักจะทำให้สกุลโอวไม่สามารถใช้อำนาจของขุนนางมาปกป้องตัวเองได้อีกต่อไป ไม่ต่างอะไรกับการถอดชุดเกาะแล้วเผชิญหน้ากับการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้สกุลโอวก็จะไม่สามารถรักษาความสงบได้ เมื่อใจคนระส่ำระสาย ส่วนใหญ่ก็มักจะกระทำการผิดพลาด…
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้า
ในเมื่อแม้แต่ตนเองยังเดาออก แล้วฮ่องเต้จะคิดไม่ถึงได้อย่างไร สกุลโอวจะคิดไม่ถึงได้อย่างไร มันจะทำให้จิตใจของเหล่าทหารที่จงรักภักดีนั้นสั่นไหวจนทำให้เกิดความโกลาหลในแดนใต้หรือไม่
“การทำเช่นนี้นั้นเสี่ยงเกินไป” สืออีเหนียงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ฝ่าบาทจะทรงสงสัย เหล่าขุนนางเองก็จะสงสัยเช่นกัน ยุ่งยากเสียกว่าการให้ตุลาการฟ้องร้องเสียอีก การที่ให้ตุลาการสั่งฟ้องนั้นเป็นวิธีการของขุนนางนักปราชญ์ ฮ่องเต้ไม่เคยเกรงกลัวขุนนางฝ่ายนักปราชญ์ที่ไร้ซึ่งอำนาจทางการทหาร เพียงแต่ต้องเปลืองน้ำลายสักเล็กน้อย การนิรโทษกรรมแก่ใต้หล้า การที่ทหารและโจรไม่แบ่งแยกกัน นั่นเป็นกลของขุนนางทหาร หากไม่ระวังก็จะทำให้ฝ่ายกองทัพทหารเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ฝ่าบาทจะไม่ทรงเห็นด้วยอย่างแน่นอน ท่านโหว ท่านต้องคิดให้รอบคอบนะเจ้าคะ!”
เมื่อได้ยินเสียงพูดด้วยความตกใจของภรรยา สวีลิ่งอี๋ก็รู้ว่าสืออีเหนียงเข้าใจเจตนารมณ์ของตนได้เป็นอย่างดี ยิ่งตอนนี้ที่ได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้เขาก็รู้สึกวางใจ
เมื่ออยู่ต่อหน้าสืออีเหนียงเขาสามารถพูดทุกสิ่งได้อย่างอิสระ
“นี่เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น” เขาพูดเสียงเบาว่า “ข้าอยากทดสอบว่าฝ่าบาทจะมีการตอบสนองอย่างไร”
จะลองทดสอบดูก็ได้ แต่อย่าเอาตัวเองเข้าไปในบททดสอบด้วย!
สืออีเหนียงได้แต่บ่นในใจ ถามสวีลิ่งอี๋อย่างอ้อมค้อมว่า “ท่านโหวเตรียมจะทดสอบอย่างไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเปิดใจว่า “ก่อนอื่นให้ตุลาการเสนอนิรโทษกรรมให้ใต้หล้า จากนั้นเหล่าขุนนางก็จะหารือเกี่ยวกับขอบเขตของการนิรโทษกรรม และจะเสนอว่าจะสามารถรวมโจรสลัดในฝูเจี้ยนกับกวางตุ้งเข้าไปด้วยได้หรือไม่ ให้พวกเขาขึ้นฝั่งมาดูและได้สัมผัสกับความเจริญรุ่งเรืองในยุคของความสงบสุข ทำลายเจตนารมณ์ของพวกเขาที่คิดจะเป็นศัตรูกับราชสำนัก ในเมื่อมีคนเสนอขึ้นมา ย่อมต้องมีคนคัดค้าน”
“หากฝ่าบาททรงเห็นชอบ ท่านโหวจะทำเช่นไร” สืออีเหนียงพูดเสียงเบา “แล้วหากฝ่าบาทไม่ทรงเห็นชอบ ท่านโหวจะทำเช่นไร”
“หากฝ่าบาททรงเห็นชอบ พระองค์ก็จะพูดไปถึงเรื่องการเกลี่ยกล่อมให้โจรสลัดเข้ามอบตัว แต่ถ้าหากให้โจรสลัดที่ฆ่าคนปล้นสินค้าเหล่านั้นขึ้นฝั่งจริงๆ ก็จะทำให้ราษฎรตื่นตระหนกและทำลายรากฐานของแว่นแคว้น ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “หากฮ่องเต้ไม่ทรงเห็นชอบ” เขาลากเสียงยาวขึ้น “เช่นนั้น…ก็ใช้แผนการของเจ้า”
“แผนการของข้า?” สืออีเหนียงประหลาดใจ “แผนการอะไรของข้าเจ้าคะ”
ท่ามกลางความมืดมิด สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ได้บอกว่าให้พวกเราทำตัวสงบเสงี่ยมแล้วปล่อยให้สกุลโอวทำความลับรั่วไหลออกมาเองให้ฝ่าบาททรงสงสัย ดีกว่าจะให้ตุลาการร้องเรียนสกุลโอวในเวลานี้หรอกหรือ นี่คือวิธีการของเจ้า”
สืออีเหนียงเหงื่อแตกพลั่ก
ดูจากแผนกา ร‘ให้โจรสลัดมอบตัว’ ของเขาแล้ว แม้ว่าจะใช้งานได้จริง แต่วิธีการนั้นทำได้ยากมาก แสดงให้เห็นว่าตอนที่อยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นเขาได้ปรึกษากับกุนซือไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงการคาดเดาสถานการณ์ที่เป็นไปได้ต่างๆ นาๆ…ตอนนี้กลับพูดไปเรื่อยเปื่อยตามความคิดของตัวเอง มีคำพูดที่ว่า ‘คนที่เป็นผู้นำอยู่ข้างหน้ามักจะถูกโจมตีได้ง่าย’ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นสตรี เป้าหมายของนางคือการนอนตายบนเตียงอย่างสงบสุข สำหรับการเสียชีวิตอย่างผิดปกตินั้น แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว นางไม่ต้องการที่จะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ถึงสองครั้ง
“ท่านโหว!” นางพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเล็กน้อย “ข้ากังวลจนนอนไม่หลับแล้วท่านยังจะมาหยอกล้อข้าเช่นนี้อีก”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าวางใจเถิด เท่าที่ข้ารู้จักฝ่าบาท ฝ่าบาทจะต้องทรงเห็นด้วยอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้” จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน “สืออีเหนียง เจ้ามีชื่อเล่นหรือไม่ ชื่อว่าอะไร”
นางไม่มีชื่อเล่น
ในชีวิตอีกโลกหนึ่งของนาง นางมีชื่อว่า เยี่ยมั่วเหยียน
สืออีเหนียงนิ่งเงียบอยู่นาน
สวีลิ่งอี๋พลิกตัวหันไปมองนาง “ไม่มีหรือ”
“มีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของสืออีเหนียงเบามาก “มั่วเหยียน ข้าชื่อมั่วเหยียน”
“มั่วเหยียน!” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋เมื่อเอ่ยสองคำนี้ฟังแล้วไพเราะเป็นอย่างมาก ราวกับบทกวีที่มีท่วงทำนองที่ไพเราะเสนาะหู “เหตุใดจึงตั้งชื่อเล่นเช่นนี้ ใครเป็นคนตั้งให้เจ้า”
บิดาในชาติก่อนเป็นคนตั้งให้!
แต่คงพูดไปก็ไร้ประโยชน์ นิ่งเฉยเสียดีกว่า
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็น้ำตาคลอเพราะนางไม่สามารถอธิบายออกมาได้
สวีลิ่งอี๋รู้สึกได้ว่าคนข้างๆ กำลังเศร้าหมอง
มั่วเหยียนมีความหมายว่าพูดน้อย
เป็นคำเตือนว่าให้นางพูดให้น้อยลงอย่างนั้นหรือ
นึกถึงชาติกำเนิดของนาง ความเงียบสงบของนาง ความพูดน้อยของนาง…อีกทั้งดวงตากลมโตเปล่งประกายคู่นั้น
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ต้องใช้ความอดทนมากเพียงใดจึงจะสามารถระงับความร่าเริงและความมีชีวิตชีวาในนิสัยตามธรรมชาติของตัวเองได้
“สืออีเหนียง!” เขาพูดเสียงเบาลง น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับสุราสีเหลืองอำพันที่ดึงดูดให้ผู้คนมาลิ้มรส “เข้ามาในอ้อมกอดของข้า” พูดพลางเลิกผ้าห่มขึ้น
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง
เหตุใดจู่ๆ ถึงได้…
แต่ในฐานะภรรยา นางไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ
นางลังเลเล็กน้อยแล้วนอนลงอย่างเชื่อฟัง
สวีลิ่งอี๋รีบยื่นมือออกไปโอบกอดนางไว้แน่น
ท่าทางช่างดูรีบร้อน…
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงก็ทำตัวไม่ถูก
หากเหมือนกับครั้งที่แล้วจะทำอย่างไร
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักใจ สวีลิ่งอี๋ก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รีบนอนเถิด มิฉะนั้น พรุ่งนี้เช้าจะตื่นไม่ไหว”
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจ
ที่เรียกนางมาก็เพื่อจะนอนกอดกันอย่างนั้นหรือ!
แต่ลมหายใจที่สม่ำเสมอของคนข้างๆ ทำให้นางเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
สืออีเหนียงหลับตาลง ค่อยๆ หลับไปในอ้อมกอดที่มีกลิ่นไอของความอบอุ่นจากสวีลิ่งอี๋
ท่ามกลางความมืดมิด มีมือใหญ่คู่หนึ่งจัดผ้าห่มให้นางอย่างอ่อนโยน
******
สืออีเหนียงตื่นขึ้นเพราะความร้อน
ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อเหนอะหนะเล็กน้อย ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
นางอยากจะพลิกตัว แต่แขนขาทั้งสี่กลับถูกกดทับอย่างหนักหน่วง พลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถูกสวีลิ่งอี๋กอดไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น
ไม่น่าแปลกเลยว่าเหตุใดถึงร้อนขนาดนี้
เขาเป็นเตาไฟชัดๆ
เมื่อสืออีเหนียงขยับตัว สวีลิ่งอี๋ก็ตื่นขึ้น
ร่างกายที่อ่อนนุ่มในอ้อมกอดนั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้เขารู้สึกสบายเป็นอย่างมาก เขากอดอยู่สักพักก่อนจะถามว่า “ยามใดแล้ว” หรือเป็นเพราะพึ่งตื่นนอน น้ำเสียงของเขาจึงดูเกียจคร้าน
“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ” ในมุ้งมองอะไรไม่ชัด สืออีเหนียงพูดขึ้นว่า “สาวใช้ที่เฝ้าเวรยามกลางคืนยังไม่บอกเวลา คาดว่าน่าจะยังไม่เช้าเจ้าค่ะ”
ทันทีที่พูดจบเสียงของหู่พั่วก็ดังมาจากข้างนอกมุ้ง “ท่านโหว ฮูหยิน ยามอิ๋นแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้น วันนี้คนสกุลสวีจะต้องเข้าวังไปไว้อาลัย นางหวังว่าตัวเองจะปฏิบัติตัวได้ดี
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้รีบปล่อยมือในทันที “ยังไม่สว่างเลย งานไว้อาลัยเริ่มขึ้นตอนยามซื่อ”
“ข้ายังต้องไปหาท่านแม่อีก” สืออีเหนียงพูดพึมพำ สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนั้นจึงได้ปล่อยมือ
สืออีเหนียงรีบตามหู่พั่วไปที่ห้องชำระ อาบน้ำล้างหน้าล้างตา สวมชุดไว้อาลัย แล้วค่อยออกมาทานข้าวเช้ากับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋สวมชุดไว้อาลัยสีน้ำเงินเข้มพร้อมคาดเข็มขัดสีดำ
เมื่อเห็นดวงตาของภรรยาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จนั้นดูสดใส ใบหน้าแดงระเรื่อดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก สวีลิ่งอี๋ก็ยิ้มเล็กน้อย พึ่งจะยกตะเกียบขึ้นมาเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็เข้ามาคารวะ
สืออีเหนียงรีบให้คนไปยกเก้าอี้ไท่ซือมาให้เจินเจี่ยเอ๋อร์นั่งลงทานข้าวด้วยกัน
เจินเจี่ยเอ๋อร์เหลือบมองสวีลิ่งอี๋ที่ไม่พูดอะไร แล้วนั่งลงอย่างระมัดระวัง
อี๋เหนียงทั้งสามมาคารวะ
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าเฉียวเหลียนฝังจะอาการดีขึ้นเร็วขนาดนี้
เชิญพวกนางเข้ามา รับคำนับพวกนาง สืออีเหนียงซักถามถึงสุขภาพของเฉียวเหลียนฝัง
เฉียวเหลียนฝังนั้นปากตอบสืออีเหนียง แต่สายตากลับเหลือบไปมองสวีลิ่งอี๋ “ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วง ตั้งแต่เปลี่ยนหมอหลวงแล้วได้รับเทียบยาใหม่ก็ดีขึ้นมากจริงๆ เจ้าค่ะ หลายวันมานี้ไม่ได้มาคารวะพี่หญิง รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก วันนี้จึงได้ตั้งใจมาคารวะ”
น่าเสียดายที่สวีลิ่งอี๋จดจ่ออยู่กับเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาจึงไม่ได้สนใจเฉียวเหลียนฝังมากนัก
เมื่อสืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” จากนั้นก็กำชับฉินอี๋เหนียงกับเหวินอี๋เหนียงว่า “ต่อไปทุกคนต้องระมัดระวังให้มาก ใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้ว หากถึงวันตรุษจีนแล้วยังต้องนอนอยู่บนเตียงจะแย่เอาได้”
อี๋เหนียงทั้งสองตอบรับอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงให้พวกนางถอยออกไป “…องค์ชายห้าสิ้นพระชนม์ อีกประเดี๋ยวจะต้องเข้าวังไปไว้อาลัย”
เมื่อฉินอี๋เหนียงได้ฟังเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าเศร้าโศก
แต่เหวินอี๋เหนียงกลับพูดขึ้นมาว่า “ข้างนอกมีลมแรง หิมะตกหนัก ฮูหยินต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก ข้ามีหนังจิ้งจอกสำหรับป้องกันหัวเข่า ฮูหยินเอาไปใส่ดีหรือไม่ จะได้ไม่ต้องคุกเข่าอยู่บนพื้นเย็นๆ”
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงเรื่องนี้ที่ว่าควรจะสวมใส่อะไรรองหัวเข่าไว้สักหน่อยแล้วค่อยไป
นึกขึ้นได้ว่าไท่ฮูหยินก็อายุมากแล้ว มีหนังจิ้งจอกเช่นนี้มาปกป้องหัวเข่าก็เอาไปให้ไท่ฮูหยินคงดีกว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอขอบใจเหวินอี๋เหนียงเป็นอย่างมาก”
เมื่อเหวินอี๋เหนียงได้ฟังก็ดีอกดีใจ รีบให้ชิวหงไปนำปลอกรองเข่ามา แล้วพูดต่อว่า “ท่านโหวจะสวมปลอกรองเข่าด้วยหรือไม่เจ้าคะ ข้ายังมีปลอกหนังสีม่วงอีกหนึ่งคู่”
“ไม่ต้องหรอก” ท่าทางของสวีลิ่งอี๋เย็นชาเล็กน้อย “ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนั้น”
หากเป็นยามปกติสืออีเหนียงจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าเจินเจี่ยเอ๋อร์ จะปล่อยให้เขาหักหน้าเหวินอี๋เหนียงไม่ได้
นางพูดกับเหวินอี๋เหนียงอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านโหวไม่เหมือนกับสตรีเช่นพวกเรา”
เหวินอี๋เหนียงชินกับความเย็นชาของสวีลิ่งอี๋มานานแล้ว ยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบเองเจ้าค่ะ”