ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 154 ย้ายเรือน(ต้น)
นายหญิงเฉียวรู้จักบุตรสาวที่ตัวเองเลี้ยงมาเองกับมือคนนี้เป็นอย่างดี รู้ว่าหากตนใจอ่อนตอนนี้ นางคงจะไม่สนใจ จึงมองหน้าบุตรสาวด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง “ไม่จำเป็น คำพูดที่ปากไม่ตรงกับใจของเจ้าข้าฟังมามากพอแล้ว ข้าไม่อยากได้ยินอีกต่อไป”
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่เจ้าค่ะ” เฉียวเหลียนฝังเอ่ยซ้ำๆ “เรื่องที่ท่านให้ข้าบอกครั้งก่อน ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ถามตัวเอง ว่าที่ข้าพูดมันผิดหรือไม่”
“ไม่ผิด ไม่ผิดเลยเจ้าค่ะ” เฉียวเหลียนฝังลนลานรีบพูดตอบ
“เช่นนั้นก็ดี” นายหญิงเฉียวมองหน้าบุตรสาว “ในเมื่อเจ้าบอกว่าจะเชื่อฟังข้า เช่นนั้นข้าก็มีเรื่องจะบอกเจ้า”
“ท่านแม่ ท่านบอกมาได้เลยเจ้าค่ะ”
“ได้” นายหญิงเฉียวทำสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องแรกก็คือนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่ท่านโหวให้มาไปซื้อเครื่องประดับที่ราคาสูงกว่าและงดงามกว่าอันเดิมของเจ้ามาใส่ ต่อไปเมื่อท่านโหวมาหาเจ้า เจ้าก็สวมให้ท่านโหวดู จากนั้นก็บอกท่านโหวว่าเจ้าชื่นชอบมันมากเพียงใด…”
เฉียวเหลียนฝังทำสีหน้าลังเล
“เจ้าทำได้ใช่หรือไม่” นายหญิงเฉียวถามนางด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด
เฉียวเหลียนฝังตัวสั่นแล้วรับพูดทันทีว่า “ทำได้เจ้าค่ะ!”
“เรื่องที่สอง” นายหญิงเฉียวพึมพำ “หลังจากที่ข้าออกไปแล้ว จากต้องไปขอโทษสืออีเหนียง ให้นางเปลี่ยนหมอหลวงคนใหม่ให้เจ้า แล้วก็สัญญาว่าเจ้าจะหายดีก่อนถึงเทศกาลล่าปาอย่างแน่นอน”
ถึงแม้ว่าสีหน้าของเฉียวเหลียนฝังจะสับสน แต่นางกลับพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
นายหญิงเฉียวเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เรื่องที่สาม ต่อไปนี้ฉินอี๋เหนียงทำเช่นไร เจ้าก็ต้องทำเช่นนั้น แล้วห้ามเฉยเมยต่อสืออีเหนียง หากเจ้าไม่เคารพนาง เจ้าก็อย่าหวังว่าข้าจะมาหาเจ้าอีก”
เฉียวเหลียนฝังนิ่งเงียบอยู่นาน
นายหญิงเฉียวจ้องมองนางด้วยสายตาที่เด็ดขาด ไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย
สองแม่ลูกมองหน้ากันอยู่นาน เฉียวเหลียนฝังก้มหน้าลง มีหยาดน้ำตาหยดลงมาบนเสื้อกั๊กยาวสีชมพู
นายหญิงเฉียวทนเห็นไม่ไหวจึงเดินเข้าไปลูบหัวบุตรสาวเบาๆ “อดทนไว้ก่อน เพื่อวันข้างหน้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะเย่อหยิ่ง เจ้าต้องจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี”
เฉียวเหลียนฝังหลั่งน้ำตา
*****
เห็นว่านายหญิงเฉียวไปที่เรือนของเฉียวเหลียนฝังแล้ว นางจึงกำลังจะลุกไปหาเจินเจี่ยเอ๋อร์ ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนั่งลงอีกครั้ง บอกให้พาสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยเข้ามา
นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียว ม้วนผมสีดำเป็นมวยกลมอย่างเรียบร้อย ปักด้วยดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ สวมต่างหูใบหลิวสีแดงทอง สายตาเป็นประกาย ดูแล้วเป็นคนมีความสามารถ
นางย่อคำนับสืออีเหนียงอย่างมั่นคง “ฮูหยิน ข้าน้อยสะใภ้หลิวหยวนรุ่ย ขอคารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงให้คนไปเอาเก้าอี้มาให้นางนั่ง
นางพูดซ้ำๆ “ไม่กล้าเจ้าค่ะ ไม่กล้าเจ้าค่ะ” แล้วยืนอยู่หน้าสืออีเหนียงด้วยความเคารพ
สืออีเหนียงก็ไม่บังคับนาง นางยิ้มแล้วเอ่ยถามถึงเรื่องที่ตรอกจินอวี๋
นางหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ที่พันด้วยตอกออกมาจากจากแขนเสื้อ แล้วอ่านบัญชีให้สืออีเหนียงฟัง “เดิมท่านให้สิบตำลึงเงิน หลังจากนั้นก็มอบให้อีกห้าสิบตำลึงเงิน ทั้งหมดคือหกสิบตำลึงเงิน เงินนั้น ทุกคนใช้ตัดเสื้อผ้าฝ้ายคนละหนึ่งตัว ผู้ใหญ่เฉลี่ยแล้วตัวละสองตำลึงเงิน เด็กเฉลี่ยแล้วตัวละหนึ่งตำลึงเงิน ทั้งหมดเท่ากับสามสิบเอ็ดตำลึงเงิน ยังเหลืออยู่อีกยี่สิบเก้าตำลึงเงิน บ่าวเห็นว่าอากาศไม่ค่อยดี จึงซื้อกะหล่ำปลีและหัวไชเท้าทีเดียวเป็นเงินสิบสองตำลึงเงิน ตอนนั้นกะหล่ำปลีถุงละยี่สิบห้ากิโล เจ็ดอีเเปะ หัวไชเท้าถุงละยี่สิบห้ากิโล เก้าอีเเปะ เจียงปิ่งเจิ้งย้ายเข้ามาวันที่สิบหกเดือนสิบ ให้เงินวันละห้าสลึง ว่านอี้จงย้ายเข้ามาเมื่อวันที่ยี่สิบเดือนสิบ ครอบครัวของพวกเขามีบุตรชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงให้เงินเพิ่มวันละสามสลึง ฉังจิ่วเหอย้ายเข้ามาเมื่อวันที่ยี่สิบสามเดือนสิบ ให้เงินเพิ่มอีกสองสลึง…” บันทึกไว้อย่างชัดเจน แม้แต่ช่วงปีใหม่ก็คิดไว้หมดแล้ว “…ตอนกลางวันทานอาหารสบายๆ ช่วงบ่ายทานร่วมกัน วันที่หนึ่ง สองและสามทานเกี๊ยว เมื่อถึงวันที่สี่ ทานหม้อไฟวันละหนึ่งมื้อ ต้มหมูสามชั้น กะหล่ำปลี หัวไชเท้าและเต้าหู้ วันหนึ่งไม่เกิดเจ็ดอีแปะ เพียงเท่านี้ก็ผ่านต้นฤดูใบไม้ผลิไปได้เจ้าค่ะ”
คำนวณได้อย่างละเอียดรอบคอบ ช่างเป็นคนที่มีความสามารถในการวางแผนใช้ชีวิตเสียจริง
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ นางชี้ไปที่เก้าอี้ “นั่งลงก่อนเถิด”
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยรู้ว่าตัวเองผ่านด่านแล้ว นางยิ้มแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำบัญชีเป็น”
สีหน้าของสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “บ่าวทำเองเจ้าค่ะ สู้คนที่ห้องบัญชีไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
“นำมาให้ข้าดู” สืออีเหนียงยิ้ม
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยยื่นไปให้นางด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
หู่พั่วรับมาให้สืออีเหนียง สืออีเหนียงเปิดดู มีแต่วงกลม กากบาท…เหมือนกับของว่านอี้จง ใช้สิ่งที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมาจดบัญชีเอง
อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่านางความจำดี
สืออีเหนียงยิ้มแล้วคืนสมุดบัญชีให้สะใภ้หลิวหยวนรุ่ย จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ของครอบครัวอื่น
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่พิจารณาอย่างรอบคอบ เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนที่ระมัดระวังในการพูดคนหนึ่ง
สืออีเหนียงถามถึงเรื่องแต่งงานของว่านต้าเสี่ยน “…ไม่รู้ว่าครอบครัวของเขาอยากได้ลูกสะใภ้แบบใด”
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านมอบงานให้เขาแล้ว เหตุใดถึงไม่หาภรรยาให้เขาด้วยล่ะเจ้าคะ ครอบครัวสกุลว่านคงจะโชคดีเป็นอย่างมาก!”
ฉลาดเสียจริง!
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นจางๆ “เรื่องแบบนี้ ก็ต้องดูพรหมลิขิต! สองสามวันก่อนมารดาของว่านต้าเสี่ยนมาเอ่ยขอบคุณแทนเขา แต่ข้าก็ไม่ได้ถามอะไรมาก”
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยรีบยิ้มแล้วพูดว่า “หากฮูหยินมีแผนเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่เรียกใช้บ่าว บ่าวช่วยท่านได้ แม่สื่ออย่างบ่าวจะได้ซองแดงทั้งสองฝ่าย”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็อยากให้เจ้าได้ซองแดงทั้งสองฝ่ายเหมือนกัน แต่แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถนั้นหรือไม่!”
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยได้ยินเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นยืน “ฮูหยินรอข่าวดีจากบ่าวได้เลยเจ้าค่ะ!” นางก้มตัวลงกระซิบถามสืออีเหนียง “ไม่รู้ว่า ฮูหยินคิดว่าหญิงคนใดเหมาะสมกับต้าเสี่ยนเจ้าคะ ถึงตอนนั้นบ่าวจะได้พูดถูก”
สืออีเหนียงนึกถึงท่าทีของสะใภ้ว่านอี้จง ก็กลัวว่าสิ่งที่กำลังจะพูดออกไปโดยไม่รู้สาเหตุนั้น อาจจะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ นางจึงพูดอย่างคลุมเครือ “ข้าแค่รู้สึกว่าว่านต้าเสี่ยนไม่เลวเลยทีเดียว ดังนั้นข้าจึงมีความคิดเช่นนี้ เรื่องที่ว่าเหมาะสมกับใครนั้น ข้ายังคิดไม่ออก แต่ว่ามีสองสามคนที่อายุเหมาะสมแล้ว”
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยได้ยินเช่นนี้ก็ชื่นชมว่า สาวใช้สองสามคนของฮูหยินล้วนแล้วแต่เป็นนางฟ้า จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
หู่พั่วออกความคิดเห็น “ให้บ่าวไปสืบดูหรือไม่เจ้าคะ คนในเรือนเราไม่เหมาะสมกับพวกเขาเช่นนั้นหรือ เพราะเหตุใดพวกเขาถึงไม่เต็มใจ” แต่นางก็เข้าใจว่า สืออีเหนียงอยากจะปลูกฝังคนของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นว่านอี้จงหรือฉังจิ่วเหอ พวกเขาอยู่ห่างกันแค่ชั้นเดียว วิธีที่ดีที่สุดก็คือการให้คนสนิทของตัวเองอย่างตงชิงแต่งงานกับเขา ไม่เช่นนั้น งานของว่านต้าเสี่ยนก็คงให้ไปเปล่าๆ ไม่มีคนของตัวเองอยู่ที่ห้องซือฝัง มีเรื่องอะไรก็แจ้งข่าวคราวไม่ได้
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน เจ้าลองดูว่ามีช่องทางหรือไม่ ไม่เช่นนั้น ก็ต้องหาทางส่งคนอื่นไปที่เรือนนอก แต่คงไม่ง่ายที่จะผ่านด่านของท่านโหวและไท่ฮูหยิน…”
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” หู่พั่วยิ้ม “เรื่องคงไม่ไปถึงจุดนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
จากนั้นนางก็พูดปลอบใจสืออีเหนียงสองสามประโยค นายหญิงเฉียวก็มาเอ่ยลา
“ฮูหยินพูดถูกเจ้าค่ะ ไม่หายสักทีแบบนี้ไม่ได้จริงๆ” นายหญิงเฉียวโน้มตัวลง “ฮูหยินช่วยเปลี่ยนหมอหลวงให้นางเถิดเจ้าค่ะ บางทีนางอาจจะดีขึ้น!”
สืออีเหนียงยิ้มบางๆ “ควรจะเป็นเช่นนี้ตั้งนานแล้ว!” จากนั้นนางก็ไปส่งแขกแล้วไปหาเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์เลือกของเสร็จแล้ว นางกำลังทำบันทึกอยู่กับเว่ยจื่อ เห็นสืออีเหนียงเดินเช้ามา นางก็จับมือจุนเกอเดินเข้าไปคำนับสืออีเหนียง
“เจ้าเลือกอะไรไปแล้วบ้าง” สืออีเหนียงยิ้มแล้วซักถามนาง จากนั้นก็ถือโอกาสอุ้มจุนเกอ
จุนเกอไม่ปฏิเสธนาง เขาปล่อยให้นางอุ้มตัวเอง
เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดอย่างเขินอาย “ข้าชอบแจกันเครื่องเคลือบดินเผาอันหนึ่ง ถาดแก้วอันหนึ่ง ชามลายครามอันหนึ่ง แล้วก็ชุดน้ำชาชุดถึงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจ นางคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
หากเป็นตัวเอง ก็คงจะเลือกสิ่งของพวกนี้เหมือนกัน แน่นอนว่าไม่มีทางย้ายสิ่งของที่เป็นที่รักของไท่ฮูหยินไปที่เรือนของตัวเอง
นางยิ้มแล้วลูบหัวเจินเจี่ยเอ๋อร์เบาๆ “ได้ ขาดอะไรไป ถึงตอนนั้นเราค่อยไปซื้อ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้ม สืออีเหนียงอุ้มจุนเกอกลับไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เห็นสืออีเหนียงอุ้มจุนเกอเดินเข้ามา ไท่ฮูหยินก็แอบตกใจ จากนั้นก็ดูของที่เจินเจี่ยเอ๋อร์เลือก นางอดไม่ได้ที่จะลังเลแล้วพูดว่า “ของในห้องเก็บของนั้นไม่มีของที่เจ้าชอบเลยหรือ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าชอบสิ่งของพวกนี้มากเจ้าค่ะ แจกันเครื่องเคลือบดินเผาอันนั้นเป็นสีฟ้า ข้างห้องลี่จิ่งเซวียนของเรามีต้นดอกเหมยแดง ถึงตอนนั้นข้าจะนำมาใส่ในแจกัน มันต้องสวยงามมากแน่นอน แล้วยังมีชามลายครามอันนั้น นำลูกท้อสีแดงหรือส้มสีเหลืองวางข้างใน ไม่รู้ว่าจะงามเพียงใด ถาดแก้วนำมาเก็บดอกไม้ที่ปลูกไว้ในห้องหน่วนฝัง ถึงตอนนั้นก็จะแจกให้ทุกคน แล้วยังมีชุดน้ำชา ท่านป้าสองกลับมา นางต้องชอบแน่นอนเจ้าค่ะ…”
“เด็กคนนี้!” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างเอือมระอาให้สืออีเหนียง “เอาแต่คิดถึงคนอื่น” จากนั้นก็หันไปบอกป้าตู้ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไปจดสิ่งของพวกนั้นในห้องเก็บของ ให้เป็นชื่อของเจินเจี่ยเอ๋อร์เสียเถิด”
ป้าตู้ยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบเดินเข้าไปขอบคุณไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินถามถึงเรื่องการทำความสะอาดเรือนของสืออีเหนียง
“ท่านจะไปดูหรือไม่เจ้าคะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าให้คนปัดฝุ่น เปลี่ยนผ้าม่านสีเขียวให้เป็นสีฟ้าเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินดูสนใจ “ดีมาก!” จากนั้นสืออีเหนียง เจินเจี่ยเอ๋อร์ จุนเกอ เว่ยจื่อ เหยาหวง เหล่าสาวใช้และท่านป้าก็พากันไปที่เรือนของสืออีเหนียง
เรือนของนางทาสีใหม่ตอนแต่งงาน สีขาวราวกับหิมะ ปูพื้นสีดำ เฟอร์นิเจอร์และผ้าม่านสีฟ้า กระเบื้องสีเขียว ดูแล้วช่างเรียบง่ายและสง่างาม
ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
สืออีเหนียงชี้ไปที่เรือนหน่วนเก๋อทางทิศใต้ “เจินเจี่ยเอ๋อร์จะนอนที่นั่นชั่วคราวเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ชี้ไปทางเรือนทิศเหนือ “สาวใช้และท่านป้านอนที่นั่นเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็เดินออกไป
ทุกคนไม่เข้าใจ จึงรีบเดินตามออกไป
ไท่ฮูหยินมองไปรอบๆ ยืนอยู่บนทางเดินในห้องโถงแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าลานนี้กว้างขวาง ห้องโถงนี้ก็เปลี่ยนเป็นเรือนห้าห้องที่มีห้องเอ่อร์ฝัง ข้างหน้าทำเป็นเรือนเป้าซย่าสามห้อง ทำเรือนปีกสามห้องทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก คิดว่าใช้เวลาสองสามปีก็เพียงพอแล้ว”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็แอบดีใจ
เรือนเป้าซย่าปกติจะเอาไว้ให้ท่านป้าที่เฝ้ายามนอน หรือไม่ก็เอาไว้ให้ท่านป้าผู้ดูแลหลบลมหลบฝน เมื่ออากาศหนาวหรือร้อนเกินไป ไม่ควรปล่อยให้พวกนางยืนรออยู่ใต้ชายคา!
หากเอาไว้ให้ทานป้าที่เฝ้ายามนอน เช่นนั้นก็ควรสร้างไว้หน้าเรือนหลัก แต่นี่จะสร้างไว้หน้าเรือนหลักที่สอง เช่นนั้นก็แสดงว่าเอาไว้ให้ท่านป้าผู้ดูแล…
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก