ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 150 เพื่อนบ้าน
สืออีเหนียงเหลือบมองกำไลไข่มุกบนข้อมือของเจินเจี่ยเอ๋อร์ นางพลันรู้สึกปิติขึ้นมา จากนั้นก็มองดูเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังหน้าแดงมองมาที่ตน สายตาของนางนั้นเจือด้วยความหวาดกลัว แต่กลับดูน่ารักทำให้ผู้คนรู้สึกเอ็นดูจนใจอ่อนระทวย นางรีบเดินเข้าไปจับมือเจินเจี่ยเอ๋อร์ “งดงามมาก!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ปิดปากยิ้ม สีหน้าของนางผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย
“แต่ว่า ปิ่นดอกไม้นี้ดูธรรมดาไปเสียหน่อย ข้ามีปิ่นดอกเบญจมาศสีทอง ประเดี๋ยวเอามาให้เจ้าปัก”
เจินเจี่ยเอ๋อร์มองไปที่ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “ในเมื่อท่านแม่มอบให้เจ้า เจ้าก็รับไว้เถิด”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เอ่ยขอบคุณสืออีเหนียงเบาๆ ด้วยท่าทีที่เกรงใจ
จุนเกอเห็นแบบนี้ก็เอ่ยทักเจินเจี่ยเอ๋อร์ “…จะไปไหนขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วก้มลงลูบหัวเขาเบาๆ “ข้ากับพี่หญิงของเจ้ามีธุระ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าไปก่อน”
จุนเกอทำหน้าบึ้ง “ข้าก็อยากไปด้วย!”
“คราวหน้าข้าจะพาเจ้าไปด้วย” สืออีเหนียงยิ้มแล้วคำนับไท่ฮูหยิน พาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปที่เรือนของตัวเอง ไปหาปิ่นดอกเบญจมาศสีทองคู่นั้นให้นาง นางดูสดใสขึ้นไม่น้อย
สืออีเหนียงถึงได้สังเกตเห็นว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เจาะหู นางยิ้มแล้วพูดว่า “ผ่านเทศกาลล่าปาไปแล้ว เจ้าเจาะหูเสียเถิด!” จากนั้นก็หาต่างหูสีทองออกมา “หนึ่งเดือนก็หายแล้ว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ พอเราไปเที่ยวข้างนอก เจ้าก็สวมต่างหูได้แล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์หน้าแดง นางพึมพำอย่างไม่รู้จะพูดตอบอะไรดี
สืออีเหนียงพานางไปห้องทางทิศตะวันออก
“ประเดี๋ยวเราจะต้อนรับหลินฮูหยินที่นี่ ถึงตอนนั้นเจ้าต้องอยู่กับข้า ดูผู้ใหญ่สนทนากัน เมื่อฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ทำหน้าเบื่อเจ้าก็ยิ้มให้นาง มีโอกาสก็พูดกับนางสักสองสามประโยค แต่อย่าพูดแทรกตอนที่ผู้ใหญ่คุยกัน”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ข้าจำได้แล้วเจ้าค่ะ!”
“เมื่อเจ้าพูด เจ้าต้องพูดเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ อย่าเอาแต่พูดเรื่องของตัวเอง เช่นนี้คนอื่นถึงจะอยากพูดคุยต่อ…” สืออีเหนียงกำลังพูดคุยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ กับนาง ซิ่วหลานก็มาพอดี “ฮูหยิน รถม้าของสกุลหลินมาถึงหน้าประตูแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปต้อนรับพวกนางที่ห้องโถงใหญ่
หลินฮูหยินและคุณนายใหญ่สกุลหลินพาเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับเจินเจี่ยเอ๋อร์มาด้วย สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีแดง กระโปรงสีฟ้า ใบหน้าที่ขาวราวกับหิมะนั้นตึงเครียดและเคร่งขรึม ดูออกเลยว่านางไม่ค่อยพอใจมากนัก
น่าจะเป็นฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ของสกุลหลิน
สืออีเหนียงเหลือบมองไปที่เจินเจี่ยเอ๋อร์
สีหน้าของเจินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ ราวกับว่านางตกใจกับท่าทีของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
สตรีที่อยู่รอบตัวนางล้วนแต่ก้มหน้าก้มตาให้นาง นางคงไม่เคยคิดว่าจะมีใครมีท่าทีเช่นนี้!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยทักทายกับหลินฮูหยินและคุณนายใหญ่สกุลหลิน จากนั้นก็แนะนำเจินเจี่ยเอ๋อร์และฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ให้รู้จักกัน
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มีสีหน้าดีขึ้น นางทักทายเจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยท่าทางใจกว้าง
ถึงแม้ว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะดูเขินอาย แต่นางก็มีท่าทางที่สง่างามดูพอดิบพอดี
หลินฮูหยินและคุณนายใหญ่สกุลหลินเห็นเช่นนี้ก็ชื่นชอบนาง คนหนึ่งมอบหยกหยางจืออวี้ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นของขวัญ อีกคนมอบปิ่นปักผมคู่หนึ่งเป็นของขวัญให้นาง แน่นอนว่าสืออีเหนียงก็จะขี้เหนียวไม่ได้ นางมอบหยกรูปจักจั่นให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เช่นกัน
ทุกคนย้ายไปที่ดื่มชาที่ห้องเอ่อร์ฝังข้างห้องโถงใหญ่ จากนั้นก็ไปคารวะไท่ฮูหยินที่เรือนของไท่ฮูหยิน หลินฮูหยินอยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยิน คุณนายใหญ่สกุลหลินและฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไปที่เรือนของสืออีเหนียง นั่งลงบนเตียงเตาในห้องปีกทางทิศตะวันออก ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์และเจินเจี่ยเอ๋อร์พากันนั่งบนเก้าอี้ข้างท่านแม่ของตัวเอง
สาวใช้ยกน้ำชาและขนมเข้ามา คุณนายใหญ่และสืออีเหนียงพูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นก็เข้าประเด็น “…อยากจะให้เจ้าช่วยสอนนางเย็บปักถักร้อย” จากนั้นก็พูดกับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “ฮูหยินของหย่งผิงโหวสืบทอดวิชามาจากหอเซียนหลิง เจ้าต้องตั้งใจเรียนรู้”
ในขณะที่คุณนายใหญ่กำลังพูดอยู่นั้น สืออีเหนียงก็แอบสังเกตสีหน้าของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์อยู่ตลอดเวลา เห็นความเอือมระอาในสายตาของนาง นางจึงรู้ว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไม่ชอบเรื่องพวกนี้ นางจึงยิ้มแล้วพูดกับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “เรียนเย็บปักถักร้อยนั้นเรื่องเล็ก สาเหตุหลักคือเราสองสกุลเป็นเพื่อนบ้านกัน แต่เจ้ากับเจินเจี่ยเอ๋อร์กลับไม่รู้จักกัน…ข้าแค่หาโอกาสให้พวกเจ้าได้รู้จักกันก็แค่นั้น”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ นางหันไปมองเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์หน้าแดง นางยิ้มให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์
สีหน้าของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ผ่อนคลายลงไม่น้อย
แต่เมื่อคุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ สีหน้าของนางกลับดูกังวล สืออีเหนียงจึงถือโอกาสตอนที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์หันไปมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ ขยิบตาให้คุณนายใหญ่สกุลหลิน
ในใจของบุตรสาวตัวเองคิดเช่นไร คุณนายใหญ่สกุลหลินย่อมรู้ดีอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้นางทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะด่าจะตี แต่อย่างน้อยก็ควรได้เรียนรู้บ้าง ไม่เช่นนั้น หากแต่งเข้าไปสกุลบ้านสามีอาจจะถูกผู้คนดูถูกเอาได้ คนที่สามารถเป็นคุณนายได้ ล้วนแต่เป็นคนที่มีความสามารถ เห็นสืออีเหนียงขยิบตาให้ตัวเอง นางก็กลืนคำพูดที่ตัวเองอยากจะพูดลงไปในท้อง จากนั้นก็เห็นว่าท่าทีของบุตรสาวไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนเมื่อครู่ นางก็รู้ว่าคำพูดของสืออีเหนียงได้ผล นางจึงพยักหน้าให้สืออีเหนียงแล้วไม่พูดอะไรอีก
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ ปกติเจ้าชอบทำสิ่งใดบ้าง”
สายตาของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มีความหวาดระแวงเล็กน้อย นางลุกขึ้นอย่างมีมารยาทแล้วพูดด้วยความเคารพ “ข้าชอบอ่านหนังสือเจ้าค่ะ โดยเฉพาะหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์”
สืออีเหนียงตกใจ อดไม่ได้ที่จะสงสัย จึงยิ้มแล้วถามว่า “หนังสือเล่มใดที่เจ้าโปรดปรานมากที่สุด”
“ทงเจี้ยนเจ้าค่ะ” สายตาของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เป็นประกายขึ้นมา “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อพันกว่าปีก่อนอยู่ตรงหน้า ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจ…”
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินเช่นนี้ก็กระแอมเบาๆ ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เบื่อหน่าย แต่นางก็เปลี่ยนเรื่อง นางยิ้มให้เจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วถามว่า “น้องหญิงปกติชอบทำสิ่งใดบ้างหรือ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เหลือบมองสืออีเหนียง เห็นว่านางยิ้มแล้วมองมาที่ตัวเองตลอด นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าชอบดีดพิณเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “น่าเสียดายที่ไม่มีพิณ ไม่เช่นนั้นคงจะได้ฟังเสียงพิณที่ไพเราะของน้องหญิง” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ข้าชอบผีผาและเซียว เครื่องดนตรีสองชิ้นนี้สามารถนำติดตัวไปด้วยได้ พกพาสะดวก หากข้ารู้ว่าน้องหญิงชอบดีดพิณ ข้าน่าจะนำเซียวมาบรรเลงเพลงกับน้องหญิงด้วย”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้น วันอื่นฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็ค่อยนำเซียวพกมาด้วยก็ได้”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ตอบรับอย่างยินดี “แน่นอนเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพูดคุยกับนางสองสามประโยค ไม่พูดถึงเรื่องเย็บปักถักร้อยเลยแม้แต่น้อย เมื่อนางค่อยๆ ผ่อนคลายลง สืออีเหนียงพูดคุยอยู่นาน นางก็ยกชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อออกมาเช็ดปาก
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่เหลือบมองผ้าเช็ดหน้าของนาง
ฐานสีขาวสี่ด้านปักลายเถาวัลย์สีเขียว กลางเถาวัลย์ปักลายดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบาน ดอกโบตั๋นนี้ไม่เหมือนกับการเย็บปักทั่วไป มันปักแค่โครง จากนั้นก็ปักกลีบดอกออกเป็นช่อๆ ดูแล้วมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
นี่คือผ้าเช็ดหน้าที่สืออีเหนียงตั้งใจเอาออกมาล่อฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์
แต่นางเหลือบมองแค่ครู่เดียว จากนั้นก็รีบหันไปมองที่อื่น ราวกับว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเป็นของมีพิษที่ทำให้นางต้องรีบหันหน้าหนีทันที
สืออีเหนียงแอบหัวเราะในใจ
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ช่างเป็นเด็กหญิงที่เฉลียวฉลาดเสียจริง
ทุกคนพูดคุยกันสองสามประโยค ป้าตู้ก็มาพอดี นางมาเชิญทุกคนไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยิน
คุณนายหญิงใหญ่สกุลหลินและสืออีเหนียงเดินอยู่ข้างหน้า ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์และเจินเจี่ยเอ๋อร์เดินข้างกัน พวกนางเดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงจับมือคุณนายใหญ่สกุลหลินเดินไปข้างหน้า ปล่อยให้พวกเด็กๆ อยู่ห่างออกไปแล้วก็พูดเบาๆ “เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้เจ้าค่ะ ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
คุณนายใหญ่สกุลหลินยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ารู้ แต่นางทำทุกอย่างได้ดีหมด เว้นแต่เรื่องเย็บปักถักร้อย นางนั้นยิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย ก็ยิ่งไม่มีความอดทนที่จะเรียนรู้ เป็นเช่นนี้ ข้าเห็นแล้วก็ปวดหัว”
มันก็เหมือนกับลูกศิษย์ที่เก่งทุกวิชาแต่ทำอาหารไม่เป็น แต่ใช่ว่าจะไม่มีอาหารกิน อีกทั้งยังรู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองพลังงาน ยิ่งไม่อยากใช้พลังงานเพื่อทำเรื่องพวกนี้ แต่ใช่ว่าเขาจะทำได้ไม่ดี
สืออีเหนียงพูดปลอบเบาๆ “คุณนายใหญ่ต้องอดทนสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์และฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังพูดคุยกัน “ปกติท่านชอบอ่านหนังสือมากเลยหรือ”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “ใช่แล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจไปกว่าการอ่านหนังสืออีกแล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าก็เคยเอาแต่ดีดพิณ ปกติข้าจะชอบฝึกดีดพิณในเรือนเสาหวา เรือนของท่านป้าสอง อยู่ในสวนดอกไม้หลังจวน จะได้ไม่รบกวนผู้อื่น ต่อมาท่านน้าหญิงห้าย้ายไปดูแลครรภ์ที่นั่น ข้าจึงไม่ค่อยได้ดีดพิณแล้ว”
“ท่านป้าสองของเจ้า ก็คือคนที่เขียนหนังสือ ‘แก่นแท้ทั้งแปด’ ใช่หรือไม่” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ใครๆ ก็บอกว่านางโชคร้าย เป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเช่นนั้นเป็นเรื่องดี สามารถเรียนรู้สิ่งใดก็ได้ตามใจตัวเอง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ขัดจังหวะนาง “ท่านป้าสองเป็นผู้อาวุโส เรื่องของนาง เด็กอย่างเราไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่านางเป็นคนตรงไปตรงมา อยู่กับนางแล้วสบายใจกว่าอยู่กับท่านป้าสองสามคนที่จวนเสียอีก นางจึงอยากเป็นเพื่อนกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ จึงรีบเอ่ยขอโทษ “ข้าคิดไม่รอบคอบเอง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่านางเป็นคนใจกว้าง ก็ชื่นชอบฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เช่นกัน ยิ้มให้นาง ถือว่าให้อภัยในคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของนาง
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “สวนดอกไม้หลังจวนของเจ้ากว้างใหญ่ขนาดนั้น หากเจ้าอยากฝึกพิณ นางอยู่ทางทิศตะวันออก เจ้าก็ไปฝึกทางทิศตะวันตก นางอยู่ทางทิศตะวันตก เจ้าก็ไปฝึกทางทิศตะวันออกก็ได้ หากทำเช่นนี้ก็ฝึกฝนได้แล้ว เจ้าระมัดระวังมากเกินไปกระมัง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ครุ่นคิด นางยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงพูดมีเหตุผล ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน” แต่ที่จริงแล้ว เพราะว่าจุนเกออยู่กับนางตลอดเวลา นางจึงไม่กล้าไปที่สวนดอกไม้หลังจวน หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น เกรงว่าตัวเองและเหวินอี๋เหนียงคงจะไม่รอด!
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้น พรุ่งนี้เจ้าไปเล่นที่จวนของข้า? ข้าอยู่ที่เรือนคนเดียว ลานก็กว้างใหญ่และว่างเปล่า เจ้ามาฝึกพิณที่เรือนของข้าก็ได้”
เจินเจี่ยเอ๋อร์จิตใจสั่นไหว
นางโตขนาดนี้แล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางเคยออกจวนไปจุดธูปที่วัดฮู่กั๋วกับไท่ฮูหยินแค่ครั้งเดียวตอนอายุได้เก้าปี
แต่เมื่อนึกถึงจุนเกอ…ใจของนางก็เยือกเย็นลงอีกครั้ง นางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม “เรื่องนี้ต้องให้ท่านแม่อนุญาติเจ้าค่ะ”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กะพริบตาให้นาง “ประเดี๋ยวข้าจัดการเอง!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ กลัวว่านางจะพูดอะไรทำให้สืออีเหนียงเข้าใจผิด นางกำลังจะพูดแต่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้ว่านางไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของเจ้า ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่นอน พรุ่งนี้ข้าจะเขียนหนังสือเชิญมาให้เจ้า เห็นแก่หน้าตา นางต้องอนุญาติให้เจ้าไปเล่นที่จวนข้าแน่นอน”
“นางดีกับข้าอย่างมากเจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบพูด “ท่านอย่าทำให้นางลำบากใจ”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็เบิกตากว้าง นางรู้สึกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนจิตใจดีและน่าสงสาร ถึงแม้ว่าแม่เลี้ยงจะดีแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่มารดาแท้ๆ ถึงแม้ว่านางจะเป็นคนตรงไปตรงมา แต่นางก็เกิดในสกุลขุนนาง นางรู้เรื่องพวกนี้ดี
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง!” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ยิ้ม “ข้าไม่มีทางทำให้เจ้าลำบากใจอย่างแน่นอน” แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนที่ซื่อสัตย์ ดีกว่าคนที่อยู่รอบตัวของตนเสียอีก
ผู้ใหญ่และเด็กๆ ต่างก็พูดคุยเรื่องของตัวเอง พลางเดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
จุนเกอเห็นฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เขาก็เบิกตากว้าง มองดูนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลักจากที่ทุกคนคำนับกันและทานอาหารเสร็จแล้ว ไท่ฮูหยินก็เชิญหลินฮูหยินไปพักผ่อนที่เรือนหน่วนเก๋อของตัวเอง สืออีเหนียงและคุณนายใหญ่สกุลหลินพาเด็กๆ ทั้งสองคนกลับไปที่เรือนของสืออีเหนียง
จุนเกอดึงมุมเสื้อของเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ยอมปล่อย ไท่ฮูหยินพูดโน้มน้าวเขาอยู่สองสามประโยค แต่กลับไม่ได้ผลเลยสักนิด อยู่ต่อหน้าคนของสกุลหลิน แน่นอนว่านางไม่กล้าสั่งสอนเขา สืออีเหนียงจึงยิ้มแล้วพูดว่า“ให้เขาไปกับพวกเราเถิดเจ้าค่ะ ท่านก็จะได้พักผ่อน”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วตอบรับอย่างจนใจ จากนั้นก็เรียกสาวใช้ที่รับใช้จุนเกอให้ติดตามไปด้วย