ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 136 เรื่องไม่คาดคิด(ต้น)
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็รู้สึกมึนงง ไม่รู้ว่าเสี่ยวหลานคนนี้เป็นใคร เหตุใดคุณชายห้าถึงให้หญิงผู้นี้ตั้งครรภ์…เมื่อคิดได้ว่ามีเด็กหลายคนยังคงอยู่ในห้อง จึงอดเงยหน้ามองเด็กๆ เหล่านั้นไม่ได้
สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ที่เมื่อครู่ใบหน้ายิ้มแย้มได้เปลี่ยนเป็นสีหน้าตึงเครียด ถอยไปอยู่ตรงมุมห้อง
เรื่องแบบนี้อย่าพูดต่อหน้าเด็กๆ จะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นสวีซื่อฉินก็อายุไม่น้อยแล้ว!
นางกวักมือเรียกสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ “ฉินเกอ เจินเจี่ยเอ๋อร์ พวกเราไปดูว่าป้าๆ จัดโต๊ะกันเสร็จแล้วหรือยังกันเถิด”
เมื่อสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ได้ฟังก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สายตากลับจับจ้องไปที่สวีลิ่งอี๋
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงเอ่ยปากขึ้นก็เข้าใจในทันที
เรื่องแบบนี้จะพูดต่อหน้าเด็กๆ ได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นมันเกี่ยวกับชื่อเสียงของน้องห้าด้วย อย่างไรก็ตามเขาก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส!
เขารีบพยักหน้าทันทีแล้วพูดว่า “พวกเจ้าไปกันเถิด”
เด็กๆ พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาเดินตามสืออีเหนียงออกมาจากห้องด้านใน
มีเพียงจุนเกอเท่านั้นที่ยังมึนงงอยู่ ถูกเจินเจี่ยเอ๋อร์จูงมือไปพลางหันกลับมามองอย่างสงสัย “พี่หญิง ท่านย่ากำลังจะมีหลานเพิ่มแล้ว แต่เหตุใดท่านย่าถึงไม่ดีใจกันเล่า”
เจินเจี่ยเอ๋อร์มองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าอึดอัดใจ ใบหน้าแดงระเรื่อ พูดเสียงเบาว่า “หยุดถามได้แล้ว”
เมื่อจุนเกอได้ยินดังนั้นก็เบะปาก ท่าทางน้อยใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้
เด็กๆ ยังคงปฏิบัติต่อนางเหมือนคนนอก ดังนั้นจึงรักษาศักดิ์ศรีเมื่ออยู่ต่อหน้านาง!
ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในห้องจะคุยกันนานแค่ไหน ปกติตอนนี้ก็ได้เวลาทานข้าวแล้ว นางถามเด็กๆ ว่า “พวกเจ้าหิวหรือไม่” แต่สายตากลับมองไปที่จุนเกอ
ไม่ทันให้สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ตอบ จุนเกอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าหิวแล้ว”
เมื่อสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ได้ฟังก็มีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงเรียกทุกคนไปที่ห้องปีกทิศตะวันออก
“กินแอปเปิ้ลสองสามชิ้นรองท้องไปก่อน รอให้คุณชายสามกับฮูหยินสามมาถึงก็จะได้ทานข้าวแล้ว” นางสั่งให้สาวใช้เอาแอปเปิ้ลใส่จานกระเบื้องเคลือบสีทองมาให้ทุกคน “อีกอย่างการทานผลไม้ก่อนมื้ออาหารก็ดีต่อร่างกายด้วย”
สีหน้าของเด็กๆ เปลี่ยนไป สีหน้าของสวีซื่อฉินเต็มไปด้วยความสงสัย เจินเจี่ยเอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย สวีซื่อเจี่ยนยิ้มแห้ง แววตาของสวีซื่ออวี้ดูประหลาดเล็กน้อย มีเพียงจุนเกอที่พูดเสียงดังว่า “ท่านพูดผิดแล้ว ต้องทานข้าวก่อนแล้วค่อยทานผลไม้”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วย่อตัวลง มองหน้าจุนเกอแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อาหารรสชาติเข้มข้น ผลไม้รสชาติเจือจาง หากเจ้าทานอาหารก่อนทานผลไม้ อาหารก็จะครอบคลุมรสชาติผลไม้ แล้วท้องจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าได้ทานผลไม้ลงไปด้วย”
เมื่อจุนเกอได้ฟังก็อ้าปากค้าง ปากขยับพยายามจะพูด แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ก็หาคำพูดโต้แย้งไม่ได้
สืออีเหนียงลูบหัวของเขา “ดังนั้นควรทานผลไม้ก่อนมื้ออาหารเพื่อเป็นการทักทายท้องก่อน บอกมันว่าเจ้าจะทานข้าวแล้ว ให้มันเตรียมตัวให้พร้อม”
จุนเกอดูเหมือนจะถูกความคิดของสืออีเหนียงทำให้สับสน มองสืออีเหนียงอย่างนิ่งๆ ให้นางลูบหัวของเขาได้ตามสบาย
สวีซื่อเจี่ยนกุมท้องหัวเราะเสียงดัง “อาสะใภ้สี่ ท่านรู้จักเหตุผลเพี้ยนๆ เช่นนี้ด้วยหรือ”
สวีซื่อฉินก็หัวเราะเช่นกัน “อาสะใภ้สี่ จุนเกอถูกท่านหลอกจนสับสนไปหมดแล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วรู้สึกขบขันเช่นกัน นางยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ
มีเพียงสวีซี่ออวี้ที่มองสืออีเหนียงด้วยแววตาเป็นประกาย
สืออีเหนียงรู้ว่าทุกคนยอมรับหลักการที่ว่าควรทานอาหารก่อนทานผลไม้ แต่การพูดตามหลักการวิทยาศาสตร์อาจจะทำให้คนอื่นๆ ไม่เข้าใจ ไม่แน่อาจจะคิดว่านางบ้า อีกทั้งนางเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะแนะนำคนอื่นให้ใช้ชีวิตเช่นนี้
นางยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามพวกเขาว่า “นี่ก็ปลายเดือนสิบเอ็ดแล้วพวกเจ้ายังไม่ปิดภาคเรียนอีกหรือ”
สืออีเหนียงยังจำงานเลี้ยงที่สกุลหลัวได้เชิญเหล่าอาจารย์มากินเลี้ยงเมื่อก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะได้กลับบ้านก่อนฤดูหนาว จากนั้นก็ค่อยกลับมาใหม่ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
เมื่อมีเสียงหัวเราะบรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายมากขึ้น
สวีซื่อเจี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ อย่างสบายอารมณ์ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเราต้องเล่า0เรียนไปจนถึงเทศกาลล่าปา[1] ทานโจ๊กล่าปา[2]แล้วร่ำลาอาจารย์เรียบร้อยจึงจะได้ปิดภาคเรียน แต่คนเรือนอื่นเรียนแค่ถึงเทศกาลฤดูหนาวขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้า อุ้มจุนเกอไปที่เตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง “จวนข้าก็เป็นเช่นนั้น บรรดาอาจารย์จะพักการสอนในเทศกาลฤดูหนาว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิจึงจะเปิดการสอนอีกครั้ง” พูดพลางถอดรองเท้าให้เขาไปด้วย
จุนเกอขัดขืนเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงเตาอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นก็รีบเข้าไปช่วยถอดรองเท้าอีกข้างหนึ่งของจุนเกอ
“อาสะใภ้สี่” เมื่อสวีซื่อเจี่ยนได้ฟังก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า “ท่านช่วยพูดกับท่านอาสี่ได้หรือไม่ ให้พวกเราปิดภาคเรียนในฤดูหนาวแล้วเปิดภาคเรียนในฤดูใบไม้ผลิได้หรือไม่”
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่นาง
สืออีเหนียงเห็นว่าสวีซื่ออวี้มองนางอย่างจริงจังจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องของบุรุษอย่างพวกเจ้า จะให้สตรีออกหน้าให้ได้อย่างไร หากจะพูดพวกเจ้าก็ต้องไปพูดกับท่านโหวด้วยตัวเองอย่างเปิดเผย”
เมื่อสวีซื่อเจี่ยนได้ฟังก็ส่งเสียงโอดครวญ ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ “อาสะใภ้สี่หลอกข้า”
สายตาของสืออีเหนียงกลับมองไปที่สวีซื่ออวี้และสวีซื่อฉิน
นางเห็นทั้งสองคนพยักหน้าเล็กน้อยและแสดงออกถึงความเห็นด้วย
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นางไม่เคยคิดเลยว่าสวีซื่ออวี้ที่เย็นชาและทำตัวห่างเหินกับตัวเองจะเห็นด้วย…เด็กคนนี้ไม่ลำเอียง ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
สืออีเหนียงพยักหน้าในใจ
เมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินที่สวีซื่อเจี่ยนพูดก็อดกังวลใจไม่ได้จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ พวกเราไปช่วยจัดตะเกียบดีหรือไม่เจ้าคะ”
นางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาราวกับกลัวว่าสืออีเหนียงจะไม่พอใจกับการกระทำของสวีซื่อเจี่ยน
รู้สึกได้ถึงความใส่ใจของเจินเจี่ยเอ๋อร์ สืออีเหนียงก็รู้สึกซาบซึ้งใจ และอิจฉาเด็กๆ เหล่านี้ที่สามัคคีและดูแลซึ่งกันและกัน
แน่นอนว่านางอยากจะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์สบายใจจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ ส่วนพวกเราไปช่วยเหยาหวงและคนอื่นๆ จัดตะเกียบกันเกิด”
จุนเกอกลับดึงแขนเสื้อนางไว้ “ท่านแม่ หากกินแอปเปิ้ลก่อน ท้องก็จะรับรู้ใช่หรือไม่ขอรับ”
รู้จักเรียกท่านแม่แล้ว…
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก รอยยิ้มของนางสดใสขึ้นมา “ต้องกินแอปเปิ้ลก่อนมื้ออาหารทุกครั้ง เมื่อนานวันเข้าท้องก็จะรับรู้ได้ แต่หากวันนี้เจ้ากิน พรุ่งนี้ไม่กิน ท้องมันไม่ได้ฉลาดเหมือนจุนเกอ จะรับรู้ได้อย่างไร”
จุนเกอยิ้ม
สืออีเหนียงชะงักเล็กน้อย
เวลาจุนเกอยิ้มนั้นแววตาสดใสและไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก…ครั้งแรกที่นางเห็นหยวนเหนียง หยวนเหนียงก็เคยเผยรอยยิ้มเช่นนี้ออกมา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดดวงตาของนางจึงมีน้ำเอ่อออกมา
กลัวว่าคนอื่นจะเห็นเข้าจึงเงยหน้าแล้วกะพริบตา “เอาล่ะ จุนเกอนั่งอยู่ที่นี่และเล่นกับพี่ชายอย่างเชื่อฟังเถิด ส่วนข้ากับเจินเจี่ยเอ๋อร์จะไปจัดตะเกียบ เมื่อท่านลุงสามกับท่านป้าสามมาถึงแล้วพวกเราก็จะได้ทานข้าวกันทันที” พูดพลางรีบเดินไปที่โต๊ะข้างๆ
ดังนั้นนางจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าสายตาของสวีซื่ออวี้จับจ้องมาที่นางอยู่ตลอด…
******
บอกว่าจะไปจัดตะเกียบ แต่ความจริงแล้วบรรดาสาวใช้ได้จัดเตรียมของไว้หมดแล้ว พวกนางก็แค่รับมาจากสาวใช้แล้ววางไว้บนโต๊ะก็เท่านั้น
เจินเจี่ยเอ๋อร์ก้มหน้า ใช้ผ้าห่อตะเกียบที่สาวใช้ส่งมาให้ จากนั้นก็วางลงช้าๆ มองซ้ายมองขวาแล้วปรับตำแหน่ง…ท่าทางดูคล่องแคล่วแต่กลับเชื่องช้ามาก
นางรู้ว่าการมาจัดตะเกียบเป็นแค่ข้ออ้างจึงได้จัดช้าเช่นนี้
มองไปยังเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่เงียบขรึมและรู้ความ นึกได้ว่านางใช้ชีวิตอยู่กับไท่ฮูหยินมายาวนาน ข้างกายมีเพียงจุนเกอที่ไม่รู้ความ สืออีเหนียงรู้สึกได้ว่านางนั้นเหงาอย่างมาก
สืออีเหนียงนึกถึงฮูหยินสองที่สอนนางดีดฉิน…ไม่รู้ว่าเมื่อนางได้รับจดหมายจากฉินอี๋เหนียงแล้วจะคิดทำอันใดต่อ
“ท่านป้าสะใภ้สองไม่ได้อยู่ในจวนแล้ว ส่วนอาสะใภ้ห้าก็ไปอาศัยอยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวน” สืออีเหนียงถามนาง “เจ้าไม่ได้ฝึกดีดฉินแล้วหรือ”
ตั้งแต่วันนั้นที่ได้ยินนางดีดฉินที่เรือนเสาหวา สืออีเหนียงก็ไม่เคยได้ยินนางดีดฉินอีกเลย
“ข้าไม่ได้ฝึกดีดฉินแล้ว” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ท่านป้าสองบอกว่ากวี หมากล้อม และภาพวาดล้วนเป็นเพียงการผ่อนคลายและเพื่อสนุกสนานเท่านั้น อย่าได้หลงระเริงเพราะเหตุนี้”
เหตุใดจู่ๆ ถึงได้พูดถึงความลุ่มหลงกันเล่า
สืออีเหนียงมองมือของเจินเจี่ยเอ๋อร์
ถือตะเกียบได้มั่นคงเป็นอย่างมาก
“นอกจากเรียนฉินแล้วเจ้ายังเคยเรียนสิ่งใดอีก” นางรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
“ข้าได้เรียนรู้อย่างละเล็กละน้อย” เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดอย่างเขินอายว่า “แต่มีเพียงฉินที่เล่นได้ค่อนข้างดี”
สืออีเหนียงฟังแล้วใจเต้นเล็กน้อย “เจ้าคงชอบดีดฉินมาก”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ก้มหน้าไม่ตอบ
เสียงหัวเราะร่าเริงของสวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอดังมาจากฝั่งหน้าต่างที่มีเตียงเตาขนาดใหญ่
สืออีเหนียงอดถอนหายใจไม่ได้
บางคนไร้เดียงสา บางคนก็เป็นผู้ใหญ่ บางคนก็เย็นชาและไม่แยแสสิ่งใด…แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ไม่ควรยับยั้งความต้องการและความถนัดตามธรรมชาติ
“ท่านย่าชอบฟังเจ้าดีดฉินหรือไม่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนกลางคืนท่านย่านอนไม่หลับ ตอนกลางวันก็ต้องนอนกลางวัน ข้าเกรงว่าจะไปรบกวนท่านเจ้าค่ะ”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็รู้สึกปวดใจ
มองดูบุตรของสวีลิ่งหนิงทั้งสองคนนั้น สวีซื่อฉินเป็นคนฉลาด ส่วนสวีซื่อเจี่ยนเป็นคนซื่อตรง แล้วมองดูบุตรทั้งสามคนของสวีลิ่งอี๋ คนหนึ่งต้องอดทนต่อความโดดเดี่ยว อีกคนหนึ่งก็มีทัศนคติที่ประหลาด มีเพียงจุนเกอที่ค่อนข้างปกติ
สกุลสวีปกครองบ้านเมืองให้สงบสุข…สวีลิ่งอี๋คงจะมีคุณสมบัติคู่ควรแค่คำว่า ‘ปกครอง’ เท่านั้น!
ขณะที่กำลังฟุ้งซ่าน ก็มีสาวใช้เปิดผ้าม่านห้องโถงขึ้น “คุณชายสามกับฮูหยินสามมาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงกลัวว่าพวกเขาจะเดินไปที่ห้องปีกทิศตะวันตกจึงรีบเดินออกไปต้อนรับ “พี่สาม พี่สะใภ้สาม เชิญนั่งทางนี้เจ้าค่ะ”
คุณชายสามสวมผ้าไหมปักลายค้างคาวห้าตัวสีน้ำเงินเข้ม ฮูหยินสามที่เดินตามหลังมาสวมเสื้อกั๊กสีแดงเข้มปักลายดอกไม้หลากสี ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้น
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ฮูหยินสามมองผ้าม่านที่ห้อยลงมาทางทิศตะวันตก แล้วมองไปยังเด็กๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
คุณชายสามเองก็มีสีหน้าที่ไม่เข้าใจเช่นกัน
สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิดว่าจะพูดอย่างไรดี สวีซื่อเจี่ยนที่ได้ยินความเคลื่อนไหวก็รีบวิ่งออกมาทันที “ท่านพ่อ ท่านแม่ เหตุใดพวกท่านพึ่งมาขอรับ”
ฮูหยินสามรีบอุ้มบุตรชายที่วิ่งมาไว้ในอ้อมแขน “เจ้าช่วยสงบนิ่งเหมือนพี่ชายเจ้าสักหน่อยไม่ได้หรือ” ถึงแม้ว่าปากจะตำหนิ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับแฝงไปด้วยความเอ็นดู
สวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้ได้เข้าไปคำนับคุณชายสามและฮูหยินสาม เจินเจี่ยเอ๋อร์ใส่รองเท้าให้จุนเกอแล้วพาเขามาคำนับทั้งสองด้วยกัน
“พวกเจ้ามาถึงกันหมดแล้ว” คุณชายสามมองดูเด็กๆ ด้วยสายตาเอ็นดู สวีซื่อฉินส่งสายตาให้ท่านพ่อ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่ากำลังพูดคุยอยู่กับท่านอาสี่และท่านอาห้า พวกเรามานั่งตรงนี้กันเถิด”
คุณชายสามมีท่าทางประหลาดใจ แต่ไม่นานก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาสิ” จากนั้นก็เดินตามสวีซื่อฉินไปที่ห้องปีกทิศตะวันออก
แต่ดวงตาของฮูหยินสามกลับเป็นประกาย ดึงสืออีเหนียง “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงพาเด็กๆ ออกมาข้างนอก”
เรื่องนี้ต่อให้อยากจะปิดก็ปิดไม่อยู่
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นบอกว่าเสี่ยวหลานตั้งครรภ์แล้ว ข้าเห็นว่าหากเด็กๆ อยู่ที่นั่นจะไม่สะดวกจึงพาพวกเขาออกมา”
เมื่อฮูหยินสามได้ฟังก็มีสีหน้าดูแคลน “ในเมื่อรับมาเป็นสาวใช้ห้องข้างแล้ว ก็ควรจะสอนให้นางรู้ว่าอะไรคือข้อห้าม ทำตัวไม่รู้จักกฎเกณฑ์เช่นนี้ ฟังดูเหมือนมีคุณธรรม ข้าดูแล้วก็เพียงแค่แกล้งทำเท่านั้นแหละ”
ดูเหมือนว่าฮูหยินสามจะรู้จักเสี่ยวหลาน
มันเป็นเรื่องของครอบครัวคุณชายห้า สืออีเหนียงไม่อาจไปแสดงความคิดเห็น ทำเพียงแค่ยิ้มแล้วเดินไปห้องปีกทิศตะวันออกกับนาง
————————-
[1]เทศกาลล่าปา คือ เทศกาลบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษปลายปีในเดือนสิบสอง เพื่อขอให้มีโชคมีลาภ ชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงภัยพิบัติและได้รับความเป็นสิริมงคล
[2] โจ๊กล่าปา คือ โจ๊กที่ใช้ไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ มีส่วนผสมหลากหลายชนิด เช่น ข้าวขาว ข้าวเหนียวดำ ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง เม็ดบัว พุทราจีน เนื้อลำไยแห้ง มันเทศและเก๋ากี้ เป็นต้น หลังจากใช้เซ่นไหว้เรียบร้อยจึงนำมารับประทาน