ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 124 แจกจ่ายข้าวต้ม (กลาง)
ดูแลไร่ที่เหอหนานบ้านเกิด…เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นคนที่ได้รับความไว้ใจเป็นอย่างมาก!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้าให้เซียงอี้
เซียงอี้รีบเดินเข้าไปคำนับสืออีเหนียง “เซียงอี้ คารวะฮูหยินสี่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่คิดว่าตนจะได้เจอกับคนนอกตอนนี้ โชคดีที่นางปักปิ่นปักผมสีทองสองอันบนหัว นางจึงดึงออกมาอันหนึ่งมอบให้เซียงอี้เป็นของขวัญ
เซียงอี้กล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณอีก
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ เซียงอี้ไม่ใช่คนนอกอะไร ทุกคนไม่ต้องพิธีรีตองขนาดนี้” จากนั้นก็ยิ้มให้สืออีเหนียง “วันนี้ทานหม้อไฟเป็ด”
เซียงอี้ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมา “เป็ดของที่ไร่ ทำตามสูตรที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้เจ้าค่ะ”
ดูเหมือนจะเป็นอาการของบ้านเกิด!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ดีจังเลย! ข้าช่างมีวาสนาเสียจริง”
*****
หว่านเซียงที่กำลังนั่งดื่มซุปไก่อยู่ในโรงครัวเล็กวางถ้วยกระเบื้องลายครามลงแล้วพูดว่า “นี่ก็แสดงว่าเซียงอี้กลับมาแล้ว!”
“ใช่แล้ว!” สะใภ้หลิวอู่ ผู้ดูแลเตาไฟยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “นำเป็ดมาเต็มลำรถ!”
หว่านเซียงหัวเราะด้วยความดูถูก “ถือว่านางฉลาด รู้จักเอาเป็ดมาเอาใจไท่ฮูหยิน แต่ว่า นางก็มีความสามารถแค่ทำให้ไท่ฮูหยินพอใจก็แค่นั้น”
“ถูกต้อง” สะใภ้หลิวอู่ยิ้ม “จะเทียบท่านได้เช่นไรกัน ท่านเป็นคนดูแลโรงครัวในจวน ไม่มีท่านไม่ได้จริงๆ”
“เอาล่ะ เอาล่ะ” สีหน้าของหว่านเซียงไม่ค่อยสบอารมณ์ “เจ้าไม่ต้องมาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับข้าแล้ว ข้าถามเจ้า โสมที่ข้าต้องการยังมีอยู่หรือไม่”
สีหน้าของสะใภ้หลิวอู่ดูหม่นหมอง นางพูดเบาลง “ท่านก็รู้ว่าตอนนี้ทุกเรือนทำอาหารตามสูตร เครื่องปรุงก็มาเอาตามปริมาณ จะมีโสมเหลือได้เช่นไร”
หว่านเซียงสีหน้ามืดมนลง วางถ้วยในมือลงบนโต๊ะอย่างดัง
สะใภ้หลิวอู่รีบจับถ้วยเอาไว้ “พี่หว่านเซียง เบาๆ หน่อย กานเหล่าเฉวียน สะใภ้กานนับอาหารอยู่ข้างนอก!”
“ถุ้ย!” สีหน้าของหว่านเซียงเต็มไปด้วยความโมโห “ตอนที่ข้าเป็นคนดูแลโรงครัว ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางอยู่ที่ใด กล้ามายกหางต่อหน้าข้า เดี๋ยวข้าจะตบให้ตาย” นางพูดเสียงเบา
สะใภ้หลิวอู่รู้อยู่แล้ว
เมื่อนายเปลี่ยนลูกน้องก็ต้องถูกเปลี่ยน ชีวิตดีๆ ของหว่านเซียง สาวใช้ฮูหยินของท่านโหวตอนนั้นสิ้นสุดลงแล้ว!
นางอดไม่ได้ที่จะพึมพำ “ตัวเองไม่ได้อยากกินโสมสักหน่อย…อีกทั้งตอนนี้ลมก็หนาวขนาดนี้…ป้าหวงก็เพียงแค่พูดผ่านๆ ไม่ได้เจาะจงร้องขออะไร เหตุใดจึงต้องทำตัวโง่เง่าโดนหลอกเช่นนี้!”
“เจ้าพูดอะไร” หว่านเซียงได้ยินคำว่าโง่เบาๆ ได้ยินไม่ค่อยชัด นางจึงพูดด้วยความโมโห “มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ จะอ้ำอึ้งทำไม”
สะใภ้หลิวอู่ไม่กล้าพูดออกมา ข้างนอกก็มีคนเรียกหว่านเซียง “สะใภ้เฉิน อาหารพร้อมแล้วเจ้าค่ะ ท่านจะมานับดูหรือไม่”
หว่านเซียงลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าของตัวเอง เดินไปที่ประตู เหลือบมองไปที่กานเหล่าเฉวียนแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ข้าจะไปเข้าห้องน้ำ เจ้ารอข้าก่อน!” พูดจบนางก็เดินออกไป
สะใภ้คนนั้นกระทืบเท้าด้วยความโมโห ส่งอาหารมาแล้วต้องลงนาม ลงนามแล้วก็ต้องเอารายการไปให้ที่จัดซื้อของโรงครัว เรื่องนี้ถึงจะถือว่าเสร็จเรียบร้อย หว่านเซียงทำตัวไม่มีความรับผิดชอบเช่นนี้ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว
ทุกคนในโรงครัวก็ทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เดิมทีทำอะไรอยู่ ตอนนี้ก็ยังคงทำเช่นนั้นเหมือนเดิม!
มีหญิงคนหนึ่งขยิบตาให้สะใภ้คนนั้น
สะใภ้คนนั้นจึงเดินออกไป
หญิงคนนั้นเดินตามไป “…ท่านจะกลัวสิ่งใด รออยู่ที่นี่แหละ ไม่มีคนมาเอาอาหารมันเกี่ยวอะไรกับท่าน”
สายตาของสะใภ้คนนั้นเป็นประกาย นางถามหญิงคนนั้นว่า “เจ้าชื่ออะไร ข้าจะบอกให้พ่อบุญธรรมของข้าเรียกใช้เจ้าเยอะๆ”
หว่านเซียงกลับมาที่เรือนของตัวเองแล้ว
เฉินซวี่ สามีของนางกำลังถือถาดถั่วลิสงและเหล้าเหล่าไป๋กานหนึ่งขวด ร้องเพลงอย่างมีความสุข พอเห็นหว่านเซียงกลับมา เขาก็ตกใจ “เจ้าไม่ไปนับอาหารที่โรงครัวหรอกหรือ เหตุใดจึงกลับมาที่นี่”
หว่านเซียงมองเฉินซวี่อย่างเย็นชา หันหน้าเดินเข้าไปในห้อง ไปค้นกล่องค้นตู้หาสิ่งของบางอย่าง
ตอนนี้เฉินซวี่ไม่มีการมีงานทำ ทุกอย่างต้องอาศัยเงินเดือนของหว่านเซียง เขารีบลุกขึ้นไปจับนางไว้ “เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกอารมณ์เสียได้แล้ว ไปนับรายการอาหารก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หว่านเซียงสะบัดมือของเฉินซวี่ออก ทำหน้าบึ้งแล้วค้นกล่องต่อ
“หว่านเซียง เจ้าเลิกประชดประชัดฮูหยินสามได้แล้ว” เขาชินกับการถูกภรรยากดขี่ เขาเตือนนางเบาๆ “เจ้าทำเช่นนี้มันมีประโยชน์อันใด เจ้าไม่ไปนับรายการอาหาร ทุกคนยืนแข็งทื่ออยู่ที่นั่น ถึงตอนนั้นไปส่งอาหารให้แต่ละเรือนสาย พวกนางก็ต้องมาเอาเรื่องที่เจ้า”
หว่านเซียงได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาเบิกตากว้างใส่สามีของตัวเอง “นางอยากจะไล่ข้าออกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ข้ากำลังให้โอกาสนางไม่ใช่หรือ”
“ทำไมต้องทำเช่นนี้!” เฉินซวี่ยิ้ม “อย่างน้อยเจ้าก็เป็นคนมีหน้ามีตา ไม่จำเป็นต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับนาง”
หว่านเซียงได้ยินเช่นนี้ในใจก็ยิ่งโมโหขึ้นกว่าเดิม “เจ้าไม่ต้องมาไกล่เกลี่ยสะเปะสะปะ ข้าจะบอกเจ้าให้ หากฮูหยินสี่ยังไม่ดูแลเรื่องในจวน งานนี้ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะต้องพัง แทนที่ถึงตอนนั้นจะปล่อยให้นางถือถาดอุจจาระมาวางบนหัวข้า ไม่สู้แยกย้ายกันไปเช่นนี้เสียยังจะดีกว่า”
“ใช่ ใช่ ใช่” เฉินซวี่ยิ้ม “เจ้าพูดถูก เจ้าพูดถูก”
สามีของตัวเองเป็นคนมีความสามารถ แต่ไม่มีสมอง
หว่านเซียงขี้เกียจที่จะสนใจเขา จากนั้นนางก็หากล่องไม้กล่องหนึ่งเจอ “เจอแล้ว!”
เฉินซวี่ตกใจ “เจ้าจะทำอะไร”
“เอาไปให้ป้าหวง” หว่านเซียงเปิดกล่อง ในกล่องมีโสมแท่งยาวเจ็ดแปดแท่ง
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” เฉินซวี่คว้ากล่องใบนั้นมา “เดิมทีเจ้ามีโอกาสช่วยนางเอาโสมมาจากโรงครัว แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้ไม่ได้อยู่ในมือของเจ้า…เราจะเอาของของตัวเองออกไปให้คนอื่นได้เช่นไร!”
“เอามานะ!” หว่านเซียงคว้ากล่องใบนั้นกลับมาอีกครั้ง “เจ้าจะรู้อะไร ตอนนี้เจ้าไม่มีงานทำ ตอนนี้ข้าก็ถูกคนเหยียบขึ้นมาบนหัวแล้ว หากแม้แต่มิตรภาพเก่าๆ เช่นนี้ก็ดูแลไม่ได้ ต่อไปเดินอยู่ในจวนยังจะมีใครมองเห็นหัว แค่นี้พวกเขาก็สามารถให้ได้เป็นปี ถึงตอนนั้นบางทีเรื่องราวอาจจะพลิกผันก็ได้ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่งย่าม ข้ามีความคิดของข้า” พูดจบนางก็หยิบโสมออกมาหนึ่งแท่ง ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าแล้วถือเดินออกไป
เฉินซวี่มองดูแผ่นหลังของภรรยา เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำเบาๆ “ป้าหวงก็จริงๆ เลย…บุตรชายของตัวเองป่วยต้องทานโสม ก็ให้นางไปซื้อเองสิ…นางมาพูดกับเจ้าเช่นนี้ ก็แค่อยากได้ของจากเจ้า แต่เจ้ากลับเห็นนางเป็นพี่น้อง…”
ทางด้านหว่านเซียง นางถือโสมรีบเดินออกไปที่โรงครัวข้างนอก
เดินมาถึงใต้ชายคาก็ได้ยินป้าหวงตะโกนเสียงดัง “ข้ายุ่งขนาดนี้ยังจะให้ข้าส่งคนไปแจกจ่ายข้าวต้ม นี่เป็นความคิดของผู้ใดกัน ข้าไม่มีคนแล้ว!”
หว่านเซียงได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ นางหลบไปแอบฟังอยู่ข้างๆ
“เป็นความคิดของฮูหยินสามเจ้าค่ะ” หญิงผู้นั้นยิ้ม “ถือว่าข้าได้บอกแล้ว แต่จะไปหรือไม่ไปก็ขึ้นอยู่กับท่าน” พูดจบนางก็เดินออกมา
หว่านเซียงเห็นหญิงผู้นั้นสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีเขียว บนหัวประดับด้วยดอกไม้สีแดง นางรู้ว่านางคือหลานสาวของกานเหล่าเฉวียน รอให้นางเดินออกไปแล้วนางถึงได้เข้าไปในโรงครัว
ป้าหวงราวกับถูกสาดน้ำใส่หน้า นางกำลังโมโห เห็นหว่านเซียงเดินเข้ามานางจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าแล้วเดินเข้าไปต้อนรับ “เหตุใดน้องหว่านเซียงจึงมาที่นี่กัน”
หว่านเซียงถอนหายใจ หยิบโสมออกจากแขนเสื้อของตนแล้วยื่นให้ป้าหวง “พี่หญิง ต้องโทษที่ข้าไร้ความสามารถ นี่คือโสมที่ข้าซ่อนไว้ เอาไปให้บุตรชายของท่านทานก่อนเถิด!”
ป้าหวงได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนไป นางพูดว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
หว่านเซียงจึงเล่าเรื่องที่ฮูหยินสามเข้มงวดเช่นไร “…ไม่ต้องพูดถึงโสม แม้แต่สมุนไพรโก่วฉีจื่อธรรมดาๆ ก็หาไม่ได้แล้ว ทำให้หลานชายคนโตต้องทนทรมาน ทานโสมมาแล้วตั้งสองปี อีกนิดเดียวก็จะหายอยู่แล้ว”
ป้าหวงได้ยินเช่นนี้นางก็รู้สึกขมขื่น จับมือหว่านเซียงแล้วพูดว่า “น้องหญิงของข้า สองสามปีมานี้หากไม่ใช่เพราะเจ้า บุตรชายของข้าก็คงจะตายไปตั้งนานแล้ว เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้”
หว่านเซียงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา “เดิมทีคิดว่าจะรักษาหลานชายคนโตให้หายได้…แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ฮูหยินสามจะโผล่ขึ้นมากลางคัน หากนางยังเป็นคนดูแลจวนต่อไป เรื่องนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป…”
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับน้องหญิง…”
พวกนางสองคนโศกเศร้าเสียใจอยู่นาน
หว่านเซียงลุกขึ้น “ข้ายังต้องไปนับรายการอาหาร ไว้วันไหนข้าว่างข้าค่อยมาหาพี่หญิงนะเจ้าคะ”
ข้างนอกก็มีคนเรียกป้าหวง “คนที่จะส่งไปแจกจ่ายข้าวต้มเหตุใดยังไม่ถึง คุณชายสามจะออกเดินทางไปซุ้มข้าวต้มแล้ว”
ป้าหวงตะโกนตอบรับ จากนั้นก็ส่งคนออกไป หว่านเซียงก็เดินกลับที่โรงครัวในจวนช้าๆ
*****
“… ช่วงสองสามปีที่ข้าไว้ทุกข์อยู่ที่เหอหนานบ้านเกิด ก็มีพวกเขาคอยดูแล” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยความซาบซึ้ง “แค่พริบตาเดียวก็จะสิบปีแล้ว”
สืออีเหนียงเดินกลับไปกับสวีลิ่งอี๋อย่างช้าๆ เกล็ดหิมะปลิวอยู่นอกทางเดิน
“ตอนนั้นท่านโหวอายุเท่าไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋มองมาที่สืออีเหนียง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้โตไปกว่าเจ้าสักเท่าไร”
สืออีเหนียงเอ่ยถาม “ท่านกลัวหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง “จำไม่ได้แล้ว!”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าเขาอารมณ์ไม่ดี นางจึงยิ้มแล้วเปลี่ยนคำพูด “ปีนี้หิมะตกหนักจริงๆ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หยุดเดิน มองดูหิมะที่ตกนอกทางเดินด้วยสีหน้าที่ไม่มีความสุข
สืออีเหนียงแอบร้องในใจ
เขาจะมาระลึกความหลังที่นี่ แล้วตัวเองก็ต้องยืนหนาวอยู่ที่นี่ด้วยหรือ!
นางกำลังครุ่นคิด ก็มีคนถือโคมสีแดงสองโคมเดินเข้ามา
สืออีเหนียงเหลือบมองดูอย่างตั้งใจ พวกนางคือฉินอี๋เหนียงและสาวใช้สองคนที่กำลังถือโคมไฟ
“ท่านโหว ฮูหยิน” นางย่อคุกเข่าคำนับพวกเขาทั้งสองคน แต่กลับมองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เป็นห่วง “ข้าเห็นว่าพวกท่านยังไม่กลับมา จึงออกมารับเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงมองไปที่สวีลิ่งอี๋อีกครั้ง เขากลับมามีสีหน้าที่สุขุมเหมือนปกติแล้ว
“ข้ารู้แล้ว” เขาพูดเบาๆ “ทุกคนกลับไปเถิด!”
ฉินอี๋เหนียงตอบรับเจ้าค่ะเบาๆ จากนั้นก็เดินตามพวกเขาสองคนไป
สืออีเหนียงยิ้มและแยกย้ายกับสวีลิ่งอี๋ตรงประตูทางทิศตะวันออก จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
สาวใช้ในห้องก็รีบพากันถอดเสื้อคลุม ยกชาร้อนเข้ามาให้นาง
หู่พั่วอดไม่ได้ที่จะพูดเบาๆ “ฉินอี๋เหนียงกล้าหาญเกินไปแล้ว…คิดไม่ถึงว่านางจะรอไม่ไหวถึงกับต้องออกมาต้อนรับท่านโหว!”
สืออีเหนียงกำลังจิบชาร้อน นึกถึงสีหน้าที่เย็นชาของสวีลิ่งอี๋ตอนที่เขายืนมองเกล็ดหิมะที่ทางเดิน นางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเบาๆ “อาจจะไม่ใช่เช่นนั้น!”
“อะไรนะเจ้าคะ” หู่พั่วไม่เข้าใจ
“อืม” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าหมายความว่าฉินอี๋เหนียงรู้จักท่านโหวดีจริงๆ” จากนั้นก็ทำท่าทีเหมือนนึกอะไรออก “ใช่แล้ว ข้าให้เจ้าไปสืบเรื่องของจวนที่ตรอกจินอวี๋ ได้เรื่องอันใดหรือไม่”
หู่พั่วรีบตอบ “โชคดีที่ว่านต้าเสี่ยนและว่านเอ้อร์เสี่ยนขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคาตอนกลางคืน มีเพียงแค่ห้องเอ่อร์ฝังที่ทรุดห้องเดียว ห้องอื่นไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ!”
“ว่านต้าเสี่ยนช่างเป็นคนที่มีความสามารถ!” สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
หู่พั่วเป็นห่วง “ที่นี่ก็ต้องซ่อมแซม ที่นั่นก็ต้องซ่อมแซม ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเราต้องใช้เงินมากเท่าใดกัน!”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้