รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] - บทที่ 67 ไม่มีกู่ฉินหรือ? ข้าจะช่วยเจ้าทำกู่ฉินเอง! - บทที่ 68 บารมีผู้ยิ่งใหญ่ไม่อาจหยาม เพราะมีพลังคอยปกป้อง
- Home
- รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]
- บทที่ 67 ไม่มีกู่ฉินหรือ? ข้าจะช่วยเจ้าทำกู่ฉินเอง! - บทที่ 68 บารมีผู้ยิ่งใหญ่ไม่อาจหยาม เพราะมีพลังคอยปกป้อง
บทที่ 67 ไม่มีกู่ฉินหรือ? ข้าจะช่วยเจ้าทำกู่ฉินเอง!
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยเช่นข้ารู้สึกขอบคุณท่านยิ่งนัก!”
หลิงอินกับหลี่จิ่วเต้ากำลังเดินออกนอกเมือง แล้วนางก็เอ่ยขอบคุณผู้ยิ่งใหญ่ด้วยใจจริง
“ข้าว่างอยู่ อีกอย่างข้าสร้างกู่ฉินได้ มันหาใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม เขาเดินไปเนินเขาเขียวกับหลิงอินเพื่อจะตัดไม้มาทำกู่ฉิน
ทักษะกู่ฉินของหลิงอินนั้นยอดเยี่ยมเสียจนเขานึกว่าครอบครัวของหลิงอินมีกู่ฉิน ทำให้นางได้ฝึกซ้อมที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหลังจากไปถึงบ้านของนาง เขาก็พบว่าที่นั่นไม่มีกู่ฉินเลย…
เท้าความว่า วันนั้นมารดาของหลิงอินเชิญเขาไปเป็นแขกจึงมีโอกาสไปยังบ้านของนาง
แม่ของหลิงอินกล่าวว่าเราสองแม่ลูกต้องพึ่งพาอาศัยกันและชีวิตก็ไม่ได้ดีเพียงนั้น แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อกู่ฉินให้หลิงอินกัน…
แม่ของหลิงอินเองก็ไม่ทราบว่าหลิงอินเรียนรู้ทักษะกู่ฉินได้อย่างไร
เขาสัมผัสได้ว่าชีวิตของหลิงอินไม่เรียบง่ายเลย นางต้องเรียนรู้ทักษะกู่ฉินโดยไม่มีกู่ฉินในบ้าน แต่กลับมีทักษะกู่ฉินยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้
ตอนนั้นเอง เขาจึงบอกนางว่าจะช่วยสร้างกู่ฉินให้
ทว่าในตอนนั้นเขามัวแต่ง่วนอยู่กับการช่วยชายชรารักษาอาการบ้าจึงไม่มีเวลาว่างเลย
หลังจากการรักษาชายชราในช่วงเวลานี้ อาการของอีกฝ่ายก็ทุเลาลงมาก ไม่ได้ฝันถึงการเป็นผู้ฝึกตนอีกต่อไป และไม่ได้พูดเรื่องผู้ฝึกตนอีกแล้ว
เขารู้สึกว่าชายชราเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องช่วยทำกู่ฉินให้เด็กสาวด้วย วันนี้เขาจึงมาชวนหลิงอินไปเนินเขาเขียวเพื่อหาไม้ทำกู่ฉิน
หากจะตัดไม้ในเนินเขาก็ไม่ค่อยสะดวกเสียเท่าไหร่ที่จะนำแมวขาวตัวน้อยมา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้พามันมาด้วย
‘ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ถึงกับสร้างกู่ฉินให้ข้า!’
หัวใจของหลิงอินเต้นกระหน่ำด้วยความซาบซึ้ง
ผู้อาวุโสสอนเสียงกู่ฉินให้นางและยังช่วยนางสำรวจวิถีแห่งกู่ฉินด้วย สิ่งนี้เองที่ทำให้นางฝึกฝนได้เร็วยิ่งยวด และการฝึกตนของนางในทุกด้านก็สมบูรณ์แบบมาก มันไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย!
ใช่…
วันนี้นางเริ่มฝึกตนแล้ว!
ไม่กี่วันมานี้ นางไม่เคยฝึกฝนเลย
ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ได้ปรับปรุงทักษะกู่ฉินอันโดดเด่นและเล่นให้นางฟังเป็นการส่วนตัว แสดงให้เห็นถึงวิถีแห่งกู่ฉินแบบใหม่ ซึ่งนางได้รับประโยชน์อย่างมากมาย!
ไม่กี่วันมานี้ นางไม่ได้เริ่มฝึกฝน เพราะกำลังทำความเข้าใจวิถีแห่งกู่ฉินที่ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่แสดงให้เห็น
จนในที่สุดนางก็ตระหนักถึงบางสิ่งและค่อย ๆ เริ่มฝึกฝนไป
ทว่าทันทีที่เริ่มฝึกฝน นางก็ต้องตกใจ
เป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งนักที่ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่แสดงวิถีแห่งกู่ฉินแบบใหม่ ที่เหนือกว่าวิถีแห่งกู่ฉินที่นางเคยฝึกฝนมาก่อนหน้า!
ทันทีที่ฝึกฝน นางรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างมาก และตระหนักถึงปัญหาที่นางมีในวิถีแห่งกู่ฉินที่นางฝึกฝนมาก่อนหน้านี้…
หากยังฝึกฝนตามวิถีแห่งกู่ฉินแบบก่อนหน้า แม้ว่านางจะมีอีกหนึ่งอายุขัย บัลลังก์ก็ยังคงอยู่ไกลเกินเอื้อมอยู่ดี
แต่หลังจากฝึกฝนวิถีแห่งกู่ฉินแบบใหม่ที่อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่แสดงให้เห็น จู่ ๆ นางก็รู้สึกถึงความแตกต่างจนพัฒนาขึ้นอย่างมากในทุกด้าน ทีนี้บัลลังก์ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ยามนี้นางเริ่มคาดหวังจะเป็นจักรพรรดิและก้าวไปถึงระดับที่สูงยิ่งกว่านั้นแล้ว ซึ่งก็คือขอบเขตมหาจักรพรรดิ!
มาตอนนี้ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ต้องการทำกู่ฉินให้นาง นี่จะไม่ให้ซาบซึ้งได้อย่างไร
ด้วยขอบเขตของผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ กู่ฉินที่สร้างจะไม่ใช่กู่ฉินอันยิ่งใหญ่เชียวหรือ?
นี่จะต้องเป็นกู่ฉินล้ำค่าที่เหนือจินตนาการอย่างแน่นอน!
แม้ว่านางที่เป็นเทพธิดาแห่งกู่ฉิน มันก็คงเทียบไม่ได้แน่นอน!
ถึงกระนั้นหลิงอินยังคงแคลงใจอยู่เล็กน้อย
ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่บอกว่าจะพานางไปเนินเขาเขียวเพื่อตัดต้นไม้ อืม~ …มีต้นไม้ล้ำค่าในเมืองชิงซานด้วยหรือ?
นางสับสนงงงวย แต่ไม่กล้าออกปากถามไปมากกว่านี้
เมื่อผู้มีอำนาจลงมือกระทำสิ่งใด นั่นย่อมต้องมีความหมายลึกซึ้ง นางไม่สามารถต่อกรกับผู้ยิ่งใหญ่และทำให้พรกลายเป็นหายนะได้
เนินเขาเขียวอยู่ไม่ไกลนักเลยใช้เวลาไม่นาน หลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินก็มาถึง
ชายหนุ่มคุ้นเคยกับถนนหนทางดีจึงพาหลิงอินเข้าไปในส่วนลึกของพงไพร
“แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว…”
หลี่จิ่วเต้าเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมในการสร้างกู่ฉิน
นี่คือต้นไม้สูงตระหง่านที่มีความหนาเพียงไม่กี่คนโอบ มันเป็นต้นหนานมู่เก่าแก่ชั้นดีที่สุดสำหรับทำกู่ฉิน!
หลิงอินมองขึ้นลงที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ด้วยความสงสัยว่านี่คือต้นไม้สมบัติล้ำค่าชนิดหนึ่งหรือไม่?
‘ไม่เห็นจะรู้สึกอันใดเลย…’
นางครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเริ่มค้นหาด้วยสัมผัสวิญญาณ ทว่าก็ไม่พบสิ่งพิเศษเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เลย…
ในความคิดของนาง นี่คือต้นหนานมู่เก่าแก่ธรรมดาสามัญ
…
บนท้องฟ้าสูงของเนินเขาเขียว นาวาเทวะปรากฏขึ้นและหายไปเป็นครั้งคราว โผทะยานผ่านความว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง
“ซากโบราณสถานยากจะเปิดออก และสมบัติในนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ยากจะจินตนาการได้ ข้าต้องกลับไปรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับซากโบราณสถานต่อหน้าปรมาจารย์สวรรค์ และให้ปรมาจารย์สวรรค์นำสมบัติศักดิ์สิทธิ์มาช่วย!”
บนนาวาลำนั้น ชายชราผมขาวพึมพำกับตัวเอง
ต่อให้วันเวลาผันผ่านไม่กี่วัน ต่อให้ผู้แข็งแกร่งจะจัดรูปแบบและรวบรวมกำลังของทุกคนเข้าด้วยกัน มันก็ยังยากที่จะสร้างความเสียหายให้กับซากโบราณสถานได้อยู่ดี…
และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะโจมตีไปอีกสองสามเดือน มันก็ยากที่จะได้ผล
เขาต้องการกลับไปภาคกลางและให้ปรมาจารย์สวรรค์นำสมบัติศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเขา ซากโบราณสถานนี้ซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิด!
มันอาจมีสมบัติล้ำค่าท้าทายสวรรค์อยู่ในนั้น!
นอกจากนี้ ไม่เพียงแค่เขาที่กำลังกลับ ยังมีคนแข็งแกร่งอีกหลายคนกลับมาด้วย พวกเขาล้วนแต่ต้องกลับไปรายงานเรื่องซากโบราณสถานที่นี่ และต้องให้ผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามา
แกร็ก!
พลันมีเสียงแตกหักอย่างกะทันหันจากตัวเรือ พริบตาเดียวเรือทั้งหมดก็ระเบิดในทันที เศษซากชิ้นส่วนกระจัดกระจายร่วงหล่นสู่พื้น!
“สถานการณ์อะไรกันนี่!”
ชายชราผมขาวรู้สึกหวาดกลัว แต่โชคดีที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วจึงรีบหนีออกมาได้ทันท่วงที
ถึงกระนั้นเขายังได้รับผลกระทบจากพลังบางอย่าง และร่างทั้งร่างก็ร่วงหล่นจากอากาศสู่ส่วนลึกของเนินเขาเขียวราวกับถูกพัดตกอย่างแรง!
ปากของชายชราเต็มไปด้วยเลือดและกระดูกทั่วร่างแตกหัก ซึ่งหมายความว่าเขาหนีได้ไวพอ หากช้ากว่านี้มีหวังถูกพลังนั้นฉีกเป็นชิ้น ๆ ไม่ต่างจากเรือเป็นแน่!
“ผู้ใดเป็นคนทำ!”
คลื่นนับพันโหมซัดอยู่ในใจ สีหน้าผู้พูดเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ต้องทราบว่า ‘หูช่วง’ ชายชราผู้นี้เป็นถึงตัวตนทรงพลังอันดับต้น ๆ ในภาคกลาง เขาเป็นผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน และการฝึกฝนของเขาก็หาได้ต่ำต้อยไม่ ทว่าเขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัสจากแรงระเบิดเช่นนี้?
“นาวานี่เป็นสมบัติโบราณเชียวนะ!”
สิ่งที่ทำให้เขาเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือ นาวาที่เขานั่งนั้นเป็นสมบัติโบราณ มันไม่เพียงเดินทางผ่านความว่างเปล่า แต่ยังต้านทานแรงระเบิดของกองกำลังอันทรงพลังได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ยามนี้มันกลับถูกทำลายในพริบตา!?
“ท่านผู้นั้นเป็นใครกัน!”
เขาสูดไอเย็นเข้าตัว แผ่นหลังสั่นเทาทั้งที่เย็นเยียบ ดูเหมือนว่าเขาจะ…ได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่ที่คาดไม่ถึงเสียแล้ว!
…
“เสียงอะไรน่ะ”
หลี่จิ่วเต้ากำลังตัดต้นไม้ด้วยขวาน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง ทว่าเมื่อหันมองไปรอบ ๆ กลับไม่พบอะไรเลย
ถึงอย่างนั้นแล้ว บนเนินเขาเขียวก็มีสัตว์ป่าอยู่มากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีเสียงดัง ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มเลยไม่ได้สนใจอีกและหันไปโค่นต้นไม้ใหญ่ต่อ
ส่วนหลิงอินนั้น นางไม่ได้สังเกตสิ่งใดเลย เพราะสายตาและความสนใจของนางล้วนจับจ้องไปยังขวานในมือของหลี่จิ่วเต้า…
_____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
บทที่ 68 บารมีผู้ยิ่งใหญ่ไม่อาจหยาม เพราะมีพลังคอยปกป้อง
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงตัดต้นไม้ดังห่างออกไปไม่ไกล ใบหน้าหูช่วงซีดเผือด สีหน้าหวาดผวา!
ทุกครั้งที่ขวานฟันลงไปล้วนเสมือนฟันเข้าไปกลางใจเขา เขารู้สึกถึงความหนักอึ้งเหลือแสน คนทั้งคนสติใกล้แตกเต็มที อกสั่นขวัญแขวนอย่างยิ่งยวด!
ชายชราขนลุกขนพองไปทั้งตัว เหงื่อเย็นเม็ดเท่าถั่วซึมออกจากหน้าผาก วิญญาณของเขาสั่นสะท้าน ประหนึ่งไปเยือนยมโลก เผชิญหน้ากับความตาย!
“นะ นี่ นี่มัน!”
เขาหันไปตามเสียง มองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังตัดต้นไม้ใหญ่ผ่านระยะห่างระหว่างแมกไม้
เด็กหนุ่มผู้นี้มีอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด เรือนร่างสูงโปร่ง แต่งกายเรียบง่าย บุคลิกสง่าองอาจ แลดูไม่ธรรมดา
เขากำลังหวดขวานตัดต้นไม้ ทุกครั้งที่จามขวานนั้นไหลลื่นดั่งสายน้ำ แฝงบุคลิกผู้ฝึกฝนวิถีอย่างไม่ปรุงแต่ง!
หูช่วงตกตะลึงค้างอยู่ที่เดิม ขนทั่วร่างลุกชันไปทั้งตัว ต้องเป็นยอดฝีมือระดับใดกัน ฝีมือหวดขวานถึงเลิศเลอเหนือสรรพสิ่งเช่นนี้!
แดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน เป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางและรากฐานมั่นคง สั่งสมวิชามากจนน่าทึ่ง มีกระทั่งวิชาทิพย์โบราณจากบรรพกาล
วิชาโบราณเช่นนี้อยู่ในระดับขั้นสูงส่ง ถือเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ เขาในฐานะผู้อาวุโสใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนฝึกฝนเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์มาเช่นกัน
แต่ต่อให้เป็นเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เมื่ออยู่เบื้องหน้าวิชาขวานของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ดูไม่ได้ เทียบไม่ได้เลย!
พูดแบบไม่เกินจริง ความต่างชั้นนั้นเปรียบเสมือนความต่างระหว่างหิ่งห้อยกับสุริยัน ไม่อาจนำมาเทียบกันได้เลย เพราะมิได้อยู่ในระดับเดียวกัน
“นั่น…นั่นคือขวานเบิกสวรรค์หรือ!?”
เขาเห็นขวานในมือเด็กหนุ่มแล้ว ภาพขวานเล่มแรกที่บุกเบิกโลกลอยเข้ามาในหัวทันที ขวานเบิกสวรรค์!
ขวานเบิกสวรรค์ ตามตำนานเป็นอาวุธอันดับหนึ่งในสิบอาวุธจักรพรรดิซึ่งโบราณที่สุด แสนยานุภาพสยดสยอง ว่ากันว่าขวานเบิกสวรรค์ตวัดเบา ๆ เพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำลายทวีปทั้งทวีปได้ หากออกแรงจามลงไป สามารถทำลายทุกทวีปในใต้หล้านี้ได้!
“นี่คืออาวุธอันดับหนึ่งในสิบอาวุธจักรพรรดิที่โบราณและแข็งแกร่งที่สุดเชียวนะ…เกินกว่าอาวุธจักรพรรดิอื่นจะทัดเทียม!”
หูช่วงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว อย่างไรก็ทำใจเชื่อไม่ลงว่าเขาได้เห็นขวานเบิกสวรรค์!
อาวุธจักรพรรดินั้นหาตัวจับได้ยากยิ่ง นับแต่โบราณมามีเพียงไม่กี่ชิ้น สิบอาวุธจักรพรรดินับเป็นที่สุดของอาวุธจักรพรรดิ แสนยานุภาพนั้นอยู่เหนือจินตนาการ!
แท้จริงแล้ว จำกัดความด้วยคำว่าอาวุธจักรพรรดิดูจะเล็กน้อยเกินไปด้วยซ้ำ…
เพราะตามบันทึกโบราณ สิบอาวุธจักรพรรดินั้นอยู่เหนือระดับจักรพรรดิ มิใช่ระดับที่อาวุธจักรพรรดิรุ่นหลังเปรียบเทียบได้ ห่างชั้นกันไม่รู้ตั้งเท่าไหร่!
ผู้คนรู้สึกว่าสิบอาวุธจักรพรรดินั้นเทียบเทียมอาวุธเซียน เพียงแต่ไม่มีผู้ใดเคยพานพบเทพเซียนมาก่อน และไม่เคยประจักษ์เห็นอาวุธเซียน ด้วยเหตุนี้ คำเรียกอาวุธจักรพรรดิจึงยังมิเปลี่ยน
ขวานนั้นเป็นสีเขียวอมน้ำเงิน ด้ามขวานสลักลวดลายไว้มากมาย ทุกครั้งที่ขวานจามลงไป สำแดงถึงกลิ่นอายวิถีอันพิเศษบางอย่าง
นี่คือกลิ่นอายพิเศษนิรันดร กาลเวลาไม่อาจแบ่งแยก และยากจะเข้าใกล้!
หูช่วงรู้สึกถึงกลิ่นอายนิรันดรนี้ ถึงแน่ใจได้ว่าขวานนี้คือขวานเบิกสวรรค์ในตำนาน
‘มิน่าเล่า ผู้คนถึงลือกันว่าสิบอาวุธจักรพรรดิแท้จริงแล้วคืออาวุธเซียน อมตะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเซียนมิใช่หรือ!?’
หูช่วงอกสั่นขวัญผวา หวาดหวั่นใจสุดซึ้ง
เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นการดำรงอยู่ระดับไหนกัน ถึงได้ตัดต้นไม้ด้วยขวานเบิกสวรรค์!
‘นี่ข้าโชคดี…หรือโชคร้ายกันแน่’
หูช่วงไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาควรอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ของตัวเองอย่างไรดี
หากจะบอกว่าตัวเขาโชคดี ได้พบผู้ทรงพลังไม่อาจหยั่งเช่นนี้ หากจะบอกว่าตัวเขาโชคร้าย ชีวิตเขาเกือบหาไม่เพราะผู้ทรงพลังผู้นี้ตัดต้นไม้เช่นกัน…
‘ผู้ทรงพลังตัดต้นไม้ด้วยขวานเบิกสวรรค์หรือนี่…’
หูช่วงไม่รู้ว่าควรเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
อาวุธจักรพรรดิอันดับหนึ่งในตำนาน ขวานเบิกสวรรค์ซึ่งถูกขนานนามว่ายอดขวานบุกเบิกฟ้าดินนี้ กลับถูกใช้ในการตัดต้นไม้อย่างนั้นหรือ!
ไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง น่ากลัวว่าต่อให้อัดอีกฝ่ายให้ตายเขาก็คงไม่เชื่อ!
“มนุษย์…?”
หูช่วงสัมผัสคลื่นพลังปราณจากตัวผู้ทรงพลังผู้นี้ไม่ได้เลย หากมิใช่ว่าเขาจำขวานเบิกสวรรค์ได้ และรู้สึกถึงกลิ่นอายวิถีอมตะอันแสนน่ากลัวของขวานเบิกสวรรค์ เขาแทบคิดว่านี่คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งกำลังตัดต้นไม้อยู่
‘ขวานเบิกสวรรค์น่ากลัวปานใด แค่ตวัดเบา ๆ ภูผาพสุธายังต้องทลาย ทว่านี่เขาจามลงไปตั้งหลายที ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นยังมิรู้ล้ม คิดแล้วคงเป็นความตั้งใจของผู้ทรงพลัง…’
หูช่วงครุ่นคิดอย่างจริงจัง
ปุถุชนธรรมดา ตัดต้นไม้เฉย ๆ…
เขาเกิดความคิดบางอย่างในใจ นี่ผู้ทรงพลังกำลังท่องโลกหล้าด้วยฐานะมนุษย์หรือ?
“ข้าบังอาจเหินเหนือหัวผู้ทรงพลัง! ไม่ตายนับว่าโชคดีเท่าไรแล้ว!”
ของเขตของผู้ทรงพลังนั้นสูงส่งปานใด เป็นการดำรงอยู่เหนือจินตนาการ แต่เขากลับเหินข้ามหัวผู้ทรงพลังทั้งอย่างนี้…ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง!
ลองทบทวนดี ๆ แล้ว นาวาเทวะถูกทำลาย ตัวเขาบาดเจ็บสาหัส ย่อมเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นแน่!
ถึงแม้ผู้ทรงพลังจะท่องโลกหล้าในฐานะปุถุชน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงการดำรงอยู่เหนือจินตนาการ บารมีล้นหลาม ไม่ยอมให้ผู้ใดล่วงเกิน!
จึงได้มีพลังบางอย่างคอยปกป้องความน่าเกรงขามของผู้ทรงพลังในมุมที่มองไม่เห็น เขาเคยได้ยินมาว่า ผู้ใดกล่าววาจาดูหมิ่นคนใหญ่คนโตเหนือจินตนาการเหล่านี้ ต้องถูกลงโทษกันทั้งสิ้น!
อย่างเช่นจักรพรรดิฮวงกู่ ฮวง
เขาสูญหายไปแล้วหลายหมื่นปี ทว่าเมื่อมีใครบางคนกล่าววาจาล่วงเกินจักรพรรดิฮวง ก็ถูกพลังบางอย่างลงโทษทันควัน จวบจนสิ้นใจตายจาก!
คนใหญ่คนโตเหนือจินตนาการเช่นนี้ ต่อให้กายไม่อยู่แล้ว ก็ไม่อาจหมิ่นประมาทได้แม้แต่น้อย!
เพราะมีพลังบางอย่างคอยปกป้องบารมีของคนใหญ่คนโตเหนือจินตนาการเหล่านี้อยู่!
“คนตัวเล็ก ๆ เช่นข้า ไม่ควรค่าให้พูดถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ทรงพลัง ย่อมมิใช่ผู้ทรงพลังที่ลงมือกับข้า หากผู้ทรงพลังลงมือกับข้าจริง…ข้าคงตายไปนานแล้ว!”
เขาไม่คิดว่าตนเองเป็นที่สนใจของผู้ทรงพลังแน่นอน
มือถือขวานเบิกสวรรค์เช่นนี้ ต้องเป็นคนใหญ่คนโตระดับไหนเชียว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นท่านเซียน หรืออาจน่ากลัวยิ่งกว่านั้น!
ขวานเบิกสวรรค์หาใช่อาวุธที่ถือครองได้ทุกคน กลิ่นอายวิถีเซียนอมตะในนั้นก็มิใช่สิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปจะรับได้ไหว!
แม้แต่จักรพรรดิเมื่อต้องเผชิญกับกลิ่นอายวิถีเซียนอมตะก็ไม่อาจต้านทานได้ไหว ห่างชั้นกันไกลโข มีเพียงท่านเซียน หรือการดำรงอยู่เหนือระดับเซียนเท่านั้นจึงจะปลอดภัย
เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเซียน หรือแม้กระทั่งการดำรงอยู่ที่อาจน่ากลัวยิ่งกว่าท่านเซียน เขาด้อยกว่ามดปลวกเสียอีก…
คิดเสียเถิด ด้อยกว่ามดปลวกแล้วจะเป็นที่สนใจได้อย่างไร?
“ข้าอยู่เฉย ๆ ดีกว่า อย่าได้ไปรบกวนท่านเซียนเลย…”
เขาเอ่ยเสียงเจี๋ยมเจี้ยม ไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปรบกวนท่านเซียน กลัวจะขัดแข้งขัดขาท่านเซียนเข้า
‘ท่านเซียนปรากฏกายที่นี่ ข้าควรให้ความสำคัญกับที่นี่ได้แล้ว!’
เขาคิดในใจ
ตู้ม! เสียงต้นไม้ล้มดังมาจากฟากโน้น
หลี่จิ่วเต้าตัดต้นหนานมู่เก่าจนล้ม
“ขวานเล่มนี้ใช้ดีจริง ๆ…”
เขาคิดในใจ พึงพอใจในขวานเล่มนี้มาก
ขวานเล่มนี้เป็นรางวัลจากระบบให้เขาเช่นกัน
เขามีทักษะการโค่น และทักษะการโค่นของเขาก็ไปถึงขั้นเทวะแล้ว
ต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้ หากเป็นคนทั่ว ๆ ไปต้องใช้เวลาตัดอยู่หลายวันเป็นอย่างน้อย เขากลับตัดจนล้มได้ในเวลาไม่นาน
ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับทักษะการโค่นของเขา
เขารู้เคล็ดการตัดต้นไม้ใหญ่แบบประหยัดเวลาและแรง
หลังจากตัดต้นไม้จนล้ม หลี่จิ่วเต้าก็เลือกไม้ท่อนที่ดีที่สุดขึ้นมา เขาต้องการสร้างกู่ฉินจากไม้ท่อนนี้
“เอาล่ะ เรากลับไปซื้อใยไหมมาทำพิณฉินดีกว่า”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยกับหลิงอินด้วยรอยยิ้ม