รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] - บทที่ 1175 มัจฉาสัตมายา ‘สถานการณ์พลิกกลับ? ไม่มีทาง!’
- Home
- รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]
- บทที่ 1175 มัจฉาสัตมายา ‘สถานการณ์พลิกกลับ? ไม่มีทาง!’
บทที่ 1175 มัจฉาสัตมายา ‘สถานการณ์พลิกกลับ? ไม่มีทาง!’
…………….
บทที่ 1175 มัจฉาสัตมายา ‘สถานการณ์พลิกกลับ? ไม่มีทาง!’
นี่มัจฉาสัตมายาเป็นอะไรไปแล้ว
ชางเหยากังวลใจในเรื่องนี้เหลือกำลัง ไม่รู้ว่าหากมัจฉาสัตมายาเป็นเช่นนี้ต่อจะเกิดอันใดขึ้น
นางลอบสาบานในใจ หมายมั่นจะหยุดยั้งมัจฉาสัตมายาให้ได้ ไม่ยอมปล่อยให้มัจฉาสัตมายาเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก
สองคนนี้ไม่ปกติทั้งคู่เลยหรือ?
อีกด้าน เด็กหนุ่มที่ยืนดูอยู่งุนงง รู้สึกว่าทั้งมัจฉาสัตมายาและชางเหยาต่างไม่ปกติ โดยเฉพาะมัจฉาสัตมายา ไม่ปกติอย่างมากด้วย!
“พอที หยุดทั้งคู่!”
เขาทนดูต่อไปไม่ไหว โบกมือร้องห้ามมัจฉาสัตมายาและชางเหยา สองคนนี้เป็นพวกปัญญาอ่อนหรือไร ความซวยมาเยือนแล้วยังไม่รู้ตัวอีก มัวแต่ ‘พลอดรัก’ กันอยู่ได้!
“ได้ เจ้าว่ามาสิว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงมาหาเรา”
มัจฉาสัตมายาปริปากถาม
มิหนำซ้ำเขายังลอบถอยหลังไม่หยุด ทั้งยังลากชางเหยาไปด้วย คิดจะหนีไปโดยไม่ให้เด็กหนุ่มรู้ตัว
ปัญญาอ่อนจริง ๆ หรืออย่างไร!
เด็กหนุ่มเห็นแล้วหมดคำบรรยาย มัจฉาสัตมายาทึกทักเอาไว้แนบเนียน เขาไม่มีทางรู้ตัว หารู้ไม่ นั่นเป็นเพียงการคิดไปเองของมัจฉาสัตมายาเท่านั้น!
สิ่งที่มัจฉาสัตมายาทำในที่ลับ ๆ ช่างชัดแจ้งเสียจนไม่อาจชัดแจ้งไปกว่านี้ได้อีก ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการทำลับหลังด้วยซ้ำ เรียกว่าทำกันซึ่งหน้าได้เลย!
“หยุดก่อนได้หรือไม่!”
ชางเหยากระอักกระอ่วนจนทนแทบไม่ไหว มัจฉาสัตมายาไม่รู้ตัวเอาเสียเลย ชัดเจนปานนี้แล้วยังลงมือต่ออีก!
“เฮ้อ สุดท้ายก็ไม่ไหว ข้าเพิ่งมีวิชาเพียงผิวเผิน ตัวเองยังไม่ค่อยไหว ยิ่งต้องลากเจ้าไปด้วยยิ่งไม่ไหว”
มัจฉาสัตมายาถอนหายใจ รู้ตัวแล้วเช่นกัน
จากนั้น เขาเลิกคิดเรื่องแอบหนีไป หากแต่เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มตรง ๆ
“เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
เขาถามอีกครั้ง จนบัดนี้เด็กหนุ่มยังไม่ยอมบอกตัวตน และไม่เคยยอมบอกจุดประสงค์ที่มาหาพวกเขา
“ได้ ข้าขอแนะนำตัวเอง ข้ามีนามว่าหานว่านเชียน”
เด็กหนุ่มแนะนำตัวเอง และบอกจุดประสงค์ที่เขามาหามัจฉาสัตมายาและชางเหยา “ที่ข้ามาหาพวกเจ้าเพราะสนใจผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้า จึงอยากยืมตัวตนพวกเจ้าไปพบผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าหน่อย”
“ยืมตัวตนของเรา? เจ้าช่างเจรจายิ่งนัก ตั้งใจปลอมตัวเป็นพวกเราเพื่อเข้าใกล้คุณชายสิท่า!”
มัจฉาสัตมายาแค่นยิ้มเย็นพลางเอ่ย
“อย่าพูดเช่นนั้น ถ้อยคำนั้นไม่สุภาพ”
เด็กหนุ่มนามหานว่านเชียนหัวเราะ
เป็นดั่งที่มัจฉาสัตมายาว่า เขาตั้งใจปลอมตัวเป็นมัจฉาสัตมายาเพื่อเข้าใกล้หลี่จิ่วเต้า ดูว่าหลี่จิ่วเต้าเก่งกาจสักเพียงใด
ใช่แล้ว เขาเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่วิหารโบราณลึกลับส่งมา ไม่ได้เข้าร่วมห้ากองกำลังใหญ่ และไม่ได้เข้าร่วมแดนฝังศพ หากให้อธิบายด้วยวาทะของห้ากองกำลังใหญ่และแดนฝังศพ เขาคือ ‘ปัจเจกชน’
เอ่ยว่า ‘ปัจเจกชน’ ก็ไม่ถูกนัก ที่ถูกต้องคือ ‘ตัวแปรผิดแผก’
เขาไม่เป็นที่ล่วงรู้ของห้ากองกำลังใหญ่และแดนฝังศพ ถือเป็นตัวแปรผิดแผกเหนือความคาดหมาย
ศึกระหว่างหลี่จิ่วเต้ากับห้ากองกำลังใหญ่และแดนฝังศพอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด เขาสนใจในตัวหลี่จิ่วเต้ามาก นึกอยากลองสัมผัสกับหลี่จิ่วเต้าดูสักครา
ยามนี้หลี่จิ่วเต้าไม่ใช่ตัวแปรผิดแผกอีกแล้ว เพราะหลี่จิ่วเต้าเอิกเกริกเกินไป ไม่ได้ทำตัวกลมกลืน เป็นที่รู้จักของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายไปหมด เขารู้ดีว่าต้องไม่ใช่เพียงเขาที่จับตามองหลี่จิ่วเต้า ต้องมีสิ่งมีชีวิตอีกคณานับที่จับตามองหลี่จิ่วเต้าแน่
ในหมู่คนเหล่านั้นย่อมต้องมีตัวแปรผิดแผกเช่นเขา!
วิหารโบราณลึกลับนั้นมีจุดประสงค์ยิ่งใหญ่ คล้ายว่ากำลังวางแผนบางอย่าง จำนวนสิ่งมีชีวิตที่ถูกส่งมานั้นมหาศาล พวกเขาล้วนน่าพรั่นพรึงและรู้จักซ่อนตัว บัดนี้ยังมีอีกมากมายที่ไม่เคยเผยตัวตน
เขาก็เช่นกัน ร่างเด็กหนุ่มที่ปรากฏในยามนี้ไม่ใช่ร่างจริงของเขา หากแต่เป็นร่างแยก ร่างจริงของเขาไม่กล้าออกมาเพ่นพ่านแน่นอน
ศึกตัดสินสุดท้ายมีสิ่งมีชีวิตเพียงตนเดียวที่รอด ผู้ใดเล่าจะกล้าออกไปเพ่นพ่านข้างนอก
แน่นอนว่ามีสิ่งมีชีวิตน้อยที่เพ่นพ่านอยู่ อย่างเช่นจ้าวแดนพิสุทธิ์ทั้งหลาย และ ‘ปัจเจกชน’ อีกนับคณา
ห้ากองกำลังใหญ่กับแดนฝังศพไม่นับ ถึงแม้พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอยู่บ่อย ๆ ทว่าผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวล้วนเป็นลิ่วล้อ ประมุขของห้ากองกำลังใหญ่และแดนฝังศพไม่เคยเผยตัว เพราะเหตุนี้จึงไม่นับ
อย่างหลี่จิ่วเต้าเขายังรู้สึกว่าไม่ควรนับ
ที่เหล่าจ้าวแดนพิสุทธิ์และ ‘ปัจเจกชน’ ทั้งหลายเพ่นพ่านไปทั่วเป็นเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่รู้ว่ามีคู่ต่อสู้อีกเท่าใด คิดว่ามีเพียงที่พวกเขารู้แล้วเท่านั้น
เขารู้สึกว่าหลี่จิ่วเต้าไม่ใช่เช่นนั้น
หลี่จิ่วเต้าคงเข้าใจสถานการณ์อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ที่ออกมาเคลื่อนไหวอาจเป็นร่างแยกหรือทำนองนั้น ร่างต้นของเขาคงยังไม่เคยปรากฏ
เพราะเหตุนี้ หลี่จิ่วเต้าจึงไม่นับ
เขาไม่คิดว่าหลี่จิ่วเต้าจะ ‘โง่’ ปานนั้น
ถึงอย่างไรพลังของหลี่จิ่วเต้าก็ลึกล้ำเกินหยั่ง
และเพราะเหตุนี้ เขาถึงคิดปลอมตัวเป็นมัจฉาสัตมายาเพื่อเข้าใกล้หลี่จิ่วเต้า หยั่งตื้นลึกหนาบางของหลี่จิ่วเต้า ไม่กล้าไปหาหลี่จิ่วเต้าโดยตรง
ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
หากเพียงต้องการหยั่งตื้นลึกหนาบางของหลี่จิ่วเต้า เขาคงไม่ต้องเคลื่อนไหว เพราะต้องมีสิ่งมีชีวิตตนอื่นไปหยั่งตื้นลึกหนาบางของหลี่จิ่วเต้าอีกแน่ เขาไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเอง
ประเด็นสำคัญคือเขาต้องการกลืนกินพลังของหลี่จิ่วเต้า!
เขานั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มีวิชากลืนกินแสนน่าสะพรึงกลัว วิชากลืนกินนี้ช่วยให้เขาผสานพลังทั้งหมดที่กลืนกินเข้าไปเป็นพลังตนเอง
วิชากลืนกินเช่นนี้นับว่าน่าทึ่งอย่างแท้จริง
ต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่การกลืนกินตัวละครต่ำต้อย กำลังรบเหนือระดับอัครขึ้นไปใช่ว่ากลืนกินได้ง่าย ๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการแปรเปลี่ยนเป็นพลังของตน
เรื่องเช่นนี้ไม่ง่ายแน่!
ทว่าเขาทำได้!
เขาไม่เพียงแต่กลืนกินพลังรบเหนือระดับอัครขึ้นไปได้ ระดับหลี่จิ่วเต้าเขาก็มั่นใจว่ากลืนกินได้ อีกทั้งแปรเปลี่ยนเป็นพลังตนเองได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
เพราะเหตุนี้ เขาถึงลงมือด้วยตนเอง ตั้งใจปลอมตัวเป็นมัจฉาสัตมายา คลุกคลีอยู่กับหลี่จิ่วเต้า รอจนร่างต้นหลี่จิ่วเต้าปรากฏแล้วกลืนกินพลังร่างต้น
หากเขาสำเร็จ ย่อมมีสิทธิ์พิชิตตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดแน่นอน ไม่ต้องกลัวเกรงสิ่งมีชีวิตตัวแปรผิดแผกอื่นอีก
แผนนี้สำเร็จไม่ง่าย ตบตาหลี่จิ่วเต้าได้หรือไม่นั้นคือด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือบรรดาตัวแปรผิดแผกที่เพ่งเล็งอยู่ในเงามืด
เขาไม่แน่ใจว่าตัวแปรผิดแผกเหล่านี้จะทำเรื่องอันใด
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องลองดู ถึงอย่างไรตัวแปรผิดแผกอื่นนั้นยังไม่พบตัว เขาจำต้องไปหาหลี่จิ่วเต้า หาไม่แล้วหลังศึกสุดท้ายอุบัติ เขาไม่อาจมั่นใจได้เต็มร้อย
“เหอะ ที่เจ้าให้ใช้ถ้อยคำสุภาพไม่ได้ต่างจากปลดกางเกงเพื่อตด!”
มัจฉาสัตมายาดูแคลนเหลือแสน ในมือเขากับชางเหยามียันต์ที่คุณชายประทาน ไม่ต้องกลัวว่าสู้หานว่านเชียนไม่ได้
หากไม่ใช่เช่นนั้น เขาคงตื่นตระหนก ไฉนเลยจะสุขุมถึงเพียงนี้ ซ้ำยังทำหน้าดูถูกหานว่านเชียนอีกด้วย
“เจ้านี่นิสัยไม่ดี…”
หานว่านเชียนขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นพวกหยาบโลนเกินไป วาจาไร้มายาทสิ้นดี”
“คนบ้าอะไร ข้าคือมัจฉาโว้ย!”
มัจฉาสัตมายาเรียกยันต์ที่คุณชายมอบให้ออกมาพร้อมตวาด “หากมองสถานการณ์เป็นอยู่บ้างจงรีบไสหัวไปเสีย หาไม่แล้วข้าจะฝังร่างเจ้าอยู่ที่นี่!”
อีกด้าน ชางเหยาเห็นภาพนี้แล้วสังหรณ์ใจไม่ดี
รำลึกถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมัจฉาสัตมายา ตราบใดที่มัจฉาสัตมายาเริ่มวางมาดอยากออกโรง จักต้องเสียท่าครั้งใหญ่เสมอ!
บัดนี้คล้ายว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย มัจฉาสัตมายาเริ่มวางมาดอีกแล้ว!
“คือว่า…ขอข้าลงมือเองดีหรือไม่”
นางฉุดดึงชายเสื้อมัจฉาสัตมายา กลัวจากใจจริงว่าประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย แม้ว่าเรื่องนั้นไม่น่าเป็นไปได้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มียันต์จากคุณชาย กระนั้นนางยังวิตกกังวลอยู่
เมื่อถูกดึงชายเสื้อ มัจฉาสัตมายาได้สติ พลันหวาดหวั่นขึ้นมา
ประวัติศาสตร์ของเขา เขาย่อมรู้ดีที่สุด และเพราะเรื่องราวที่ผ่านมาเขาถึงตั้งใจบำเพ็ญวิถี ‘หลบหนี’
แต่เมื่อครู่ เขาเผลอวางมาดอีกแล้ว ไฉนเลยจะไม่หวาดหวั่นเล่า
“ได้ เจ้าลุยเถิด!”
เขารีบหลีกทางให้ชางเหยาลงมือ
ทว่าไม่ทันที่ชางเหยาจะได้ทำอันใด หานว่านเชียนลงมือเสียก่อน!
หานว่านเชียนน่าประหวั่นพรั่นพรึงเหลือคณา กฎระเบียบพิเศษโลดแล่นอยู่ในแววตา ฉับพลันนั้น มัจฉาสัตมายาและชางเหยารู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดลอย ไม่เหลือสติ ชะงักงันอยู่อย่างนั้น!
ยังดีที่ลมหายใจต่อมา ก่อนหานว่านเชียนได้ลงมือต่อ ยันต์ในตัวมัจฉาสัตมายาและชางเหยาส่องแสง ขจัดพลังของหานว่านเชียนออกไป คืนสติให้มัจฉาสัตมายาและชางเหยา
“เปล่าประโยชน์!”
หานว่านเชียนจู่โจมอีกครา พลังสยดสยองซัดสาด ถล่มไปหามัจฉาสัตมายาและชางเหยา!
ก่อนนี้เขาได้ประจักษ์ถึงความเก่งกาจของแผ่นยันต์มาแล้ว ซ้ำยังไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ก่อนนี้เหล่าจ้าวแดนพิสุทธิ์และห้ากองกำลังใหญ่ต่างตั้งใจลักพาตัวมัจฉาสัตมายาและชางเหยาไป ต่อมาถูกพลังยันต์กำจัดทั้งหมด
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
แผ่นยันต์ทั้งสองเปล่งประกาย อักขระบนนั้นโลดแล่นออกมาหล่อรวมเป็นร่างมนุษย์สองร่าง เข้าต่อสู้ดุเดือดกับหานว่านเชียน
แม้นี่เป็นเพียงร่างแยกของหานว่านเชียน กระนั้นก็สยดสยองถึงขีดสุด เทียบกับเฒ่าเมามายแล้วยังดุดันยิ่งกว่า
หากไม่ใช่ว่าทรงพลังมากพอ หานว่านเชียนไม่กล้าลงมือเช่นนี้แน่นอน
ถึงอย่างไรเขาก็ได้เห็นภาพกระบี่ฉุนจวินกำราบเฒ่าเมามายมาแล้ว
ทว่ายันต์สองแผ่นนั้นน่าครั่นคร้ามกว่าอย่างเห็นได้ชัด ภาพร่างทั้งสองที่หล่อหลอมออกมาโจมตีไม่หยุดอย่างน่าสะพรึงกลัว กำราบหานว่านเชียนไว้ได้!
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ชางเหยาตาเป็นประกายทันที
นางรีบบอกกับมัจฉาสัตมายา “เห็นหรือไม่ เจ้าไม่ต้องบำเพ็ญวิถี ‘หลบหนี’ ก็ได้ หนนี้เจ้าก็ไม่ได้เสียท่า! เจ้าไม่ได้โชคร้ายอย่างที่เจ้าคิด ใช่ว่าไม่อาจไร้เทียมทานในใต้หล้า เจ้าเองก็ทำได้!”
นี่เป็นช่วงเวลาเกลี้ยกล่อมมัจฉาสัตมายาให้ล้มเลิกการบำเพ็ญวิถี ‘หลบหนี’ ที่ดีที่สุด นางย่อมไม่พลาด
ดวงตามัจฉาสัตมายาเป็นประกายเช่นกัน
ที่ชางเหยาว่ามานั้นไม่ผิด หนนี้เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้เสียท่า หลังวางมาดก็ไม่ได้เสียเปรียบอันใด ไม่ได้ถูกเล่นงานอย่างอนาถา แม้ว่าก่อนนี้ถูกหานว่านเชียนควบคุมไว้ได้ กระนั้นก็แค่ชั่วคราว หลังจากนั้นก็ถูกพลังยันต์ขับไล่ ไม่นับว่าถูกเล่นงาน
ไม่ต้องบำเพ็ญวิถี ‘หลบหนี’ แล้วหรือ
ดวงตาของเขาวาวโรจน์ หัวใจตื้นตันขึ้นมาเช่นกัน
ผู้ใดไม่อยากไร้เทียมทานกันเล่า
ผู้ใดไม่อยากองอาจได้หน้าบ้างเล่า
เขาเองก็เช่นกัน มีหัวใจที่อยากองอาจไร้เทียมทาน
เพียงแต่ก่อนนี้ล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วนถึงได้ถอดใจ
บัดนี้ มีการพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงแล้วว่าเขาเองก็ไร้เทียมทานและองอาจได้หน้าได้เช่นกัน เป็นผลให้ความคิดบำเพ็ญวิถี ‘หลบหนี’ ในใจเขาสั่นคลอน ไม่ต้องการบำเพ็ญวิถี ‘หลบหนี’ อีก
“หานว่านเชียน หัวเจ้าถูกลาเตะมาหรือไร ไม่ดูตัวเองบ้างเลย ริอ่านมายุ่งกับพวกเรา! เจ้าช่างน่าขันสิ้นดี อยากก้าวเดินบนเส้นทางที่นำไปสู่ความตายให้ได้!”
เขาก้าวขึ้นไปบนฟ้า สองมือไพล่หลัง สายตาเย็นชา ก้มมองหานว่านเชียนข้างใต้ผู้ถูกเล่นงาน
มีโอกาสออกหน้าเขาย่อมไม่พลาด ก่อนนี้ต้องอัปยศมามากแล้ว
ยันต์สองแผ่นนั้นน่าครั่นคร้ามอย่างแท้จริง มหาวิชาสารพันที่หานว่านเชียนปล่อยออกมาถูกเงาร่างที่หล่อขึ้นจากยันต์สองแผ่นนั้นทลายจนสิ้น หานว่านเชียนไม่อาจชูคอได้เลย
ได้เห็นภาพนี้ มัจฉาสัตมายายิ่งวางมาดเข้าไปใหญ่
“เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง กลับถือตนว่าเป็นคนใหญ่คนโต คนเช่นเจ้าไม่ควรค่าแม้แต่จะสวมรองเท้าให้ท่านมัจฉาผู้นี้ด้วยซ้ำ!”
มัจฉาสัตมายาทระนงมาดมั่น อย่าให้เอ่ยเลยว่าผยองปานใด สายตาเปี่ยมไปด้วยความดูแคลน
“ท่านพี่ ความรู้เช่นนี้ยอดเยี่ยมกว่าเป็นเต่าหัวหดมากใช่หรือไม่!”
ชางเหยาเอ่ยยิ้ม ๆ กับมัจฉาสัตมายา “คราวนี้ท่านพี่คงไม่คิดแสวงหาวิชาจากเต่าหัวหดแล้วกระมัง!”
นางดีใจกับมัจฉาสัตมายา สามีของตนที่ในที่สุดก็เกรียงไกรขึ้นมา นี่ต่างหากสามีที่นางต้องการ นางไม่ต้องการพวกปอดแหกหดหัวในกระดองเหมือนเต่า
“แน่นอน!”
มัจฉาสัตมายาหัวเราะร่วน “จากนี้ไปข้าจะไม่หลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกแล้ว นับแต่นี้ข้าจะเปิดฉากความไร้เทียมทานอย่างเป็นทางการ! น้องหญิง เจ้าคอยดูให้ดี ต่อแต่นี้ไปเจ้าคอยอิงแอบอยู่ในอ้อมอกข้าเป็นพอ! สามีผู้นี้จะสกัดทุกอย่างแทนเจ้าเอง!”
“ได้เลยท่านพี่! ข้าจะไปอิงแอบเดี๋ยวนี้!”
ชางเหยาเหินไปหามัจฉาสัตมายา ทำตามที่ว่า อิงแอบอยู่ในอ้อมอกมัจฉาสัตมายาประดุจนกตัวน้อย ๆ
มัจฉาสัตมายาโอบกอดชางเหยา ความรู้สึกนี้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน เขายิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่
พรวด!
เลือดสาดกระเซ็น หานว่านเชียนบาดเจ็บสาหัส ถูกเล่นงานจนเละไปครึ่งร่าง ภาพร่างทั้งสองจากยันต์สองแผ่นนั้นดุดันยิ่งนัก!
“เปิดฉากเส้นทางความไร้เทียมทานอย่างเป็นทางการ!”
มัจฉาสัตมายาเอ่ยเสียงผยอง “จากนี้ไป ข้าจะเปลี่ยนชื่อเป็น…มัจฉาไร้เทียมทาน!”
“ท่านพี่ วางมาดเกินไปแล้วกระมัง”
อีกด้าน ชางเหยาเอ่ยกับมัจฉาสัตมายาอย่างอดไม่ได้
ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่ามัจฉาสัตมายาวางมาดเกินควร ใกล้จะเสียท่าเต็มที
“วางมาดเกินไป? น้องหญิงพูดเรื่องอะไร!”
มัจฉาสัตมายาหัวเราะ “นี่เพิ่งไหนถึงไหน ไม่ได้เกินไปสักนิด ข้าเพิ่งวางมาดได้พอหอมปากหอมคอเท่านั้น”
หานว่านเชียนถูกข่มจนไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์อีก มิหนำซ้ำภาพร่างทั้งสองจากยันต์สองแผ่นยังลงมือดุดันยิ่งขึ้น หานว่านเชียนตัวระเบิดไปตั้งหลายครา!
ในสถานการณ์เช่นนี้ อีกไม่นานหานว่านเชียนย่อมถูกสังหารอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางที่สถานการณ์จะพลิกผันได้อีก
…………….