ราชาซากศพ - บทที่ 564 ฆ่ามัน
บทที่ 564
ฆ่ามัน
“ด้วยร่างที่ใหญ่โตและพลังของครึ่งเทพ อาจเป็นราชายักษ์ภูเขาที่มีสายเลือดกลายพันธุ์” หลินเว่ยมองไปที่ยักษ์ภูเขาที่อยู่ข้างหน้าเขา เขาขมวดคิ้วและคาดเดา
“ตูมตูม…! เสียงคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสั่นสะเทือนของโลกยังรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ยักษ์ภูเขาที่รูปร่างมืดมิดมันวาว ราวกับมีส่วนผสมของโลหะ ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งใหญ่โต รู้สึกถึงพลังกดขี่ที่มองไม่เห็น รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
หากหลินเว่ยเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นตำนานธรรมดา ๆ เขาคงจะหวาดกลัวและหันหลังวิ่งหนี แต่หลินเว่ยไม่ได้อยู่หวาดกลัวใดๆ เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและกล้าหาญ
แม้ว่าจะเป็นครึ่งเทพที่อย่างมากที่สุด ก็แค่ร่างใหญ่โตและแข็งแกร่ง แม้ว่าจะทรงพลังในการต่อสู้ แต่ก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
คล้ายกับ ช้างเขี้ยวยักษ์ขั้นเหล็กดำและตั๊กแตนตำข้าวขั้นเงิน ในแง่ของขนาดร่างกาย ตั๊กแตนตำข้าวอาจจะไม่รวดเร็วมากนักและอาจจะถูกเหยียบได้ตลอดเวลา แต่ในการต่อสู้ในสนามรบ มันสามารถต่อต้านและรองรับร่างกายที่ใหญ่โตของช้างเขี้ยวยักษ์ได้เป็นเวลานาน
แน่นอนว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นไม่แน่นอน หากช้างเขี้ยวยักษ์และตั๊กแตนตำข้าวใบมีดเงินทั้งคู่อยู่ในระดับเหล็กดำ ในแง่ของความแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าช้างเขี้ยวยักษ์สามารถบดขยี้ตั๊กแตนตำข้าวได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการตีเพียงครั้งเดียว ตั๊กแตนตำข้าวอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
ด้วยเหตุนี้เอง ในพื้นที่สนามรบแบบโล่ง ปรมาจารย์วิญญาณที่โจมตีจากระยะไกล สามารถกดขี่นักรบพลังปราณผู้ทรงพลัง แต่การโจมตีไม่ได้หนักหน่วงมากนัก หากแต่เป็นพื้นที่แคบ ปรมาจารย์วิญญาณก็จะไม่ถนัดในการต่อสู้ระยะประชิดตัว
ในการต่อสู้ บางคนเอาชนะด้วยความแข็งแกร่งและการป้องกันที่ดี บางคนชนะด้วยความเร็วและความว่องไว ทุกอย่างมีทั้งสมบูรณ์แบบ และบกพร่อง
หลินเว่ยสังเกตเห็นราชายักษ์ภูเขาที่ร่างใหญ่โตและ ทรงพลังอย่างสูง ยิ่งไปกว่านั้น ความแวววาวของโลหะและการป้องกันที่ทรงพลัง ดูน่าหวั่นใจ
“เจ้าตัวเล็ก! เจ้าเป็นมนุษย์ที่ภูตวิญญาณสกปรกพูดถึงงั้นหรือ?” เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ก้องในหูของหลินเว่ย ทำให้หลินเว่ยขมวดคิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจ
“มันยากที่เปล่งเสียงเบา ๆงั้นหรือ แต่เจ้าพูดถูก ข้าเป็นผู้ฝึกตนมนุษย์ที่ภูตวิญญาณนั่นหมายถึง” หลินเว่ยขมวดคิ้วและหยุดชะงัก ราชายักษ์ภูเขาเป็นยักษ์ดำร่างใหญ่ขี้สงสัย
“เอ๊ะ! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาสั่งให้ข้าต้องทำอย่างไร เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?” น้ำเสียงยังคงเป็นราวกับสายฟ้าฟาด ซึ่งทำให้หูของ หลินเว่ยเกือบอื้ออึง เขาต้องใช้พลังปราณห่อหุ้มแก้วหูไว้ เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บมันแย่ที่ตรง ยิ่งการฝึกฝนแข็งแกร่งเพียงใด ระดับการได้ยินจะดีขึ้นเท่านั้น
“โอ้ ราชาทองนิล! ราชายักษ์ภูเขา ข้าได้ยินภูตวิญญาณขั้นราชันย์บอกเล่าเกี่ยวกับเจ้า” หลินเว่ยยักไหล่ มองดูยักษ์ดำตรงหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม
“รู้แล้ว! ทำไมเจ้าถึงแอบเข้าไปในอาณาเขตของข้าล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ภูตวิญญาณขั้นราชันย์และเจ้าหนูตัวเหม็นที่เจ้าเพิ่งพูดถึงอยู่ที่ใด ข้าจะไปชำระบัญชีกับพวกมัน บอกทางข้ามาเร็วๆ ข้าจะพิจารณาให้เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า หากเจ้าทำให้ข้าพอใจ” ยักษ์ดำพยักหน้าและพูดช้า ๆ
“ให้ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้ากล้าดีอย่างไร! เจ้าอยากรู้ว่าภูตวิญญาณขั้นราชันย์และหนูตัวเหม็นอยู่ที่ใด ข้าจะบอกเจ้าว่า พวกเขาตายแล้วและข้าเป็นคนฆ่าพวกมัน” หลินเว่ยเม้มปากของเขาและมองไปที่ราชายักษ์ภูเขาด้วยท่าทางดูแคลน เขาเยาะเย้ยและพูดว่า “ข้าจะบอกเจ้าด้วยว่า นอกจากภูตวิญญาณขั้นราชันย์ แล้วยังมีครึ่งเทพเผ่าหนูทั้งหมดอยู่ในมือของข้า เจ้ายังต้องการให้ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าหรือไม่?”
“เจ้ากำลังเกทับข้าอยู่หรือ เจ้าตัวเล็ก ฆ่าราชาแห่งเผ่าภูตวิญญาณแล้วฆ่าหนูตัวเหม็นทั้งหมด? ราชายักษ์ภูเขาดูเหมือนจะได้ยินเรื่องตลกที่สุด และใบหน้าของเขาก็แสดงรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าใหญ่ๆ
“เชื่อหรือไม่! ก็แล้วแต่ แต่ข้ากำลังอยากพบเจ้า โชคดีที่ได้พบเจ้าที่นี่ ช่วยข้าประหยัดเวลาได้มาก” หลินเว่ยสั่นศีรษะ และพูดอย่างสงบนิ่ง
“พบข้า โอ้! เจ้าอยากจะ “ฆ่า” ข้าด้วยหรือ? ราชายักษ์ภูเขาเยาะเย้ย และเน้นคำว่าฆ่าเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าจากก้นบึ้งของหัวใจของราชายักษ์ภูเขา เขาไม่เชื่อถือกับสิ่งที่หลินเว่ยพูดออกมาแม้แต่น้อย ไม่ว่าเรื่องอะไร ราวกับมันเป็นเรื่องตลก
“แน่นอน ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ข้าจะทำอะไร เจ้าจะรู้เองในภายหลัง สำหรับตอนนี้ เมื่อเราได้พบกัน ก็ถึงเวลาที่ข้าจะต้องไปเสียที หลินเว่ยหันหลังพร้อมจะจากไป
“ฮึก…!” หลินเว่ยกำลังจะหันหลังกลับและจากไป แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวด้วยความเร็ว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาก้มลงด้วยความเร็วสูง แล้วถอยกลับอย่างกะทันหัน
เขาสามารถหลีกเลี่ยงเงาขนาดใหญ่ที่ทุบลงมายังร่างของเขาได้ แต่ยังคงหนีไปพ้นแรงลมปะทะทำให้โซซัดโซเซถอยหลัง ก่อนหน้านั้นเขาได้ยินเสียงของราชายักษ์ภูเขาร้องขึ้นว่า “ฮึ่ม! อยากไปหรือ อยู่ที่ว่า ข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือไม่”
หลินเว่ยปลิวถอยหลัง ในขณะที่ก้าวเท้าเหยียบอย่างมั่นคงแล้ว เขาก้มมองลงไปที่เสื้อผ้าที่เลอะเทอะ เหงื่อเย็นปรากฏบนหน้าผากของหลินเว่ย และหัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นมาก แก้มซีดเผือด บางส่วนกลายเป็นสีดำ
และดวงตาของเขาค่อย ๆ ลุกไหม้ด้วยความโกรธในใจ
“ให้ตายสิ! เกือบไปแล้ว!” เขาคำรามในใจ แต่หลินเว่ยนั้นหวั่นใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะโจมตีเขาทันที และนึกไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะสามารถยืดแขนของตนเพื่อมาโจมตีเขาได้
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจโจมตีเขาหรือไม่ หลินเว่ยก็รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากอีกด้านหนึ่งเสมอ เพื่อพิจารณาแผนการต่อไปได้อย่างอิสระ
อย่างไรก็ตาม หลินเว่ยไม่ได้คิดว่า ราชายักษ์ภูเขาสามารถยืดหดความยาวของแขนได้ตามต้องการ ดังนั้นหากหลินเว่ย ไม่ทันได้โต้ตอบก่อนหน้านี้ เกรงว่าเขาคงจะตายไปแล้ว
แม้ว่าพลังของเขาจะสามารถสังหารครึ่งเทพธรรมดาได้อย่างง่ายดาย แต่เขานั้นอาศัยพลังภายนอก พลังของเขาอาจจะดีในหมู่ผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน
แต่ต่างจากระดับครึ่งเทพมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราชายักษ์ภูเขานั้นทรงพลังมาก และหลินเว่ยก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
“ข้าอุตส่าห์ใจดี อยากให้เจ้ามาเป็นสัตว์อัญเชิญของข้า แต่เนื่องจากเจ้าหาเรื่องตาย อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ แม้ว่าจะมีสัตว์อสูรกลายพันธุ์น้อยมาก แต่มีสัตว์โครงกระดูกอีกหลายร่างที่กลายพันธ์เช่นกัน หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเองที่ต้องการสังหารข้า”
หลินเว่ยมองด้วยสายตาเย็นชาไปที่ ราชายักษ์ภูเขา คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น และเจตนาสังหาร
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้ารู้ เจ้าคงจะติดนิสัยโอ้อวดในหมู่มนุษย์ และหวาดกลัวจนเสียสติ พูดจาไร้สาระ จะให้ข้าเป็นสัตว์อัญเชิญของเจ้าหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า…!” หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเว่ย
ราชายักษ์ภูเขาก็หัวเราะออกมา เสียงของเขาดังมาก จนเกิดระเบิดคลื่นเสียงในหูของหลินเว่ย โชคดีที่ หลินเว่ยเตรียมพร้อมมาก่อน หากเขาไม่เตรียมพร้อม เสียงหัวเราะของราชายักษ์ภูเขาจะทำให้หลินเว่ยบาดเจ็บ
แม้หลินเว่ยแม้ว่าเขาจะใช้พลังปราณเพื่อปิดผนึกลดอาการหูอื้อลง หลายสิบชั้น แต่มันก็ยังทำให้หลินเว่ยขมวดคิ้ว
“บ้า! ไอ้สารเลวนี่! ข้าจะฆ่ามัน” เสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจจากเจดีย์ต้าหลิงดังขึ้น เห็นได้ชัดว่า เจดีย์ต้าหลิงเบื่อเสียงของราชายักษ์ภูเขามาก ในที่สุดตอนนี้เจดีย์ต้าหลิงร้องขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว
“ใช่! ฆ่าไอ้สารเลวนี่ซะ! กล้าทำให้ปรมาจารย์ต้าหลิงไม่พอใจ ข้าจะช่วยท่านเอง จัดการกับมันกันเถอะ” เสียงที่ดังขึ้นในครั้งนี้เป็นของจินหยู ในคำพูดเต็มไปด้วยความยกยอเจดีย์ต้าหลิง
เนื่องจากทั้งสองเป็นสิ่งประดิษฐ์ แผ่นหินศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงศิลปะวัตถุระดับต่ำส่วนเจดีย์ต้าหลิงแม้ว่าจะไม่ได้รับการฟื้นฟูเต็มที่ แต่ก็เป็นศิลปวัตถุระดับกลาง มันแข็งแกร่งกว่าแผ่นหินศักดิ์สิทธิ์อย่างจินหยูมาก
จินหยูรู้สึกนอบน้อมกับเจดีย์ต้าหลิงเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการเติบโต ร่างของจินหยูมีศักยภาพมากกว่า เนื่องจากเขาสามารถดูดกลืนแร่ทุกชนิด และทำการเลื่อนระดับร่างกายของตนเอง เจดีย์ต้าหลิงสามารถฟื้นฟูความแกร่งของตนเองให้กลับไปดังเดิมได้เท่านั้น
นั่นคือศิลปวัตถุที่แท้จริง แม้ว่าจะสามารถใช้วัสดุในการเลื่อนระดับได้เช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องการความช่วยเหลือจากช่างตีเหล็กที่ทรงพลัง และยอมรับความเสี่ยงที่จะล้มเหลว นั่นคือศิลปวัตถุที่แท้จริง การเลื่อนระดับจะยากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่หายากหรือช่างตีก็หายากเช่นกัน ค่าใช้จ่ายในการเลื่อนระดับไม่คุ้มค่ากับการหลอมขึ้นมาใหม่
ดังนั้น ในการอัปเกรดแผ่นหินศักดิ์สิทธิ์ จะต้องใช้วัสดุระดับสูงเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันเรื่องวัสดุ ตราบใดที่มันมีระดับสูงกว่าตัวเองเป็นใช้ได้
หากต้องการเลื่อนระดับเจดีย์ต้าหลิง ต้องมีวัสดุที่เหมาะสม ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะไม่มีความขัดแย้ง และช่างตีเหล็กที่ทรงพลัง
เห็นได้ชัดว่าหลินเว่ยนั้นไม่มีเวลามาเพื่อหลอมมันด้วยตนเอง เขาต้องฝึกฝนอยู่เสมอ อีกทั้งหลินเว่ยถึงกับละทิ้งการกลั่นยา แล้วเขาจะใช้เวลามากในการเรียนรู้การตีเหล็กได้อย่างไร
“ในกรณีนั้น ฝากทั้งสองคนด้วย” หลินเว่ยประสานกำปั้น และพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ