ราชาซากศพ - บทที่ 479 บ่วงวิญญาณ
บทที่ 479
บ่วงวิญญาณ
“สารเลว! สารเลวทั้งนั้น” เมื่อเห็นว่า มีคนทรยศต่อสำนักหลายสิบคน โอวหยางเต๋อก็ดุด่าขึ้นมาในทันที จากนั้นก็หันกลับมาและตะโกนไปยังคนที่เหลือที่อยู่ข้างหลังเขา:
“อย่าเรียนรู้จากคนพวกนั้น ข้าไม่เชื่อว่า หากเราไม่เห็นด้วย พวกมันจะสังหารเราจนหมด อย่าลืมว่ายังมีราชันย์ในตำนานมากกว่าหนึ่งคน ในหุบเขาเทียนซินพวกมันไม่กล้าทำอะไรพวกเราอย่างแน่นอน”
“ใช่เราทุกคนยืนยันว่า เราจะไม่ยอมจำนน แม้ว่าต้องตายก็จะไม่เปลี่ยนใจ” โอวหยางเต๋อพูดเสียงเบาลง ส่วนหลินเซี่ยเห็นด้วย และพยักหน้าอย่างแข็งขัน
อย่างไรก็ตาม หลินเซี่ยยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ทันทีที่เขากำลังจะอ้าปาก ทันใดนั้นบางคนที่ลังเลใจก็พลันฉุกคิดขึ้นมาอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นไม่นาน ภายใต้สายตาของหลินเซี่ยและ โอวหยางเต๋อ คนในสำนักที่เหลือ เหาะออกจากฝูงชนทีละคน และยอมจำนวนต่อมี่หยาง
“ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลินเซี่ยมองไปที่ โอวหยางเต๋อด้วยความสูญเสีย จากนั้นก็หันไปหาเจียงฉิน คำพูดของเขาแสดงให้เห็นถึงความสับสน
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เจียงฉินก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม อันขมขื่น จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า: “ศิษย์พี่! อย่าทำเรื่องวุ่นวายไปเลย สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือ ต้องทำให้คนอื่นเห็นด้วยกับคำพูดของท่าน
แต่ในตอนนี้ ผู้คนส่วนมากล้วนไม่มีใครอยากตาย ใครกันจะยืนหยัดได้อย่างเรา”
“ฮ่าๆ! ข้าจะไม่สังหารพวกเจ้าหรอก เนื่องจากพวกเจ้าซึ่งเป็นกำลังแรงงานชั้นดีในการขุดเหมืองให้ข้า “ชายหนุ่มปริศนากล่าวกับ โอวหยางเต๋อด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่พูดกับโอวหยางเต๋อจบ ชายหนุ่มคนนั้นโบกมือ ทันใดนั้นบ่วงตรึงวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในอากาศ จากนั้นเขาก็พูดกับ มี่หยาง”เอาคนของเจ้าไปช่วยกันจับพวกเขาไว้ และรับแหวนมิตินี้ไป นอกจากสามปรมาจารย์ในขั้นตำนาน คนอื่นๆ ข้ายกให้จะทำอะไรกับพวกมันก็ได้”
“ขอบคุณสำหรับรางวัล!” ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ภายในใจของมี่หยางก็ประหลาดใจ จนตัวสั่นสะท้าน รีบแสดงความขอบคุณอย่างรีบร้อน
“บ่วงตรึงวิญญาณ!” เมื่อเห็นบ่วงเหล่านี้ โอวหยางเต๋อ, เจียงฉิน, หลินเซี่ย และหลาย ๆ คนที่รู้ที่มาของสิ่งนี้ ล้วนเปลี่ยนสีหน้าและร้องออกมา
หลินเว่ยรู้เรื่องบ่วงตรึงวิญญาณเป็นอย่างดี มันถูกใช้เพื่อปิดกั้นพลังงานทั้งหมดในร่างกายของผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณ พลังวิญญาณหรือพลังจิตวิญญาณก็จะถูกกีดกันไม่สามารถใช้ได้
นอกเหนือจากพลังกายเท่านั้น ผู้ฝึกตนที่ถูกบ่วงตรึงวิญญาณ ล้วนต่างไปจากคนธรรมดาๆทั่วไป
แน่นอนว่า อีกฝ่ายต้องยินยอมที่จะสวมบ่วงตรึงวิญญาณ เนื่องจากมันจะตรึงวิญญาณและพลังต่างรวมทั้งจิตวิญญาณสงครามด้วย ไม่ว่าระดับการฝึกฝนจะสูงมากเพียงใด แม้แต่ขั้นตำนานก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อสวมลงไปในร่างแล้ว จะไม่สามารถถอดออกด้วยตนเองได้ เว้นแต่ผู้อื่นจะเป็นคนปลดให้ และการฝึกฝนต้องเป็นระดับขั้นทองขึ้นไป
โดยปกติแล้วบ่วงตรึงวิญญาณ จะใช้กับนักโทษในเหมืองทั้งสาม ซึ่งคนงานเหมืองหลายคนก็สวมบ่วงตรึงวิญญาณเช่นกัน
คนงานเหมืองส่วนใหญ่เป็นนักโทษที่ถูกจับมาโดยหุบเขาเทียนซินหรือผู้ฝึกตนที่ทำผิดมหันต์ในสำนักหุบเขาเทียนซิน หรือผู้ฝึกตนที่ละเมิดกฎอย่างร้ายแรง
คนเหล่านี้ทั้งหมดจำเป็นต้องสวมบ่วงตรึงวิญญาณเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ใครบางคนยักยอกหินหยวนในเหมืองได้
หลินเว่ยคาดเดาได้ว่า จำนวนบ่วงตรึงวิญญาณที่ชายหนุ่มหยิบออกมานั้นมีมากมาย ซึ่งเขาอาจจะได้มาจากการทำลายเหมืองทั้งสามของหุบเขาเทียนซิน
“บัดซบ! หากถูกตรึงวิญญาณ เราจะกลายเป็นแกะอ้วนๆ รอถูกเชือดเพียงเท่านั้น จะดีกว่าที่จะสู้จนตัวตาย” โอวหยางเต๋อกล่าว
“ อย่าหุนหันพลันแล่น! ด้วยความแข็งแกร่งของเรามันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะท้าทายคู่ต่อสู้อย่างเขา เจียงฉินจะส่ายหัวและโน้มน้าวใจโอวหยางเต๋อ
“เราจะทำอย่างไรดี? หากเราถูกสวมบ่วงตรึงวิญญาณ จะไม่มีทางต้านทานพวกมันได้” โอวหยางเต๋อพูดด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยและขมวดคิ้ว
“ เราสามารถทำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น ข้าเชื่อว่าหากสำนักไม่สามารถติดต่อเราได้เป็นเวลานาน พวกเขาจะคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น
ในเวลานั้นจะมีปรมาจารย์ทั้งสองคนที่จะช่วยเราออกไป ” เจียงฉินส่ายหัวและถอนหายใจ
“คงทำได้เท่านั้น!” หลินเซี่ยตกลงที่จะพยักหน้า ด้วยใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูก
“ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น!” โอหยางเต๋อก็พยักหน้า
ในเวลานี้มีผู้ฝึกตนมากกว่า 40,000 คนในหุบเขาเทียนซิน และมีเกือบ 5,000 คนที่เปลี่ยนฝั่งไปอยู่กับมี่หยาง
แม้ว่ามี่หยางจะไม่สามารถควบคุมคนได้เกิน 5000 คน แต่เพียงเท่านั้นเขาก็พึงพอใจมาก ที่มีคนจำนวนย้ายฝั่งมาอยู่กับเขา
“ชายชรา! เชิญ มี่หยางเดินมาที่โอวหยางเต๋อพร้อมกับบ่วงตรึงวิญญาณคู่หนึ่ง จากนั้นควบคุมบ่วงตรึงวิญญาณใส่ในร่างของโอวหยางเต๋อด้วยความพึงพอใจ
โอหยางเต๋อโกรธจัดจนต้องการสังหารมี่หยาง แต่เขาข่มความโกรธของตนเองลงไป เพื่อรอวันที่จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้
ครู่ต่อมาบ่วงตรึงวิญญาณก็ค่อยๆหายไปในร่างของโอวหยางเต๋อ และปรากฏขึ้นบนจิตวิญญาณสงครามของเขาแทน พลังต่างๆในร่างกายถูกตัดขาดจนหมดสิ้น
จากนั้นลมปราณของโอวหยางเต๋อก็หายไป เขากลายเป็นชายชราตัวเล็ก ๆ ทั่วไป
ร่างกายของเขาโซซัดโซเซแกว่งไปมาสองสามครั้ง เพราะเขาสูญเสียการฝึกฝนอย่างกะทันหัน โอวหยางเต๋อแทบจะไม่สามารถต้านทานได้ โชคดีที่ร่างกายของเขาแข็งแรงมาก
ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกาย มันทำให้เขาฝืนร่างและไม่ล้มหัวคะมำได้เสียก่อน
เมื่อเห็นว่าโอวหยางเต๋อถูกสวมบ่วงตรึงวิญญาณเรียบร้อยแล้ว เสียงเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของมี่หยาง เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงอะไรบางอย่าง
เขาเงยหน้าขึ้นและกวาดตามองฝูงชนอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าเขาก็จับจ้องไปที่หลินเหยาและหลินเว่ย ดวงตาของเขาก็พลันสว่างขึ้นทันที
จากนั้น มี่หยางก็เพิกเฉยต่อโอวหยางเต๋อและบอกให้ผู้ติดตามของเขา เรียกร้องให้ผู้ฝึกตนคนอื่นในหุบเขาเทียนซินใส่บ่วงตรึงวิญญาณคนที่เหลือ จากนั้นเขาบินไปยังตำแหน่งของหลินเหยาและหลินเว่ยทันที
“ว่าอย่างไรหลินเหยา?” เมื่อมองไปที่ใบหน้าของมี่หยาง มีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายมองไปที่หลินเหยา ทำให้นางขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววรังเกียจและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป หลินเหยา เจ้าไม่ใช่หัวหน้าของข้าอีกต่อไป เป็นเพียงนักโทษ เจ้าจะโงหัวขึ้นได้อย่างไร ฮ่าๆ?” มี่หยางกล่าวด้วยเสียงเยาะเย้ย
“ ฮึบ!” เมื่อได้ยินคำพูดของมี่หยาง หลินเหยาก็กัดฟันแน่น แต่นางไม่ได้ปริปากพูด แต่ตะคอกอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของหลินเหยา มี่หยางดูคล้ายกับว่าจะถูกกระตุ้นด้วยความโกรธทันที: “ถึงขั้นนี้แล้วยัง แสร้งทำท่าสูงส่ง ไม่ต้องกังวล อีกสักครู่ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสกับความสุขของการเป็นหญิงสาวเต็มตัว
ต่อหน้าทุกคนและทำให้เจ้ายอมจำนนต่อข้าตลอดชีวิต และมีลูกให้ข้า ”
“หน้าด้าน ไร้ยางอาย! เมื่อได้ยินคำพูดของมี่หยาง ใบหน้าของหลินเหยาก็ปรากฏความโกรธขึ้นมาทันที แสงเย็นในดวงตาของนางกะพริบ และคำพูดของนางเต็มไปด้วยเจตนาสังหารรุนแรง
“ไม่ต้องกังวล! ข้าจะไม่จัดการเจ้าตอนนี้ อย่างน้อยก็หลังจากที่เจ้าสวมบ่วงตรึงวิญญาณ” หลังจากที่ มี่หยางพูดจบ เขาก็โยนบ่วงตรึงวิญญาณ และโยนมันไปต่อหน้าหลินเว่ยและหลินเหยา .
หลินเหยาเพิกเฉยต่อบ่วงตรึงวิญญาณมี่หยางขว้างออกมา แต่นางหันไปหาหลินเว่ยและพูดว่า “หลินเว่ย! สังหารเขา นั่นคือสิ่งที่สามที่ข้าต้องการให้เจ้าทำ
“ข้าขอโทษ! ข้าขอปฏิเสธ เมื่อได้ยินคำพูดของ หลินเหยา หลินเว่ยรู้สึกว่ามีหมูป่านับ 10,000 ตัว วิ่งผ่านหัวใจเขาอย่างดุเดือด ใบหน้าของเขาเรียบเฉย พลางส่ายหัวและปฏิเสธ
“ เจ้าจะกลับคำพูด?” หลินเหยาถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า ข้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ และนั่นก็เกินความสามารถของข้า” หลินเว่ยส่ายหัวอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่า! นี่คือชายที่เจ้าร้องขอความช่วยเหลืองั้นหรือ แม้ว่าหญิงของเขาจะถูกรังแก แต่เขากลับเป็นไก่อ่อนที่ไม่กล้า แม้แต่จะชูคอขึ้นมา เลิกกับเขาซะ!
ตราบเท่าที่เจ้าติดตามข้าและรับใช้ด้วยความเต็มใจ ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี “มี่หยางหัวเราะสองครั้งและพูดอย่างสนุกสนาน
“ไสหัวไป!” เมื่อได้ยินคำพูดของมี่หยาง หลินเหยาก็แค่นเสียงเย็นชา ดุด่าไปทางหนึ่ง
“นังแพศยา! แล้วเจ้าจะรู้สึก” ใบหน้าของมี่หยางจมดิ่งลง และพูดด้วยความเยาะเย้ย
หลังจากที่ มี่หยางพูดจบ หลินเว่ยก็ยกนิ้วชี้ขึ้นและพูดเบา ๆ ว่า “ข้าจะขอแก้ไขเรื่องหนึ่งก่อน นางไม่ใช่ผู้หญิงของข้า…อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้ชอบพอความเจ้าอารมณ์ของนาง”
แม้ว่าสิ่งที่ หลินเว่ยพูดจะเป็นความจริง แต่ หลินเหยาก็เสียใจมาก เมื่อได้ยินสิ่งที่ หลินเว่ยพูด เธอเอื้อมมือไปบิดรอบเอวของหลินเว่ยอย่างโกรธเกรี้ยว
“ซู๊ด…!” หลินเว่ยสูดลมหายใจเย็นทันที จับมือของ หลินเหยาที่กำลังหยิกเอวของเขา และพูดอย่างโกรธ ๆ “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมมาทำร้ายข้า”
“นี่…!” หลินเหยารู้สึกโง่งม นางไม่เข้าใจว่า ทำไมนางจึงทำเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงไม่แม้แต่จะตอบสนองต่อการจับมือของหลินเว่ย แต่นางหันหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งด้วยความลำบากใจ และมีสีแดงระเรื่อปรากฏขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง
เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยและหลินเหยานั้น กระทำท่าทางที่ดูสนิทสนมกันมาก มี่หยางก็โกรธแค้นและดุด่าว่า “ไอ้สารเลว! ขนาดนี้แล้วยังมาปฏิเสธ คิอว่าข้าเป็นหัวหลักหัวตองั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของมี่หยาง หลินเว่ยก็ปล่อยมือของ หลินเหยาอย่างรวดเร็ว แล้วกางมือออกใบหน้าที่ไร้เดียงสาพูดว่า: “ข้าและนางไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ”
“ไปให้พ้น ข้าไม่ได้ตาบอดและข้าก็ไม่ใช่คนโง่เง่า” มี่หยางพูดแล้ว หันไปหาผู้ฝึกตนขั้นทองขาวหลายคนที่หลบอยู่เบื้องหลังเขา และเรียกขึ้นว่า “พวกเจ้ามาที่นี่”
“นายท่าน! มีอะไรจะทำโปรดบอกข้า!” หลายคนกล่าวด้วยความเคารพ