ราชาซากศพ - บทที่ 440 แก่งแย่งชิงศิษย์
บทที่ 440
แก่งแย่งชิงศิษย์
“ อะไรนะ…ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเจ้า?” หลังจากที่ทั้งสามคน ส่งข่าวกลับไปยังสำนักตี้เฉิงซ่ง จู่ ๆ ก็มีจำนวนคนมากในสำนักตี้เฉิงซ่ง มารวมตัวกัน และเคลื่อนตัวไปยังเสาผนึกวิญญาณทันที
ไม่นานนัก ก่อนที่ชิวเถียนจะได้ยินเสียงของอากาศฉีกกระชาก คนแรกที่มาถึงคือ ชายชราสองคน ศีรษะขาวโพลน และใบหน้าสีแดงเอิบอิ่ม
“ ปรมาจารย์!” เมื่อรู้สึกถึงลมปราณที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของชายทั้งสองคน ชิวเถียนและคนอื่นๆ ก็โค้งคำนับ เพื่อแสดงความยินดีอย่างรีบร้อน
อย่างไรก็ตาม หลังจากทั้งสองคนมาถึง พวกเขาก็ไม่สนใจชิวเถียนเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขากลับจ้องไปที่เสาผนึกวิญญาณด้านล่างอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นพวกเขาทั้งหมด ก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า: “ระดับเทพเจ้า! มันอยู่ที่สำนักตี้เฉิงซ่งของเราแล้ว
จากนั้นก็มีจำนวนคนหลายสิบตัว ที่เดินทางมาจากระยะไกล ๆ พวกเขาดูเหมือนว่า ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักตี้เฉิงซ่ง
ในหมู่พวกเขา มีผู้นำของสำนักตี้เฉิงซ่ง , หยางเป่ยหลิน ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักตี้เฉิงซ่ง
จำนวนคนหลายสิบคน ซึ่งแต่ละคนเป็นผู้นำของแต่ละยอดเขา รองผู้นำของแต่ละยอดเขา และผู้อาวุโสของสำนัก ตี้เฉิงซ่ง การฝึกฝนของแต่ละคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่าชิวเถียนและอีกสามคน
“ ยินดีที่ได้พบ!” เมื่อเห็นการมาถึงของหยางเป่ยหลิน และผู้อาวุโสสูงสุดหลายคน ชิวเถียนและคนอื่น ๆ ต่างก็เอ่ยทักทายกันอย่างกระตือรือร้น
“ปรมาจารย์ทั้งสองยินดีที่ได้พบ!” หยางเป่ยหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้น เมื่อหยางเป่ยหลินเห็นอาวุโสทั้งสามคนที่ยืนดูเสาผนึกวิญญาณด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็น หยางเป่ยหลิน เนื่องจากพวกเขากำลังเฝ้าดูเสาผนึกวิญญาณอย่างจริงจัง
หลังจากนั้น เขารีบไปข้างหน้า และโค้งคำนับให้ผู้อาวุโสทั้งสองคน เขากล่าวด้วยความเคารพว่า: ” หยางเป่ยหลินคารวะ อาวุโสไท่ซาง ซือหม่าเหยียน,เหยียนฮั่วถิง ”
“อืม!” ผู้อาวุโสทั้งสามคนพยักหน้า และตอบรับแผ่วเบา แต่พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ ดวงตาของพวกเขาไม่เคยละจากเสาผนึกวิญญาณ
“ อาวุโสไท่ซาง?” ยกเว้นบางคนที่รู้เรื่องนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจ และดูไม่อยากจะเชื่อ เมื่อพวกเขาได้ยินที่หยางเป่ยหลินร้องเรียกผู้อาวุโสสูงเบื้องหน้า
หากสามารถเรียก คนตรงหน้าว่าอาวุโสไท่ซาง มีความเป็นไปได้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเบื้องหน้า ได้ทำลายขั้นตำนานและเข้าสู่ระดับมหากาพย์ไปแล้ว
“การทดสอบยังดำเนินต่อไป เป็นไปได้หรือไม่ว่า พรสวรรค์ของเด็กคนนี้คือ ระดับเทพเจ้า ระดับกลาง” ผู้อาวุโสที่มีชื่อว่า เหยียนฮั่วถิง กล่าวด้วยความประหลาดใจ
“มีโอกาสเป็นไปได้มาก!” ผู้อาวุโสที่ชื่อว่า ซือหม่าเหยียนมองไปที่เสาผนึกวิญญาณด้วยดวงตาของเขา ที่ส่องสกาว กล่าวโดยไม่หันกลับมามอง
ทางด้านหลินเว่ยเอง ก็ได้ยินเสียงของอากาศถูกฉีกกระชาก หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ข้างบน ดังนั้นหลินเว่ยจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น
“ อย่าเพิ่งคิดฟุ้งซ่าน สหายตัวน้อย เราหวังว่าจะทำแบบทดสอบนี้ให้สำเร็จ” เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยเสียสมาธิ อาวุโสคนหนึ่งในสามคน จึงรีบเอ่ยเตือนเขาด้วยความเมตตาที่ไม่อาจบรรยายได้ของเขา
” โอ้…..หลินเว่ยพยักหน้า และตอบกลับ จากนั้นเขาก็หันไปมองที่เสาผนึกวิญญาณอีกครั้ง ภายนอกของหลินเว่ยดูเรียบเฉย แต่ภายในเขาถามจินหยูว่า บุคคลที่อยู่เหนือเขา มีลักษณะเป็นอย่างไร?
คำตอบของจินหยูคือ เขาตอบว่าไม่รู้เช่นกัน มีคนประมาณสิบคน จะเห็นได้เพียงว่า ความแข็งแกร่งของบางคนอยู่ในระดับทองขาว ในขณะที่คนอื่น ๆ มีความแข็งแกร่งเหนือกว่านั้น พวกเขาอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับทองนิล หรือแม้แต่ระดับตำนาน ครู่ต่อมาเสียงของเหยียนฮั่วถิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยความตกใจและกล่าวว่า “มันเป็นระดับกลางของระดับเทพเจ้าแล้ว แต่มันยังไม่หยุดนิ่ง….นี่มันคงไม่ใช่ระดับสูงระดับเทพเจ้าหรอกนะ?”
แต่ไม่มีผู้ใดตอบเขา ทุกคนในปัจจุบันมีใบหน้าที่แตกต่างกัน แต่ความสนใจของพวกเขาอยู่ที่เสาผนึกวิญญาณ
“ มันจะสูงเกินไปหรือไม่?” หลินเว่ยอดไม่ได้ที่จะพูดอะไรบางอย่างกับจินหยู
“เป็นอะไรไป…ยิ่งเจ้าทำผลงานได้ดี ในเวลานี้สถานะของเจ้าในสำนักตี้เฉิงซ่งก็จะยิ่งสูงขึ้น และเจ้าจะได้รับทรัพยากรมากขึ้น ในอนาคตมันเป็นสิ่งที่ดี ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันเกินไป ‘ ไม่คิดว่าเจ้าจะได้รับวัสดุระดับสูงงั้นหรือ ” เมื่อได้ยินคำพูดของ หลินเว่ย จินหยูพูดด้วยความไม่พึงพอใจนัก
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น!” หลินเว่ยพยักหน้า และรู้สึกว่าสิ่งที่จินหยูพูดนั้น มีเหตุผล
“มันเป็นระดับเทพ ระดับสูงแล้ว มันยัง….ยังไม่หยุดลงอีก … ” ดวงตาของไป๋หลางมืดมน และปากของเขาพึมพำ ใบหน้าของเขาขมขื่นยิ่งนัก
หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋หลางชิวเถียนและ เฉินอิงที่อยู่ข้างๆ ไป๋หลาง ก็หันศีรษะและมองไปที่ไป๋หลาง โดยไม่รู้ตัว พวกเขาคิดว่า หลินเว่ยนั้นมีความสามารถเหนือผู้อื่นจริง ๆ และดวงตาของพวกเขาแสดงถึงความเห็นใจในชะตาของไป๋หลาง
ไม่กี่นาทีต่อมา ร่องที่สิบบนเสาผนึกวิญญาณด้านหน้าหลินเว่ย ถูกเติมเต็มไปจนหมด และจากนั้นเสาผนึกวิญญาณทั้งหมดก็ค่อยๆถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วง จากนั้นในแสงสีม่วงก็ปรากฏไฟฟ้าวนเวียน ราวกับงูจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังแหวกว่าย
“เทพเจ้า! มันเป็นระดับสูงสุดของเทพเจ้า เป็นไปได้อย่างไร? นานมาแล้ว ในดินแดนตงเฉิง และยังไม่เคย มีระดับอัจฉริยะเช่นนี้มาก่อน สวรรค์อวยพรแก่สำนักของเราแล้ว” หยางเป่ยหลินสั่นสะท้าน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ราวกับว่าเลือดของเขาไหลกลับไปที่สมอง และพูดอย่างตื่นเต้น
“ เหตุการณ์ในวันนี้ จงเก็บให้เงียบที่สุด อย่าบอกเรื่องนี้แก่ผู้อื่น จนกว่าเราจะมั่นใจในความปลอดภัยของเขา ก่อนที่เขาจะเติบโต หากใครกล้าที่จะปล่อยข่าวนี้ออกไป แม้อยู่ที่ปลายโลก ข้าจะตามไปทำลายจิตวิญญาณของมัน อย่างแน่นอน”
ทันใดนั้น อาวุโสคนหนึ่งในสามคน ก็หันกลับมาและมองไปที่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักตี้เฉิงซ่ง ด้วยใบหน้าที่สง่างาม และกล่าวอย่างเคร่งเครียด
หลังจากที่ชายคนนี้พูดจบ อาวุโสอีกคนก็หันกลับมาและพูดว่า “เด็กคนนี้จะได้รับการสั่งสอนจากข้าในอนาคต อย่าได้เพ้อฝัน”
เมื่อคนอื่น ๆได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ชายชราคนหนึ่งเป็นผู้นำพูดขึ้นพร้อมแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขาชี้ไปที่อีกฝ่ายและพูดว่า “ผายลม! หยางจิ่วจง เจ้ามันแก่ชราเกินไปแล้ว เหตุใดเขาต้องได้รับการสั่งสอนจากเจ้า
“หืม! หลงจี, ตาแก่…อย่าพูดมากและไม่ยอมรับการตัดสินใจนี้ อย่างน้อยข้าก็มีความแข็งแกร่งที่สูงกว่าเจ้า” หยางจิ่วจงบิดริมฝีปากขึ้น และตะคอกกลับ
“บัดซบ! ความแข็งแกร่งสูงกว่าข้าเพียงเล็กน้อย หากต้องการเปรียบเทียบความแข็งแกร่งจริง ๆ ก็มาสู้กันเถอะ ด้วยวิธีนี้จะได้ตัดสินว่าใครจะได้เป็นอาจารย์ของเขา” ชายชราที่มีชื่อว่าหลงจีถ่มน้ำลายและพูดด้วยใบหน้าที่มั่นใจ
“ ……” ภายใต้การจ้องมองของสาธารณชน ชายชราทั้งสองคนต่างทะเลาะกันราวกับเด็กน้อย
“ ฮึบ … !”
“ ตูม … !” ในขณะนี้พื้นดินด้านล่างเริ่มสั่นสะเทือน พลังงานแห่งสวรรค์และโลกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งโลก ถูกดึงและมาบรรจบกันที่สถานที่แห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง จุดศูนย์กลางของการรวบรวมพลังงานคือเสาผนึกวิญญาณต่อหน้าหลินเว่ย
“เกิดอะไรขึ้นเกิดอะไรขึ้น?” มีผู้คนเริ่มตั้งคำถาม แต่ไม่มีใครตอบรับเลยสักคน
“ไม่! เราพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปิดกั้นสถานที่แห่งนี้ และอย่าปล่อยให้ความผันผวนนี้กระจายตัวออกไป” หยางจิ่วจงสูดหายใจเฮือกใหญ่ และดูเหมือนจะคิดอะไรได้ จู่ๆ สีหน้าของเขา ก็เปลี่ยนไป ทันใดนั้นสีหน้าก็เต็มไปด้วยความกังวล น้ำเสียงเร่งด่วนร้องตะโกน เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ผู้คนต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาไม่ลังเลเลย และพยายามที่จะปิดกั้นสถานที่นี้ตามที่หยางจิ่วจงบอก
อย่างไรก็ตาม คำเตือนของหยางจิ่วจง เห็นได้ชัดว่าเป็นขั้นตอนที่ช้าเกินไป เสาลำแสงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งโลกเริ่มสั่นคลอน บนท้องฟ้าและเมฆพลันเปลี่ยนไป
ท้องฟ้าของดินแดนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ห่างออกไปหลายแสนกิโลเมตร กลายเป็นสีดำสนิทมีสายฟ้าพุ่งผ่านก้อนเมฆอย่างต่อเนื่อง
ในฉากนี้ สายตาของทุกคน ราวกับพบปาฏิหาริย์ หลินเว่ยก็ตะลึงกับฉากนี้เช่นกัน แม้แต่จินหยูเองก็ยังคิดไม่ออกว่า ทำไมจึงมีเสียงดังถึงเพียงนี้ เมื่อเทียบกับฉากนี้ ของหลินเว่ยเมื่อครั้งทะลวงด่านขั้นอรหันต์ หลังจากออกมาจากดินแดนลับ
แต่โชคดีเมื่อ หยางเป่ยหลินและ หยางจิ่วจงร่วมมือกันเพื่อสกัดกั้นพลังงานแห่งสวรรค์และโลก และเปิดค่ายกลป้องกันแห่งหุบเขา ฉากเบื้องหน้าพลันหายไป
“ท่านไท่ซ่าง ! เกิดอะไรขึ้น?” หยางเป่ยหลินมองไปที่ มังกรสายฟ้าตัวใหญ่เหนือศีรษะของเขา และรู้สึกหวาดกลัว หลังจากกลืนน้ำลายไม่กี่คำ เขาก็รีบเอ่ยคำถาม
“ อนิจจา! ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ความสามารถของเด็กคนนี้มากมายถึงเพียงนี้ พรสวรรค์ของเขาไม่ใช่ระดับเทพเจ้าธรรมดา แต่เป็นระดับเทพเจ้าระดับสูง เป็นเพราะเขา ที่ทำให้โลกนี้เปลี่ยนไป หากข้ารู้ก่อนหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ ข้าควรจะรีบจัดการตั้งแต่เนิ่นๆ
แต่มันสายเกินไปแล้ว ฉากนั้นจะแพร่กระจายข่าวลือในไม่ช้า “เมื่อได้ยินคำถามของหยางเป่ยหลิน หยางจิ่วจงถอนหายใจแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
เทพเจ้าระดับสูงงั้นหรือ? ความสามารถของเด็กคนนี้ก็ทะลวงระดับเทพเจ้าชั้นสูง แล้วเช่นนี้อนาคต ความแข็งแกร่งของเขา … ” ยิ่งหยางเป่ยหลินพูดมากเท่าใด เสียงของเขาก็ยิ่งแผ่วลง ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
“ความสามารถเหนือธรรมชาติเป็นเพียงตำนานในดินแดนตงเฉิง กล่าวกันว่า เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยง ไม่ได้สำหรับคนที่มีพรสวรรค์เหนือธรรมชาติที่จะกลายเป็นเทพเจ้าที่แท้จริงได้ มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น” หลงจีอ้าปากและพูดช้า ๆ
“ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาในสำนักของเราแล้วล่ะ หลังจากวันนี้หากเราสามารถอยู่รอดได้ คาดว่าจะกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในตงเฉิง หากเราไม่สามารถอยู่รอดได้ เรากำลังเสี่ยงที่สำนักจะถูกทำลายลงไป ” หยางจิ่วจงกล่าวอย่างกังวล
“แล้วอย่างไร โอกาสและความเสี่ยงเกิดมาพร้อมกัน ในสมัยนั้นกองกำลังอันดับหนึ่งของตงเฉิงเสินโจว มีจำนวนคนมากมาย มีปรมาจารย์ในตำนานหลายสิบคน และศิษย์อีกหลายหมื่นคน ตอนนี้เราทำได้เพียงพึ่งพาผู้อื่น” หลงจีกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“ ปรมาจารย์พูดถูก! ความเสี่ยงสูง ย่อมนำไปสู่ผลตอบแทนสูง” หยางเป่ยหลินพยักหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าแน่วแน่