ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 9 นิตยสาร
ตอนที่ 9 นิตยสาร
กลางดึก
หลังจากช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่มายืมเตาอบ ลูเมี่ยนเดินขึ้นชั้นสอง ตรงเข้าห้องที่ใช้อ่านหนังสือ
ในหมู่บ้านกอร์ตู ครอบครัวยากจนจำนวนมากไม่มีเตาอบหรือเตาถ่านขนาดใหญ่ ดังนั้นเวลาจะอบขนมปังหรือรมควันเนื้อ พวกเขาจะขอยืมจากเพื่อนบ้านแล้วใช้ให้เสร็จตรงนั้น
หากเป็นเรื่องพวกนี้ โอลัวร์จะใจกว้างและอดทนเสมอ ทุกคนมายืมใช้ได้ตราบเท่าที่จ่ายค่าฟืนหรือนำถ่านหินหรือไม้มาเอง
ท่ามกลางแสงสว่างจากโคมไฟใส่แบตฯ ที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ หญิงสาวซึ่งเปลี่ยนไปใส่ชุดนอนผ้าไหมสีขาว นั่งเอนหลังบนเก้าอี้ สมาธิจดจ่ออยู่กับหนังสือในมือ
ลูเมี่ยนไม่คิดรบกวน เพียงหยิบหนังสือเล่มบางจากชั้นแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงมุมห้อง
‘ผ้าคลุมหน้าอำพราง’ …นิตยสารประเภทไหนเนี่ย? ลูเมี่ยนเหล่มองปกหนังสือที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ประหลาด ในใจรู้สึกฉงน
เด็กหนุ่มรีบเปิดอ่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งอึ้ง
นิตยสารเล่มนี้กล่าวถึงการมีอยู่ของดวงวิญญาณมนุษย์ กล่าวถึงความเชื่อ ‘ทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ’ กล่าวถึงวิธีแอบสื่อสารกับวิญญาณต่างๆ เพื่อรับความช่วยเหลือ…
ต่อให้มิได้เป็นผู้ศรัทธาทั้งใจ ต่อให้การเข้าโบสถ์สุริยันเจิดจรัสเป็นเพียงการทำตามๆ คนอื่น หรือนานๆ ครั้งจึงจะเข้ามิสซาสักหน แต่ลูเมี่ยนอดนึกถึงคำพูดสองคำไม่ได้
“ลบหลู่!”
“นอกรีต!”
อาจไม่แปลกนักถ้าจะพบหนังสือเล่มนี้ในบ้านโอลัวร์ นังแม่มดที่จะถูกศาลของศาสนจักรจับมัดกับท่อนไม้แล้วย่างสดหากมีใครล่วงรู้เข้า
แต่สิ่งที่ลูเมี่ยนตกตะลึงก็คือ นิตยสารเล่มนี้มีใบอนุญาตจัดพิมพ์จากรัฐบาล!
ของแบบนี้ตีพิมพ์ได้อย่างเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมาย?
ไหนว่ากองตรวจสอบสิ่งพิมพ์เข้มงวดมากไง?
หรือว่าจะเป็นใบอนุญาตปลอม…ลูเมี่ยนเงยหน้ามองโอลัวร์แล้วถาม
“เล่มนี้น่ะ…นิตยสารต้องห้ามไม่ใช่หรือไง?”
โอลัวร์เบือนสายตาออกจากหนังสือของเธอ เหลือบมองมาทางน้องชายและกล่าวอย่างไม่มีอารมณ์ร่วม
“เคยเป็น…เมื่อก่อนเป็นวรรณกรรมใต้ดินหัวหนึ่ง แต่ในภายหลัง ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันผ่านการกองตรวจสอบแล้วถูกตีพิมพ์อย่างถูกต้อง ศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสก็ปล่อยผ่านโดยไม่ได้ทำอะไร”
“วรรณกรรม?” ลูเมี่ยนงุนงงกับการเลือกใช้คำของพี่สาว
“ใช่ วรรณกรรม หรือนายคิดว่าเป็นเรื่องจริง?” โอลัวร์หัวเราะ “ถ้าสิ่งที่เขียนคือเรื่องจริง ติดว่ากองตรวจสอบจะปล่อยผ่าน? ถ้าลองทำตามวิธีที่เขียน นอกจากจะไม่ได้อะไรตอบแทน จิตใจยังจะอ่อนแอและกลายเป็นโรคประสาท หืม…ก็อาจมีเรื่องจริงปะปนอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่ได้ใช้ภาษาสำหรับประกอบพิธีกรรม พยายามเท่าไรก็คงไร้ผล”
นี่คือความคิดเห็นของจอมเวทมืออาชีพ
“เข้าใจแล้ว…” ลูเมี่ยนไม่อาจเก็บซ่อนความผิดหวัง “ฉันก็แค่ตกใจที่มันถูกตีพิมพ์จริงๆ”
โอลัวร์ทำแก้มป่อง สีหน้าดูคล้ายกำลังใช้ความคิด
“ไม่แน่ใจเหตุผลเหมือนกัน แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเกิดปรากฏการณ์วิเศษ…เอ่อ…ฉันหมายถึงปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นในทุกๆ ที่…ชนิดที่ไม่มีทางปกปิดได้ครบถ้วนแน่ ไม่ช้าก็เร็วจะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง บางที ทางการคงอยากให้ประชาชนมีความรู้ติดตัวเอาไว้บ้าง จึงผ่อนปรนการควบคุมหนังสือประเภทนี้…ในกรุงทรีอาร์ นิตยสารที่ได้รับความนิยมยิ่งกว่าก็มี ‘สื่อวิญญาณ’ ‘ดอกบัว’ และ ‘อุปนิษัท’ ฉันมีทุกเล่มนั่นแหละ ถ้านายสนใจก็อ่านได้ อาจช่วยให้นายแต่งเรื่องเก่งขึ้น ครั้งหน้าที่ร้านเหล้าคงปั้นน้ำเป็นตัวได้คล่องปร๋อ”
“หืม…” ลูเมี่ยนสนใจมันจริงๆ
ขณะเดียวกัน ในใจก็รู้สึกอัศจรรย์
ขุมทรัพย์หนังสือของโอลัวร์ นอกจากมีเยอะแล้วยังหลากหลายแนวด้วย!
อาศัยหนังสือเหล่านี้ อาศัยการอธิบายเป็นครั้งคราวของโอลัวร์ เด็กหนุ่มที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนเป็นเรื่องเป็นราว สามารถเข้าใจพื้นฐานของโลกที่ตนอาศัยอยู่ เข้าใจลักษณะของทวีปและอาณาจักรต่างๆ
โลกนี้มีอยู่สองทวีปหลัก เหนือและใต้ คั่นกลางด้วยทะเลคลั่ง—อาณาเขตที่ปกคลุมด้วยพายุเกรี้ยวกราดจนยากจะเดินเรือ
ในส่วนของทวีปตะวันออกและตะวันตกในตำนาน ยังไม่เคยมีใครไปถึง การมีอยู่จึงยังไม่แน่ชัด
ลูเมี่ยนกับโอลัวร์อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐอินทิส ตั้งอยู่ใจกลางทวีปเหนือ ฝั่งตะวันตกติดกับทะเลหมอก ฝั่งทิศเหนือติดกับจักรวรรดิฟุซัค ฝั่งตะวันออกติดกับอาณาจักรโลเอ็นโดยมีเทือกเขาโฮนาซิสคั่น ฝั่งทิศใต้ใช้ชายแดนร่วมกับอาณาจักรเฟเนพ็อต ลุนเบิร์ก และมาซิน
ระหว่างอาณาจักรเฟเนพ็อตกับโลเอ็นมีประเทศเล็กๆ อย่างเซกัลเป็นรัฐกันชน
เซกัล ลุนเบิร์ก และมาซินถูกเรียกรวมกันว่ากลุ่มประเทศมัชฌิมทักษิณ (ภาคใต้ตอนกลาง) และนับถือ ‘เทพแห่งปัญญาความรู้’ เหมือนกัน
ทวีปใต้กลายเป็นอาณานิคมของอาณาจักรทวีปเหนือ ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิไบลัม อาณาจักรเพิร์ธ อาณาจักรฮาเก็นติ หรือชนชาติอื่นๆ ต่างก็สูญเสียอำนาจอธิปไตยไปเกือบหมดแล้ว
แต่แน่นอน กระแสการต่อต้านอาณานิคมไม่เคยเสื่อมคลายลง
นอกเหนือจากทะเลคลั่งระหว่างทวีปเหนือกับใต้ ยังมีทะเลสำคัญอื่นๆ เช่น ทะเลหมอกทางตะวันตกของสาธารณรัฐอินทิส ทะเลโซเนียทางตะวันออกของอาณาจักรโลเอ็น ทะเลเหนือทางเหนือของจักรวรรดิฟุซัค และทะเลขั้วโลกทางใต้ของทวีปใต้ ทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่า ‘ห้าห้วงสมุทร’
ในบรรดาประเทศทั้งหมดของทวีปเหนือ อาณาจักรโลเอ็นทรงพลังที่สุดในแง่ความแข็งแกร่งภาพรวม รองลงมาคือสาธารณรัฐอินทิส จักรพรรดิฟุซัคที่พ่ายแพ้ในสงครามล่าสุดตกไปอยู่ลำดับสี่ โดยมีอาณาจักรเฟเนพ็อตขึ้นมาเป็นลำดับสามแทน ในกลุ่มประเทศมัชฌิมทักษิณ ลุนเบิร์กทรงพลังมากที่สุด
ลูเมี่ยนเปรียบดังนักภูมิศาสตร์หากเทียบกับชาวบ้านคนอื่นๆ ในกอร์ตูที่รู้จักแค่สาธารณรัฐอินทิส อาณาจักรเฟเนพ็อต และลุนเบิร์ก
มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นเพราะ ‘คนเลี้ยงแกะแห่งกอร์ตู’ จำเป็นต้องเดินทางข้ามพรมแดนเฟเนพ็อตกับลุนเบิร์ก จึงได้รู้เรื่องสองประเทศนี้เป็นของแถม แต่หากไปถามชาวบ้านแถบชนบทฝั่งเหนือของเขตดาลีแอช ถ้าไม่นับหมู่บ้าน เมือง และมหานครรอบๆ พวกเขาคงรู้จักแค่เมืองสำคัญๆ อย่างซูสิตหรือกรุงทรีอาร์
บางครั้งลูเมี่ยนก็นึกสงสัยว่า โอลัวร์รอบรู้ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
ตำราเรียนที่เขาอ่านก็ได้โอลัวร์รวบรวมให้ กระดาษข้อสอบเป็นฝีมือเธอเช่นกัน ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มมีคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่อ่าน โอลัวร์จะตอบได้เสมอ
เหนือสิ่งอื่นใด เธอยังช่ำชองศาสตร์การต่อสู้หลายแขนง
ทั้งหมดนี้ดูเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหญิงสาวในวัยหลักยี่สิบ บางคนอยู่มานานถึงห้าหกสิบปีก็ยังไม่รอบรู้ถึงเพียงนี้
หรือนี่จะเป็นเงื่อนไขขั้นต่ำในการเป็นจอมเวท? ลูเมี่ยนเงยหน้ามองโอลัวร์อีก
“มองอะไร?” โอลัวร์สัมผัสถึงสายตา
“เอ่อ…คราวก่อนพี่บอกว่า ฉันมีความรู้มากพอที่จะสอบระดับชาติเพื่อเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา?” ลูเมี่ยนเปลี่ยนเรื่อง
โอลัวร์ครุ่นคิดสักพักแล้วพูด
“ในทางทฤษฎี นายเก่งพอที่จะสอบติดทุกสถาบันอุดมศึกษา แต่เนื่องจากตัวฉันไม่เคยสอบระดับชาติ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคำถามจะกว้างแค่ไหน”
“โรซายล์ทำคนเขาเดือดร้อนกันทั่ว แต่ก็นะ…นี่ถือเป็นเรื่องดี…”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การสอบระดับชาติเพื่อเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เกิดขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิโรซายล์ และถูกใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ทันใดนั้น คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งบางอย่างได้ โอลัวร์มองลูเมี่ยนแล้วถามยิ้มๆ
“ทำไมวันนี้ไม่ไปปั้นน้ำเป็นตัวที่ร้านเหล้าล่ะ?”
“ฉันไม่ใช่พวกขี้เมาสักหน่อย” ลูเมี่ยนตอบพลางเขย่านิตยสารในมือ “อ่านหนังสืออยู่บ้านก็เป็นความบันเทิงที่ไม่แย่เหมือนกัน”
แถมยังช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย…เด็กหนุ่มเสริมในใจ
โอลัวร์พยักหน้ารับ กล่าวขณะมองลูเมี่ยนที่มุมห้อง
“แล้วทำไมต้องนั่งไกลนัก? กำลังรับบทเป็นเด็กน่าสงสาร อ่อนแอ และไร้พลังอยู่?”
“มานี่สิ ถ้าจะอ่านหนังสือตอนกลางคืนก็ต้องใช้แสงดีๆ ไม่อย่างนั้นตาจะเสีย”
โอลัวร์มีคำแปลกๆ เยอะจริงๆ…แม้เราจะเข้าใจคำอย่าง ‘น่าสงสาร’ ‘อ่อนแอ’ และ ‘ไร้พลัง’ แต่พอนำมารวมกันกลับดูผิดที่ผิดทางแปลกๆ…ลูเมี่ยนที่ชาชินกับการเลือกใช้คำของโอลัวร์ ยกเก้าอี้แล้วเดินมาที่โต๊ะอ่านหนังสือ
เด็กหนุ่มกับโอลัวร์นั่งเคียงข้างกันโดยไม่พูดไม่จา ต่างฝ่ายต่างอ่านหนังสือของตัวเองโดนอาศัยแสงไฟจากโคมตั้งโต๊ะ เด็กหนุ่มกับโอลัวร์นั่งเคียงข้างกันโดยไม่พูดไม่จา ต่างฝ่ายต่างอ่านหนังสือของตัวเอง นานๆ ครั้งจะหันมาคุยกันสองสามคำ
เสียหายใจ เสียงพลิกหน้ากระดาษ และเสียงสายลมเย็นจากนอกหน้าต่าง สร้างบรรยากาศสงบเงียบและผ่อนคลาย
…
เด็กหนุ่มถอดแจ็กเกตแขวนไว้กับหลังเก้าอี้ โดยไม่คิดจะนำ ‘ไม้’ ขึ้นไปบนเตียงด้วยกัน
ที่ทำเช่นนี้เพราะไม่อยากกระตุ้นความสงสัยของโอลัวร์ เธอเคยบอกว่าจะคอยจับตาดูตลอดเวลา
ขณะเตรียมก้าวไปที่เตียง ลูเมี่ยนชะงักพลางเกิดความคิด
เด็กหนุ่มหันไปปรับตำแหน่งเก้าอี้ที่ปกติแล้วจะหันหน้าออกนอกหน้าต่าง
จากนั้นก็ขึ้นเตียง ดับตะเกียงน้ำมันก๊าดบนตู้ข้างเตียง
ช่วงแรกไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งผ่านไปนาน ลูเมี่ยนสะดุ้งตื่นด้วยสติคมชัด
เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นห้องนอนถูกหมอกบางๆ ปกคลุม
เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว ลูเมี่ยนมองไปรอบๆ อย่างใจเย็นจนกระทั่งสังเกตเห็น
เก้าอี้ที่เขาจงใจปรับตำแหน่งให้ผิดไปจากเดิม ยังคงหันหน้าออกนอกหน้าต่างในความฝัน
หมายความว่าห้องนอนในความฝันมิใช่ภาพสะท้อนความจริง…อาจเป็นความทรงจำส่วนลึกสุดของจิตใต้สำนึก…แม้จะไม่ทราบความหมาย แต่ลูเมี่ยนเชื่อว่ามันคือจุดสำคัญที่ควรจดจำ
เด็กหนุ่มเข้าใกล้หน้าต่าง วางสองมือเท้าโต๊ะแล้วมองออกไป
ภูเขาที่ก่อตัวจากหินสีน้ำตาลแดงและดินสีแดงน้ำตาล รวมถึงวงแหวนซากอาคารรอบๆ กลับมาอยู่ในการมองเห็นอีกครั้ง
บรรยากาศเงียบเชียบอย่างยิ่ง
เวลาผ่านไปไวเหมือนสายน้ำ หลังจากสองจิตสองใจอยู่นาน ในที่สุดลูเมี่ยนก็ตั้งธง
วันนี้ต้องสำรวจเบื้องต้นให้ได้!
อดีตที่เคยต้องเร่ร่อน ปลูกฝังความยืดหยุ่นและมุ่งมั่นให้เขา
แทนที่จะรีบร้อนลงบันไดไปเพื่อตรงไปยังซากปรักหักพัง ลูเมี่ยนเปิดตู้แล้วเริ่มนำเสื้อผ้าออกมาสวมทับ
มิใช่เพราะรู้สึกหนาว แต่เป็นวิธีเพิ่ม ‘ความสามารถเชิงป้องกันตัว’
หลังจากสวมเสื้อกับกางเกงผ้าฝ้าย ห่อหุ้มตัวเองด้วยแจ็กเกตหนัง ลูเมี่ยนลองเดินไปมาเพื่อทดสอบการเคลื่อนไหว
เด็กหนุ่มพบว่าตนใส่มากกว่านี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ความคล่องตัวลดลงมากเกินไป
สิ่งนี้สำคัญยิ่งกว่า
ขณะสร้างความเคยชิน ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในใจลูเมี่ยน
นี่คือความฝันของเรา…ถ้าอย่างนั้น…คิดอะไรก็ต้องได้ตามที่คิดสิ!
เมื่อเกิดอยากทดลอง เขาเริ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“อยากได้เกราะเหล็ก ปืนพก…อยากได้เกราะเหล็ก ปืนพก…”
ทว่า ห้องที่ยังมีหมอกสีเทาจางๆ ลอยอยู่เต็ม ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใด
คงไม่ได้ผลสินะ เป็นฝันที่พิเศษจริงๆ …ลูเมี่ยนข่มความผิดหวัง เปิดประตูห้องนอน แล้วเดินออกไปยังโถงด้านนอก
ทางเดินปราศจากแสง มีเพียงความมืดสลัว
ลูเมี่ยนเปิดประตูห้องนอนโอลัวร์และห้องอ่านหนังสือตามลำดับ การจัดเรียงด้านในแตกต่างจากความจริงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่เหมือนกัน
ความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุด คือการไม่มีโอลัวร์ในทั้งสองห้องที่คล้ายกับถูกย้อมเป็นสีเทาก่อนนำไปแช่แข็ง
ชั้นล่างก็ไม่ต่าง
ลูเมี่ยนเริ่มหาอาวุธเพื่อป้องกันตัว อาศัยความเคยชิน ไม่นานเขาก็พบสองตัวเลือก
ตัวเลือกแรก ส้อมยาวเกือบสองเมตร ส่วนปลายทำจากเหล็กกล้า จากคำบอกเล่าของโอลัวร์ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่มีอาวุธระยะไกล เครื่องมือชิ้นนี้มีประสิทธิภาพสูงและใช้งานง่าย
ตัวเลือกที่สองคือขวานสั้นคมกริบ ทำจากเหล็กดำ
ถ้าเป็นผู้ใหญ่ต้องเหมาหมด…ลูเมี่ยนตรึกตรองพลางนึกถึงวลีที่โอลัวร์ชอบพูด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทำตาม
เป้าหมายของวันนี้คือการสำรวจเบื้องต้น ซึ่งต้องอาศัยความรอบคอบและการซ่อนเร้นในระดับแทบจะล่องหน
การถืออาวุธยาวๆ จะทำให้เคลื่อนไหวลำบาก แถมยังง่ายต่อการถูกพบตัว
ลูเมี่ยนถอนหายใจช้าๆ แล้วก้มลงไปหยิบขวาน
จากนั้นก็ยืนตัวตรง เดินทีละก้าวไปยังประตูท่ามกลางหมอกจางๆ
เด็กหนุ่มเปิดประตูบ้านอย่างเงียบเชียบ
…………………………………………………….