ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 88 ความฉลาดทางอารมณ์
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 88 ความฉลาดทางอารมณ์
ตอนที่ 88 ความฉลาดทางอารมณ์
ได้ยินคำถามเชิงยืนยันจากลูเมี่ยน ไรอันพยักหน้ารับ
“จะเข้าใจแบบนั้นก็ได้ แต่ถ้าพบเรื่องผิดปกติอื่นที่ควรต้องตรวจสอบ เราก็ไม่ควรมองข้าม”
“ตกลง” ลูเมี่ยนก็คิดแบบเดียวกัน
เขากะว่าจะไม่เข้าร่วมเทศกาลมหาพรต ไม่อย่างนั้น หลังจากได้เห็น ‘สิ่งที่เกิดขึ้น’ ในช่วงพิธีฉลอง เด็กหนุ่มเกรงว่าตนอาจกลั้นอารมณ์ไม่อยู่
ไม่นานคนทั้งสี่ก็เดินไปถึงบ้านลูเมี่ยน โดยมีโอลัวร์นำทางขึ้นชั้นสอง
หญิงสาวที่เปลี่ยนมาใส่ชุดกระโปรงยาวสีขาวทำจากผ้าฝ้าย เพื่อเน้นความเบาสบายในบ้าน ชี้ไปยังห้องนอนของลูเมี่ยนกับห้องอ่านหนังสือ แล้วกล่าวกับสามนักสืบ
“พวกคุณเลือกอยู่ในสองห้องนี้ได้เลย”
ไรอันมองไปทางลีอา เพื่อขอความคิดเห็นจากเพื่อนรวมทีม
ลีอาไตร่ตรองเล็กน้อย ยกมือขวาขึ้น ยิ้มพลางชี้ไปทางห้องอ่านหนังสือ
“เก้าอี้เอนหลังดูดีมาก ฉันจะนอนที่นั่นก็แล้วกัน… ไรอัน คุณกับวาเลนไทน์ไปเบียดกันในห้องนั้น”
“เชื่อใจพวกเราขนาดนั้นเชียว?” ขณะที่โอลัวร์คิดในใจ ลูเมี่ยนเป็นคนพูดออกมา
เด็กหนุ่มนึกว่าสามคนต่างถิ่นจะเลือกนอนด้วยกันในห้องเดียว แบ่งกันนอนบนเตียงและพื้น เพื่อป้องกันการ ‘ถูกเก็บเรียงคน’
ลีอายิ้ม แล้วตอบคำถามกึ่งจิกกัดของลูเมี่ยน
“ผลการทำนายของฉันบอกว่า คุณสองคนเชื่อใจได้”
พูดจบเธอก็เดินเข้าห้องอ่านหนังสือพร้อมกับเสียงกรุ๊งกริ๊ง ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เอนหลังอย่างสบายอุรา
โอลัวร์พบว่าลีอามีนิสัยน่าคบหาและน่าสนใจ จึงตักเตือนอย่างยิ้มแย้ม
“เคยมีเพื่อนบอกกับฉันว่า จงเชื่อในผลการทำนาย แต่อย่าเชื่ออย่างสุดหัวใจ เพราะการทำนายไม่ได้แม่นยำเสมอไป”
“อาจารย์ของฉันก็เคยพูดคล้ายๆ กัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ถ้าไม่เชื่อแล้วต้องทำอย่างไร?” ลีอาตอบยิ้มๆ พลางปรับท่านอนบนเก้าอี้เอนหลัง
โอลัวร์ไม่รังเกียจที่มีคนมานั่งเก้าอี้ตัวเก่งของตน เพียงลากเก้าอี้อีกตัวมานั่ง
ห้องอ่านหนังสือในบ้านสองพี่น้องยังทำหน้าที่เป็นห้องรับแขกขนาดย่อม บางครั้งก็ใช้จัดชามื้อบ่าย พื้นที่จึงถือว่าไม่เล็ก มีเก้าอี้ให้ใช้สอยอย่างเพียงพอ
ไรอันสำรวจโถงทางเดินทั้งสองอยู่สักพัก ไม่นานก็กลับมายืนตรงประตูห้องอ่านหนังสือ พูดกับโอลัวร์และลูเมี่ยน
“ฉันมีคำแนะนำ”
“โปรดบอก” โอลัวร์ทำท่าตั้งใจฟังอย่างมีมารยาท
ไรอันพยักหน้าเบาๆ
“ข้อแรก ระหว่างที่นอนตอนกลางคืน อย่าปิดประตูห้องทุกห้อง เพื่อให้ทุกคนได้อยู่ในมิติเดียวกันอย่างแท้จริง ด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าจะเกิดความผิดปกติตรงไหน เราก็จะตอบสนองได้ทันท่วงที”
“ข้อสอง หากพิจารณาจากเรื่องที่เราทำลายแท่นบูชาไปแล้ว อาจมีคนพยายามฆ่าเราก่อนจะเริ่มเทศกาลมหาพรต ดังนั้นนับตั้งแต่คืนนี้ไป เราจะผลัดกันเฝ้ายามตอนกลางคืน อา… เริ่มจากสี่ทุ่ม ไปจนถึงแปดโมงเช้าของอีกวัน ทุกคนแบ่งกันคนละสองชั่วโมง…”
“สมแล้วที่เป็นมืออาชีพ…” โอลัวร์พึมพำเสียงแผ่ว
ลูเมี่ยนหันมามองพี่สาว คล้ายอยากถามว่า ‘ทำไมพี่ถึงคิดไม่ได้?’
โอลัวร์ยักไหล่เล็กน้อย เป็นนัยว่าตนไม่มีประสบการณ์ทำงานเป็นทีมมากนัก
แล้วจึงหันไปมองไรอันกับวาเลนไทน์ พูดอย่างหนักแน่น
“ลูเมี่ยนจะรับผิดชอบช่วงสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน”
สำหรับการจัดสรรนี้ พวกลีอาไม่เห็นแย้ง
จากมุมมองของพวกเขา เวรของลูเมี่ยนสมเหตุสมผลดีแล้ว เพราะในบรรดาห้าคนตรงนี้ เด็กหนุ่มมีลำดับต่ำสุด มีประสบการณ์น้อยที่สุด มีโอกาสทำพลาดระหว่างเฝ้ายามกลางคืนมากที่สุด จึงควรได้รับหน้าที่ในช่วงหลังสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ซึ่งยังมีบางคนไม่นอน
นอกจากเจตนาหลัก ลูเมี่ยนยังเข้าใจเจตนาแฝงของพี่สาว:
เขาต้องสำรวจดินแดนความฝันหลังจากเข้านอน ไม่สามารถถูกขัดจังหวะได้
หลังจากกำหนดเวรผลัดแรกได้ วาเลนไทน์เสนอตัวอย่างกระตือรือร้น
“ฉันชินกับการนอนเร็วตื่นเช้า จะรับผิดชอบช่วงหกโมงเช้าถึงแปดโมงเช้าให้”
“ตื่นเช้าขนาดนั้น เพื่อต้อนรับพระอาทิตย์ขึ้นสินะ” ลูเมี่ยนจิกกัดตามนิสัย
วาเลนไทน์มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
“ใช่… ฉันอยากต้อนรับการมาเยือนของพระอาทิตย์ สรรเสริญแสงสว่างที่ส่องประกาย”
สายตาของวาเลนไทน์คล้ายกำลังบอกว่า ‘อย่างที่คิด… มีเพียงเธอที่เป็นผู้ศรัทธาขององค์สุริยันเจิดจรัสเท่านั้นที่เข้าใจฉัน!’
ให้ตายสิ ฉันกำลังแซวนายอยู่นะ พี่น้อง! ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนพ่ายแพ้ให้กับวาเลนไทน์
ในศาสนาสุริยันเจิดจรัส คำว่า ‘พี่น้อง’ คือคำเรียกที่มักใช้ในหมู่ผู้ศรัทธาด้วยกัน โดยถูกใช้อย่างแพร่หลายในสององค์กรหลักของศาสนาอย่าง ‘ภราดรภาพเทศนา’ และ ‘ภราดรภาพน้อย’
“ฉันไม่ค่อยชินกับการถูกปลุกระหว่างนอน” ลีอาพูดเป็นคนถัดมา “ฉันขอเฝ้ายามช่วงเที่ยงคืนถึงตีสอง”
โอลัวร์พยักหน้า
“ฉันชอบตื่นสาย สามารถดูแลช่วงตีสองถึงตีสี่ได้ อา… พรุ่งนี้พวกคุณไม่ต้องปลุกฉันกินมื้อเช้านะ คงจะตื่นประมาณเที่ยง”
“ที่เหลือฉันรับผิดชอบเอง” ไรอันอาสารับช่วงเวลาที่ไม่น่าพึงพอใจที่สุด ด้วยความพึงพอใจ
พูดจบ เขาเข้ามาในห้องอ่านหนังสือแล้วหาเก้าอี้นั่ง
ทุกคนเริ่มสนทนาอย่างเป็นกันเอง แม้โอลัวร์จะไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก แต่เธอมีความรู้ด้านดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ รวมไปถึงกระแสนิยมปัจจุบัน ข่าวฉาว และเรื่องเหนือธรรมชาติในเมืองใหญ่อย่างทรีอาร์ เบ็คลันด์ ทำให้พวกลีอาและไรอันต่างก็ประทับใจ
“สมแล้วที่เป็นนักเขียนชื่อดัง โอลัวร์·ลี” ลีอาชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณสามารถเขียนได้ทุกแนว”
โอลัวร์ถามอย่างใคร่รู้
“คุณเคยอ่านนิยายของฉัน?”
“ใช่ อ่านมาตั้งแต่เล่มแรก ตอนนั้นฉันยังเป็นแค่เด็กสาว” ลีอาตอบยิ้มๆ แววตาเปล่งประกาย “จริงสิ ช่วยเซ็นลายเซ็นให้หน่อย!”
ขณะที่หญิงสาวควานหากระดาษกับปากกา กระดิ่งเล็กสีเงินบนหมวกคลุมหน้ากับรองเท้าบูต ก็ดังกรุ๊งกรุ๊งกริ๊งกริ๊ง
“สมบัติปิดผนึกใช่ไหม?” โอลัวร์ที่เคยฟังเรื่องราวจากลูเมี่ยน ถามถึงกระดิ่งเล็กสี่ใบของลีอาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ลีอาหยิบกระดาษโน้ตกับปากกาขึ้นมา ตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก
“ใช่ มันสามารถเตือนภัยได้เอง และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำนาย แต่ข้อเสียคือเสียงดัง ไม่ค่อยลับ อีกทั้งผู้ใช้ต้องเป็นคนแต่งตัว ต้องทันสมัย ต้องใส่กระโปรง ต้องรักสวยรักงาม ไม่อย่างนั้นไม่เพียงจะใช้การไม่ได้ แต่ยังอาจจงใจนำทางผิด หรือไม่ก็นำทางไปหาองค์ซ่อนเร้นอันตราย”
“เดาไม่ได้เลยว่ากระดิ่งนี้เดิมเป็นของสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรี” โอลัวร์พูดยิ้มๆ
ลูเมี่ยนเห็นด้วยอย่างยิ่ง หากกระดิ่งนี้เคยเป็นสุภาพสตรี ก็คงเป็นพวกรักสวยรักงาม หากเคยเป็นสุภาพบุรุษ ก็คงเป็นพวกวิตถาร
ลีอายิ้มเบาๆ
“มันเกี่ยวข้องกับเอกสารลับ ฉันเล่ามากกว่านี้ไม่ได้”
หญิงสาวลุกขึ้นยืน ยื่นกระดาษโน้ตกับปากกาให้โอลัวร์
โอลัวร์เซ็นไปก็พลางถามว่า
“นิยายของฉันน่ะ คุณชอบนิยายแนวไหนที่สุด?”
“โรแมนติก” ลีอาตอบอย่างไม่ลังเล “เล่มที่มีอิทธิพลต่อฉันมากที่สุด คือนิยายเล่มแรกที่คุณเขียน ‘รักนิรันดร์’”
“เล่นนั้นเขียนไว้นานแล้ว ตอนนั้นฉันยังเด็ก ลีลาการเขียนยังไม่ดี ไม่เก๋า หลายฉากยังดูแข็ง บทสนทนาร้อนแรงเกินไป ขาดความจริงจัง…” โอลัวร์พูดอายๆ กึ่งถ่อมตัว
ลูเมี่ยนช่วยเสริมตามนิสัย
“แต่มีความจริงใจและสดใหม่”
เขาเองก็เคยอ่านนิยายเล่มนี้ของพี่สาว เนื้อหาเล่าถึงคู่รักที่ต้องพลัดพรากเพราะความตาย มีองค์ประกอบผสมผสานระหว่างการผจญภัย การเข้าใจผิด และโรคร้าย ซึ่งถือเป็นการบุกเบิกแนวใหม่ให้กับวงการนิยายของอินทิสในช่วงเวลานั้น
แน่นอน ตัวนิยายถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักเขียนและนักวิจารณ์หัวเก่าอย่างรุนแรง ข้อเสียหลักๆ ก็ตามที่โอลัวร์พูดไป คนเหล่านั้นถึงกับตราหน้าว่านิยายเล่มนี้ไม่ถือเป็นผลงานวรรณกรรม เป็นได้เพียงนิยายที่เกร่อเกลื่อน
“ใช่เลย” ลีอารับปากกาและกระดาษกลับคืนไป มองหน้าโอลัวร์พลางถามอย่างยิ้มแย้ม “คุณยอดนักเขียน อยากมาเป็นสายลับให้กับหน่วยแปดของเราไหม?”
เมื่อเห็นโอลัวร์ทำหน้างุนงง ลีอาพูดเสริม
“พวกเราปราบปรามผู้วิเศษเถื่อนเพราะคนพวกนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุม สามารถคลุ้มคลั่งหรือก่อคดีได้ทุกเมื่อ หรือไม่ก็ใช้พลังวิเศษไปทำสิ่งไม่ดี เพื่อสนองความปรารถนาส่วนตน…”
“ในช่วงหลายวันมานี้ ฉันสังเกตพฤติกรรมของคุณกับน้องชายอย่างละเอียด และยืนยันได้ว่าเป็นผู้วิเศษที่อยู่ในหลักเกณฑ์ปลอดภัย ผนวกกับข้อมูลที่เราสืบมาก่อนเข้าสู่หมู่บ้านกอร์ตู ก็บ่งชี้ว่าพวกคุณไม่เคยก่อคดีอุกฉกรรจ์”
“องค์ประกอบทั้งหมดอยู่ในมาตรฐานที่พวกเรายอมรับได้… หากคุณเลือกที่จะทำงานเป็นสายลับให้เรา ก็ไม่ต้องคอยพะวงว่าจะถูกผู้วิเศษทางการมาจับตัวอีก”
โอลัวร์ใจเต้นแรงเมื่อได้ยิน จากนั้นก็มองไปทางลูเมี่ยน แล้วผงกศีรษะแผ่วเบา
“ขอคิดดูก่อนนะคะ จะให้คำตอบหลังจากวัฏจักรสิ้นสุดลง”
ลูเมี่ยนที่อยู่ข้างๆ เข้าใจสายตาของพี่สาวเมื่อสักครู่
ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่นายน่ะ ผู้ที่มีรอยประทับมลพิษร้ายแรง จะผ่านเกณฑ์ของพวกเขาหรือ?
หลังจากคุยกันอีกสักพัก สองพี่น้องก็บอกลาพวกลีอา กลับเข้าไปในห้องนอนของโอลัวร์
ฝ่ายพี่สาวนั่งบนขอบเตียง มองไปทางประตู แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ลีอามีความฉลาดทางอารมณ์สูงมาก”
“หมายความว่ายังไง?” ลูเมี่ยนก็สัมผัสได้ว่า ในห้องอ่านหนังสือเมื่อสักครู่ ลีอาทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นและเป็นกันเอง
โอลัวร์ตอบยิ้มๆ
“เธอเกริ่นด้วยการพูดถึงนิยายของฉัน เริ่มขอลายเซ็น เป้าหมายคือการสร้างความสนิทสนม เพื่อเป็นบันไดในการทำข้อเสนอถัดไป โดยที่ข้อเสนอนั้นมีเพื่อลดความระแวงและกำแพงในใจพวกเรา ช่วยให้ทุกคนสามารถร่วมมือกันได้อย่างสนิทใจในวันต่อๆ ไป…”
“ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ไม่มีช่วงไหนดูใจร้อนหรือทำให้ฉันเกิดความระแวง เป็นสัญญาณของคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูง นายควรศึกษาและเอาเยี่ยงอย่างไว้!”
ลูเมี่ยนย้อนนึกถึงบทสนทนาที่เพิ่งเกิด พลางพูดถากถางตัวเอง
“ถ้าเป็นฉัน ป่านนี้คงถูกตะเพิดออกจากบ้านไปแล้ว”
โอลัวร์หัวเราะให้กับอารมณ์ขันของน้องชาย พลางกล่าวขณะโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
“รู้ตัวก็ดีแล้ว!”
จากนั้นเธอก็ลูบผมบลอนด์
“ฉันขอนอนพักก่อน ตายังไม่หายดี ต้องนอนชดเชยอีกสักนิด รอสักสี่ทุ่มนายค่อยปลุกฉัน ทางนี้จะอยู่เป็นเพื่อนเฝ้ายามให้… นี่เป็นการเฝ้ายามครั้งแรกของนาย ไม่ประมาทไว้จะดีกว่า”
ลูเมี่ยนไม่มีข้อโต้แย้ง จึงตอบตกลงในทันที พลางมองดูพี่สาวของตนนอนราบไปบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมแล้วหลับตา
บรรยากาศในห้องกลายเป็นเงียบสงบทันที
ลูเมี่ยนปิดไฟโต๊ะอ่านหนังสืออย่างเบามือ รูดผ้าม่านปิดมิดชิด
จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะอ่านหนังสือ มองดูใบหน้าของพี่สาวที่หลับไปอย่างไร้การป้องกันท่ามกลางแสงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องลอดเข้ามา หัวใจของเด็กหนุ่มเริ่มสงบลงตามลำดับ
……………………………………………………..