ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 86 เปลี่ยนวิธีคิด
ตอนที่ 86 เปลี่ยนวิธีคิด
เมื่อมีดสั้นสีเงินดำตกกระทบพื้น แล้วกระดอนอยู่สองสามครั้ง
ลูเมี่ยนถอนหายใจโล่งอก พลางพึมพำกับตัวเอง
“ถ้าไม่มีการป้องกันด้วยสัญลักษณ์หนามดำที่ถูกกระตุ้น เจ้านี่ก็เหมือนกับระเบิด…”
ดีที่เขาทราบแล้วว่าควรหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของมีดสั้นประหลาดเล่มนี้อย่างไร
เด็กหนุ่มเดินไปทางก้อนเนื้อสีเทาขาว หยิบเสื้อคลุมสีดำที่สัตว์ประหลาดช่างตีเหล็กทิ้งไว้ขึ้นมา
เขาฉีกผ้าเป็นชิ้นๆ จนเกิดเสียงแคว่กคว่ากหลายครั้ง แล้วนำมาพันรอบมือขวาคล้ายกับการพันแผล
ถัดมา ลูเมี่ยนใช้มือข้างเดียวกันจับ ‘มีดล่าชะตากรรม’ ไว้แนบแน่น
มีดสั้นสีเงินดำ ไม่แสดงถึงความผิดปกติตั้งแต่ต้นจนจบ
ลูเมี่ยนที่เตรียมทิ้งวัตถุในมือตลอดเวลา เริ่มใจชื้นขึ้นมา พลางกระซิบกระซาบ
“คงต้องทำฝักมีดไว้ จะได้พกพาสะดวก…”
“หรือว่าต่อไปนี้ ต้องพันผ้าไว้ที่มือซ้ายหรือขวาตลอดเวลา เผื่อว่าในกรณีฉุกเฉิน เมื่อต้องการชักมีดอย่างรวดเร็ว จะได้ไม่ป้องกันตัวช้าเกินไป?”
“เจ้านี่อันตรายมาก แต่ก็ทรงพลังมากเหมือนกัน… หากไม่นับอายุการใช้งานที่สั้น มันดูดีกว่าเหล่าอาวุธวิเศษที่โอลัวร์เคยเอ่ยถึง อา… อาจเหนือกว่าสมบัติปิดผนึกระดับ 3 ส่วนใหญ่”
ขณะลูเมี่ยนรำพันกับตัวเอง ก็ใช้เศษผ้าสีดำที่ยังเหลือ บรรจงพันรอบมีดล่าชะตากรรมทีละชั้น
หลังจากพันไปสามทบจากด้ามจรดปลาย เด็กหนุ่มจึงวางใจ นำมีดสั้นชั่วร้ายเหน็บไว้กับเข็มขัดฝั่งซ้าย
เมื่อจัดการเสร็จ ลูเมี่ยนบีบนวดขมับ อดทนต่อความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เดินเข้าไปในห้องที่สัตว์ประหลาดช่างตีเหล็กออกมา แล้วลงมือค้นหาอย่างระมัดระวัง
นอกจากเตาไฟที่ยังลุกไหม้ เขาไม่พบสิ่งใดอื่น
ถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนตัดสินใจยุติการสำรวจ เดินกลับทางเก่าด้วยความระแวดระวังและรอบคอบ
เมื่อไม่ถูกรบกวนโดยชะตากรรม เขาสามารถออกจากเขตซากปรักหักพังได้ไม่ยากเย็น ผ่านทุ่งร้างกลับเข้าไปในบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน
เด็กหนุ่มไม่รีบร้อนเข้านอน เพียงวางมีดล่าชะตากรรมลง พักผ่อนสักครู่ รอให้พลังวิญญาณฟื้นตัวกลับมาระดับหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มเต้นด้วยท่าบิดเบี้ยวสุดระห่ำในห้องนอน
เขาต้องการดึงดูดสัตว์ประหลาดในละแวกใกล้เคียงให้เข้ามาสิงร่าง เพื่อดูว่าจะมีผลกระทบด้านลบอย่างไรบ้าง
หลังจากสังเกตเห็นว่าสัตว์ประหลาดไฟ สัตว์ประหลาดสามหน้า และมีดล่าชะตากรรม ต่างก็หวาดกลัวและยำเกรงสัญลักษณ์หนามสีดำ เด็กหนุ่มเลิกกังวลกับการถูกสิงร่าง
มลพิษภายในร่างกายของตน เลวร้ายยิ่งกว่าการถูกสิงร่างหลายเท่านัก!
มิหนำซ้ำ ตอนนี้เขาเหนื่อยมาก พร้อมผล็อยหลับได้ทุกเมื่อ หากจวนตัวขึ้นมาจริงๆ สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสิงร่างไม่ยอมออก หรือสร้างผลข้างเคียงรุนแรง เขาก็แค่หลับ แล้วกลับไปพักผ่อนบนโลกความจริงสักหนึ่งวันก็หายเป็นปกติ
“นี่คือการ ‘โกง’ และ ‘เปิดโปรฯ’ ที่โอลัวร์เคยพูดถึงสินะ…” ลูเมี่ยนคิดไปในขณะที่ยังเต้น
ตามจังหวะการเต้นอันดุเดือด พลังวิญญาณของเขาค่อยๆ แผ่ขยาย ผสานเข้ากับพลังธรรมชาติที่ถูกกระตุ้นรอบตัว เริ่มกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
ทีละเล็กละน้อย ลูเมี่ยนที่สัมผัสถึงการหลวมรวมเข้ากับสิ่งรอบข้าง ค้นพบการมาเยือนของบางสิ่ง
ยกขา ก้าวเท้า หมุนตัว เขามองเห็นร่างโปร่งใสสามร่างบนกระจกหน้าต่างห้องนอนโดยไม่ต้องเปิดเนตรวิญญาณ
ยังคงเป็นสัตว์ประหลาดไร้หนัง สัตว์ประหลาดปืนล่าสัตว์ และสัตว์ประหลาดปาก
สัมผัสวิญญาณของเรายังแกร่งกล้าไม่พอสินะ… หรือไม่ก็มีฐานะต่ำเกินไป ทำให้ ‘อัญเชิญ’ ได้แค่เจ้าพวกนี้… ลูเมี่ยนไม่ถือสา เพียงดึงกริชเงินพิธีกรรมที่โอลัวร์ยกให้ แทงใส่หลังมือซ้ายจนเกิดแผล
เลือดสีแดงไหลออกมาหนึ่งหยด แต่ไม่กระจายไปรอบๆ
มันแน่นิ่งในตำแหน่งเดิม ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสีแปลกประหลาด
สามร่างโปร่งใสด้านนอกหน้าต่าง ทำท่าทางเตรียมจะเคลื่อนไหวทันที
ลูเมี่ยนจึงใช้กริชเงินพิธีกรรมยก ‘หยดเลือด’ ที่ดูเหมือนจะแข็งตัวแล้ว พลางเล็งปลายมีดไปหาสัตว์ประหลาดปาก พร้อมกับเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการเต้น
นี่คือการเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าสิง
สัตว์ประหลาดที่มีรอยประทับสามแห่งบนลำตัว อ้าปากที่มีฟันเรียงเป็นเกลียวก้นห้อย สื่อเป็นนัยว่าตระหนักถึงการเรียกหาของลูเมี่ยน แต่ก็เท่านั้น มันไม่ได้เคลื่อนไหวต่อ
จริงสิ… หน้าต่างยังปิดอยู่ แล้วพวกสัตว์ประหลาดในแดนความฝันก็ไม่กล้าเข้าบ้านเราด้วย… ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจสถานการณ์ จึงอาศัยจังหวะการเต้น กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะหนังสือริมหน้าต่าง
เขาเหยียดมือซ้าย ลากเปิดหน้าต่างกระจกที่ปิดสนิท แล้วยื่นกริชเงินพิธีกรรมที่มีหยดเลือดวางอยู่ด้านบน ออกไปนอกตัวบ้าน
สัตว์ประหลาดปากไม่เพียงไม่เข้ามากินหยดเลือดพร้อมกับสิงร่างลูเมี่ยนผ่านกริชเงินพิธีกรรม แต่ยังถอยหลังไปราวๆ เจ็ดแปดเมตร ลอยค้างในอากาศท่ามกลางสายลมที่ส่งเสียงหวีดหวิว เอาแต่จ้องมองท่าเต้นพิสดารอย่างเงียบงัน
“เฮ้ย! เข้ามาเร็ว!” ลูเมี่ยนที่กำลังเต้นท่าสุดท้าย อดไม่ได้ที่จะตะคอกเร่งเร้า
ร่างโปร่งใสทั้งสามยิ่งลอยออกไปไกลกว่าเดิม จนกระทั่งลูเมี่ยนหยุดเต้น พวกมันก็อันตรธานหายไป
“…” เด็กหนุ่มมองฉากนี้ด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่สัตว์ประหลาดปากไม่ยอมสิงร่าง
เขาลองนึกทบทวนอย่างละเอียด จนแน่ใจว่าท่าเต้นกับขั้นตอนการกรีดเลือด ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด
“หรือมันจะจำได้ว่าเราเป็นคนฆ่า ก็เลยไม่ยอมสิงร่าง?”
“แต่ความรู้ที่ได้มาพร้อมกับ ‘นักเต้น’ ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องพวกนี้เอาไว้… ตามหลักแล้ว มันควรกระเหี้ยนกระหือรืออยากสิงร่างเราด้วยซ้ำ เพื่อลงมือแก้แค้น…” ลูเมี่ยนจมอยู่ในความคิด
หวนนึกถึงช่วงเวลาที่สัตว์ประหลาดสามหน้าเผ่นหนีหลังจากเห็นตน ลูเมี่ยนลองตั้งสมมติฐานใหม่
“ในตัวเรามีการปนเปื้อนของเทพมาร… ซ้ำยังมีตราประทับขององค์ผู้ยิ่งใหญ่ สัตว์ประหลาดพวกนี้ก็เลยรักตัวกลัวตาย ไม่กล้าเข้ามาสิง?”
นี่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก ความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับที่มาจาก ‘นักเต้น’ จึงไม่ได้กล่าวถึง
ลูเมี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจว่าใช่ และยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ
“พวกแกแค่มาดูฉันเต้น… แต่ไม่ยอมเข้าสิง?”
“แบบนี้เรียกว่าอะไร? ถ้าจะยืมคำพูดโอลัวร์มาใช้ มันคือการเปลืองตัวฟรีๆ!”
สิ่งที่ทำให้ลูเมี่ยนผิดหวังก็คือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกหนึ่งความสามารถ ‘นักเต้น’ ของตนเท่ากับว่ากลายเป็นหมัน หากยังไปไม่ถึงโอสถ ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ เขาจะไม่สามารถยืมคุณสมบัติหรือความพิเศษจากพวกมันได้เลย
เด็กหนุ่มทำได้เพียงปลอบตัวเองว่า อาจเป็นเช่นนี้แค่สัตว์ประหลาดในแดนความฝัน เนื่องจากพวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเจ้าของสัญลักษณ์หนามสีดำ
“แต่บนโลกความจริง เราจะดึงดูดอะไรได้บ้าง? แล้วพวกมันจะกล้าสิงเรา?” ลูเมี่ยนรำพันเงียบ เดินไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวนอน
เมื่อมองไปยัง ‘มีดล่าชะตากรรม’ ที่พันด้วยผ้าสีดำสามชั้นบนตู้ข้างเตียง เด็กหนุ่มอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย
นี่คืออาวุธวิเศษที่ทรงพลัง ซึ่งจะช่วยให้เขาสำรวจซากปรักหักพังความฝันได้ง่ายขึ้น ไขปริศนาของที่นี่ได้ง่ายขึ้น ข้อเสียเพียงเรื่องเดียวก็คือ ไม่สามารถนำออกไปใช้ในโลกความจริง
“ไม่แน่ใจว่ามาดามลึกลับคนนั้นจะช่วยนำออกไปได้ไหม… เหมือนกับที่เธอช่วยนำโอสถกับวัตถุดิบพิธีกรรมเข้ามาในแดนความฝัน…”
“แต่ถ้านำออกไป แล้วเกิดอยากจะสำรวจซากปรักหักพังขึ้นมา เราก็ต้องรบกวนให้เธอช่วยนำมีดล่าชะตากรรมกลับเข้ามาใหม่…”
“เธอคงไม่เต็มใจที่จะช่วยหลายๆ รอบแน่… คำนึงจากนิสัย ค่อนข้างชัดเจนว่ามาดามเป็นคนเกียจคร้านและไม่ชอบความยุ่งยาก…”
ด้วยความคิดเหล่านี้ ลูเมี่ยนหลับไปอย่างสงบ
…
เมื่อลูเมี่ยนตื่นขึ้น ท้องฟ้าค่อนข้างมืดแล้ว แสงสีแดงของอาทิตย์อัสดงยังหลงเหลืออยู่บนภูเขาไกลๆ
ฉากดังกล่าวมอบอารมณ์หม่นหมองให้เด็กหนุ่ม คล้ายกับการถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง
ปรับอารมณ์ให้เข้าที่เข้าทาง ลูเมี่ยนออกจากห้อง ลงไปยังชั้นล่าง
โอลัวร์กำลังยุ่งอยู่กับการทำมื้อเย็น
“ตาพี่หายดีหรือยัง” ลูเมี่ยนเดินเข้าไปช่วยพี่สาว
โอลัวร์ปัดปอยผมสีบลอนด์มาทัดใบหู หันหน้ามามองน้องชายพร้อมกับพูดโดยเบิกตาให้กว้าง
“ใกล้แล้ว”
ลูเมี่ยนมองเข้าไปในตา ยังเห็นว่าในดวงตาสีฟ้าอ่อนมีเส้นเลือดฝอยสีแดงประปราย แต่ไม่พบอาการผิดปกติอื่น
โอลัวร์ทอดเนื้อแกะต่อ แล้วถามขึ้นมา
“สำรวจแดนความฝันเป็นยังไงบ้างล่ะ”
ลูเมี่ยนเริ่มหั่นวัตถุดิบสำหรับจานถัดไป พลางเล่าเรื่องราวที่พบเจอมาทั้งหมด
“เป็นมีดที่ทรงพลังจริงๆ …” เมื่อเห็นว่าน้องชายปลอดภัยดี โอลัวร์ข่มความกังวล แล้วพูดพลางหัวเราะในคอ “ถ้าเป็นฉัน คงไม่ตั้งชื่อมันว่ามีดล่าชะตากรรมแน่ มันฟังดูทื่อเกินไป ขาดเสน่ห์และความน่าหลงใหล”
ลูเมี่ยนถามกลับด้วยความอยากรู้
“แล้วพี่จะตั้งว่าอะไร”
โอลัวร์ตอบยิ้มๆ
“ฉันจะเรียกมันว่า ‘ปรอทเสื่อมทราม’ !”
“ตกลง จากนี้ไปมันจะถูกเรียกว่าปรอทเสื่อมทราม!” ลูเมี่ยนรับลูกทันที
พี่สาวตั้งชื่อให้ทั้งที จะไม่ใช้ก็คงไม่ได้!
โอลัวร์หัวเราะ
“ที่จริงชื่อนี้ก็ยังไม่ดีเท่าไร แต่มีเวลาน้อย ฉันคิดได้เท่านี้”
“อา… ท่าทีของสัตว์ประหลาดพวกนั้นยิ่งช่วยยืนยันสมมติฐานของเรา เรื่องที่สัญลักษณ์หนามสีดำบนหน้าอกนาย หรือมลพิษในร่างกาย มีระดับที่ไม่ธรรมดา สามารถข่มขวัญสิ่งที่มีฐานะค่อนข้างสูงและใกล้ชิดกับองค์ซ่อนเร้นนั่นได้…”
“กุญแจของเรื่องราวทั้งหมดคงอยู่ที่นายจริงๆ”
“อา…” ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ “ตอนนี้ทำได้แค่สืบความลับของซากปรักหักพังไปเรื่อยๆ ส่วนภายนอกก็รอให้ถึงคืนที่สิบสอง”
จนถึงตอนนี้ ความผิดปกติในหมู่บ้านถูกสำรวจครบหมดแล้ว ยกเว้นอนุสาวรีย์บรรจุศพที่มีนกฮูกอยู่
ในนั้นอันตรายเกินไป โอลัวร์เชื่อว่าต่อให้เธอกับลูเมี่ยน ผนึกกำลังกับสามคนต่างถิ่น ก็ยังไม่น่าจะรับมือไหว ความหวังเดียวคือการขอร้องคุณนายปัวริส แต่คุณนายยืนกรานชัดเจนว่าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยว เพียงเฝ้ารอให้จุดเวลาพิเศษมาถึง
ลูเมี่ยนเล่าถึงการเต้นระบำเพื่อดึงดูดสัตว์ประหลาด แต่ถูกสัญลักษณ์บนตัวขัดขวางไว้จนล้มเหลว จากนั้นก็ถามทิ้งท้าย
“พี่พอจะมีทางแก้บ้างไหม?”
โอลัวร์พลิกเนื้อแกะ ครุ่นคิดสักพักแล้วจึงตอบ
“ถ้าขอร้องดีๆ ไม่ได้ ทำไมไม่ลองสั่งดูล่ะ”
“สั่ง?” ลูเมี่ยนเริ่มทำตาลุกวาวเมื่อได้ยิน
โอลัวร์ผงกหัวรับแผ่วเบา
“ในเมื่อสัตว์ประหลาดพวกนั้นหวาดกลัวมลพิษในตัวนาย หวาดกลัวรอยประทับขององค์ผู้ยิ่งใหญ่ นายก็ใช้ความหวาดกลัวนั่น ข่มขู่ให้พวกมันเข้าสิงร่าง อา… ด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ”
“มีวิธีคิดแบบนี้ด้วยสินะ…” ลูเมี่ยนพลันเข้าใจความหมายของ ‘เขียนเสือให้วัวกลัว’ ที่พี่สาวชอบพูด
……………………………………………………..