ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 84 มีดสั้นแ
ตอนที่ 84 มีดสั้น
ลูเมี่ยนแบ่งสัตว์ประหลาดในซากปรักหักพังความฝันออกเป็นสามระดับ โดยอ้างอิงจากพฤติกรรมของสัตว์ประหลาดไฟและสัตว์ประหลาดสามหน้า
ระดับต่ำสุด: พวกที่มีแค่สัญชาตญาณ ปรี่เข้าโจมตีทันทีที่เห็นหน้า และเมื่อได้รับอิทธิพลของสัญลักษณ์หนามดำแบบ ‘กึ่งสมบูรณ์’ ก็จะยอมศิโรราบ ปล่อยให้ตัวเองถูกสังหาร
ระดับที่สูงขึ้นมาหน่อย: พวกนี้จะล่าลูเมี่ยนในตอนที่ยังไม่กระตุ้นสัญลักษณ์หนาม แต่จะเผ่นหนีสุดชีวิตหลังจากเด็กหนุ่มเต้นบวงสรวง ตามปกติแล้วถ้าอยู่ไกลเกินกว่าห้าเมตร พวกมันจะไม่ได้รับอิทธิพลจากสัญลักษณ์หนามดำ แต่ในกรณีของสัตว์ประหลาดไฟตัวเมื่อครู่ การที่มันยังเผ่นหนีอยู่ คงเป็นผลพวงจากความกลัวตกค้าง หรือไม่ก็มองเห็นออร่ามลพิษภายในผนึกของลูเมี่ยน
ระดับสูงสุด: ลูเมี่ยนไม่จำเป็นต้องกระตุ้นสัญลักษณ์หนามดำอย่างสมบูรณ์หรือกึ่งสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ในระยะห้าเมตร อีกฝ่ายก็สามารถสัมผัสถึง ‘ความพิเศษ’ ในตัวเขาได้เอง พร้อมกับแสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างเปิดเผย
สำหรับคำถามที่ว่า ยังมีมากกว่าสามระดับนี้ไหม? ลูเมี่ยนเชื่อว่ามี อย่างน้อยอีกหนึ่งระดับ อย่างมากอีกสามระดับ
ยกตัวอย่างเช่น สัตว์ประหลาดประเภทที่ไม่หวาดกลัวสัญลักษณ์หนามดำ ซ้ำยังกล้าโจมตีใส่แม้จะอ่อนแอลงเล็กน้อย
หรือไม่ก็สัตว์ประหลาดที่มีระดับสูงเสียจน ไม่ได้รับอิทธิพลใดจากสัญลักษณ์หนามดำเลย…
แง่หนึ่งลูเมี่ยนดีใจที่ตนสามารถข่มขวัญสัตว์ประหลาดสามหน้า ช่วยให้เดินได้ค่อนข้างสะดวกในซากปรักหักพังความฝัน แต่อีกแง่หนึ่งก็ยังไม่กล้าประมาท
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงตัวที่อาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดสามหน้า ลำพัง ‘สัตว์ประหลาดไฟ’ ที่มีทักษะโจมตีระยะไกลอันทรงพลัง ก็สามารถเผาลูเมี่ยนเป็นตอตะโกได้โดยไม่ต้องเข้าสู่ระยะอิทธิพลของสัญลักษณ์หนามดำ
ข้อสรุปข้างต้นทำให้ลูเมี่ยนลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจสำรวจลึกเข้าไปในแดนซากปรักหักพังความฝัน ตามรอยเส้นทางที่สัตว์ประหลาดสามหน้าเผ่นหนีไป
วันนี้เขาอยากลองสัมผัส ‘ภูเขาสีเลือด’ และสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มรวบรวมข้อมูลสำหรับไขปริศนาความฝัน
ระหว่างลอบเร้นย่างกรายเข้าไป สายตาก็คอยสอดส่องมองหาสัตว์ประหลาดที่อาจโผล่พรวดออกมา
อาจเป็นเพราะสัตว์ประหลาดสามหน้าเพิ่งผ่านทางมา สัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ จึงหวาดกลัวจนหนีออกจากถิ่นตัวเอง
ลูเมี่ยนไม่พบเงาของใครเลย เดินผ่านซากอาคารกับก้อนหินสีเทาได้สักพักก็มาถึงเชิงเขาของ ‘ภูเขาสีเลือด’
บริเวณนี้ยังคงมีวงแหวนซากปรักหักพัง แต่ไม่เหมือนกับวงแหวนรอบนอก อาคารบ้านเรือนมิได้พังเป็นซาก แต่จัดระเบียบโครงสร้างใหม่ในลักษณะบิดเบี้ยวราวกับมีชีวิตจิตใจ แต่ละหลังเชื่อมต่อกันเป็นเนื้อเดียว ปานประหนึ่ง ‘กำแพงเมือง’ สุดพิสดารรูปร่างคล้ายหนาม
‘กำแพงเมือง’ ถูกฉาบด้วยสีดำอ่อนค่อนไปทางเทา ประตูและหน้าต่างเดิมของตัวบ้านถูกหลอมเป็นเนื้อเดียวกับพื้นผิว บางหลังก็เปิดค้างไว้ จนมองเห็นโต๊ะและเก้าอี้ภายใน บางหลังก็ปิดสนิทราวกับไม่มีวันเปิดออกได้อีก
ลูเมี่ยนมองสำรวจปราดเดียว แล้วเงยหน้ามอง ‘ภูเขาสีเลือด’ ด้านหลัง ‘กำแพงเมือง’
ด้วยระยะเพียงเท่านี้ แม้นหมอกบนท้องฟ้าจะยังหนาทึบไม่แปรเปลี่ยน จนโลกมีแสงสว่างค่อนข้างพร่าเลือน แต่เด็กหนุ่มก็ยังเห็นผิวภูเขาอย่างคมชัด
ภูผาสีเลือดลูกนี้ เกิดจากการซ้อนทับของดินและหิน สูงไม่เกินสามสิบเมตร แต่มอบความรู้สึกราวกับสูงเสียดฟ้า สีผิวดูไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไร ไม่ว่าจะสีน้ำตาลแดงของหิน หรือสีแดงน้ำตาลของดิน ก็ดูคล้ายเพิ่งถูกทาทับทีหลัง ทั้งแปลกประหลาดไม่เข้ากันอย่างยิ่ง
“อ้างอิงจากนิยายของโอลัวร์และพวกนิตยสารเหนือธรรมชาติ ภูเขาลูกนี้อาจถูกย้อมด้วยเลือดมนุษย์…” ลูเมี่ยนพึมพำเงียบงัน พลางยกสายตาให้สูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อมองไปยังยอดเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา
ทันใดนั้น คล้ายกับมีสายลมล่องหนพัดผ่าน กลุ่มหมอกบนยอดเขาบางตาลงหลายส่วน
ช่วยให้ลูเมี่ยนมองเห็นสิ่งที่อยู่บนยอดเขาอย่างชัดเจน
บนนั้นมี ‘ยักษ์’ ตนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ สูงใหญ่ราวสี่ซ้าห้าเมตร
‘เขา’ อยู่ในสภาพเปลือยกาย บนบ่ามีสามเศียร เศียรที่หันไปทางซ้ายฉาบด้วยอารมณ์โกรธ โลภ และชิงชัง ดูชั่วร้ายอย่างยิ่งยวด เศียรที่มองตรงมีสีหน้าบิดเบี้ยว ฉาบด้วยความเจ็บปวดระคนเสียใจ เศียรที่มองไปทางขวามีใบหน้าเปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาแผ่บุคลิกความเมตตา
‘ยักษ์’ ตนนี้มีหกกร ฝั่งละสามข้าง แต่ละข้างเหยียดยื่นไปในอากาศด้วยมุมองศาแตกต่างกัน ทั้งตัวรวมถึงสามเศียรประกอบกันจากเศษเลือดเนื้อของอวัยวะ รอยปริแตกมีอยู่ถ้วนทั่ว น้ำเหลืองไหลนองจากหลายจุด โดยเฉพาะเศียรที่กำลังจ้องลูเมี่ยน น้ำตาเลือดสีแดงใสกำลังหลั่งไหลจากมุมหางตา
ทันทีที่ลูเมี่ยนเห็น ‘ยักษ์’ ห้วงความคิดพลันปั่นป่วน โสตประสาทเริ่มอื้ออึ้งคล้ายกับได้ยินเสียงจากไกลอนันต์แต่ก็ใกล้ข้างหู
หัวสมองรู้สึกเหมือนถูกขวานจามผ่าครึ่ง ความเจ็บปวดแสนสาหัสแผ่ซ่านครอบงำความคิดทั้งหมด จนไม่เหลือช่องว่างให้ประมวลผล
ตามผิวร่างกายมีเส้นเลือดทั้งหนาทั้งบางปูดโปน สีแดงร้อนแรงปานประหนึ่งเตรียมจะลุกเป็นไฟ
เมื่อลูเมี่ยน ‘ตื่น’ ขึ้นมาจากสภาพปางตาย ก็พบว่าตนกำลังนอนขดคดคู้อยู่บนพื้น เกลือกกลิ้งซ้ายทีขวาที ราวกับว่าถ้าไม่ทำถึงขั้นนี้ จะไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวดที่ร่างกายกำลังประสบ
การมองเห็นของเขาพร่ามัว เปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด ทุกสิ่งเลือนรางจางเหมือนหมอก
ในสภาพนี้ ลูเมี่ยนเชื่อว่าแม้แต่สัตว์ประหลาดไร้หนังก็คงสังหารตนได้ง่ายดาย แต่คงเพราะสัญลักษณ์หนามสีดำกำลังถูกกระตุ้นเต็มพิกัด จึงไม่มีใครกล้ากล้ำกรายเข้าใกล้
‘ยักษ์’ บนยอดเขาสีเลือดก็เช่นกัน มิได้ลงมือกับลูเมี่ยนที่เกือบจะคลุ้มคลั่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะออกจากตำแหน่งไม่ได้ หรือหวั่นเกรงสัญลักษณ์หนามสีดำกันแน่
ลูเมี่ยนพักหายใจหายคอสักหน่อยก็ลุกขึ้นยืน แล้วพบว่าเสื้อลินินใต้แจ็กเกตสีเข้มของตน ชุ่มโชกไปด้วยคราบเลือดและเหงื่อหลายจุด
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่…” ยิ่งเขาครุ่นคิด ในใจก็ยิ่งประหวั่นพรั่นพรึง
เพียงตนเหลือบมองแค่ชั่วครู่ สัญลักษณ์หนามสีดำพลันถูกกระตุ้นเต็มพิกัด ร่างกายแทบจะคลุ้มคลั่ง สถานการณ์ย่ำแย่ยิ่งกว่าเมื่อครั้งได้รับพลัง ‘นักเต้น’
เด็กหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะระลึกถึงยักษ์ตนเมื่อครู่ ทำได้เพียงคาดเดาตาม ‘ภาพจำ’ ที่ยังคงคุกรุ่น
“สัตว์ประหลาดสามหน้า แต่เป็นร่างพัฒนา?”
“ที่ถูกปนเปื้อนอย่างหนักหน่วง?”
“อย่างที่โอลัวร์ชอบพูด คนเราไม่ควรมองในสิ่งที่ไม่ควรมอง…”
“มันนั่งอยู่บนยอดเขาสีเลือด ซึ่งเป็นใจกลางของแดนซากปรักหักพังความฝัน… หรือกำลังบอกใบ้ว่า มันคือส่วนหนึ่งของความลับภายในนี้?”
“…”
ท่ามกลางความคิดอันพัลวันปั่นป่วน ลูเมี่ยนข่มใจมิให้แหงนขึ้นไปมองยอดเขา
ถ้าเผลอมองอีกครั้งได้ตายจริงแน่!
เด็กหนุ่มตัดสินใจถอนตัวก่อน กลับสู่โลกความจริงไปพักผ่อน แล้วค่อยกลับมาสำรวจใหม่ในช่วงตอนกลางคืน
เมื่อลูเมี่ยนหันหลัง เตรียมเดินกลับไปในทางที่มา เสียง ‘ตัง! ตัง! ตัง!’ พลันดังระงม
“เกิดอะไรขึ้น…” เด็กหนุ่มบังเกิดความสงสัย และเตรียมจะไปแอบดู
แน่นอนว่ามิได้ลงมืออย่างบุ่มบ่าม แต่เลือกซ่อนตัวอยู่ในซากอาคารฝั่งตรงข้ามกับ ‘กำแพงเมือง’ เพื่อรอให้พลังวิญญาณฟื้นคืนกลับมาบางส่วน
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนเต้นบวงสรวงพิศวงอีกครั้ง
ราวกับว่าเขากลายเป็นนักบวชขององค์ซ่อนเร้นนั่น ผู้คอยเอาอกเอาใจพระองค์ด้วยท่าเต้นที่สามารถระดมพลังธรรมชาติรอบตัว
เมื่อหน้าอกลูเมี่ยนเริ่มร้อนผ่าว การเต้นระบำก็หยุดลง
เขาลัดเลาะเข้าไปใกล้ต้นเสียง ‘ตัง! ตัง!’ ที่ยังคงดังเป็นระยะ
หลังจากเด็กหนุ่มเดินอ้อมภูเขาสีเลือดและ ‘กำแพงเมือง’ กว่าครึ่งรอบ และหยุดเพื่อเต้นระบำอีกครั้ง ไม่นานก็ได้พบกับแสงไฟสว่างวาบ
ด้านหลังประตูไม้สีน้ำตาลแดงบน ‘กำแพงเมือง’ ที่เปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่ง แสงไฟสีส้มกำลังสว่างไสว
“ตัง! ตัง! ตัง!”
เงาของบุคคลภายในบ้านสะท้อนอยู่บนหน้าต่างบานสูง ดูคล้ายกับมนุษย์ แต่ยืดยาวกว่าปกติเล็กน้อยตามธรรมชาติของเงา
‘เงา’ กำลังถือวัตถุทรงคล้ายค้อน เงื้อขึ้นสูงแล้วทุบลงอย่างหนัก
“ตัง!”
เกิดเสียงคล้ายโลหะกระทบกันอีกครั้ง
“ช่างตีเหล็ก? ในซากปรักหักพังความฝันมีช่างตีเหล็กด้วยหรือไง…” ลูเมี่ยนลองคาดเดาตามความรู้ในหัว
เด็กหนุ่มอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า สัญลักษณ์หนามดำบนหน้าอกยังไม่เลือนหายไป ค่อมหลังลงแล้วลัดเลาะจนไปถึงริมกระจก หันข้างแนบกับขอบหน้าต่างแล้วชะโงกหัวเข้าไป
แม้การมองเห็นของลูเมี่ยนจะยังไม่กลับเป็นปกติ ทัศนวิสัยยังค่อนข้างขุ่นมัว แต่ก็ยังสามารถจำแนกสิ่งต่างๆ ภายในห้องบนกำแพงเมือง
บนแผ่นเหล็กมีมีดสั้นสีเงินเหลือบดำวางอยู่ ภาพรวมยาวกว่ามีดทั่วไปราวๆ สองเท่า บนผิวโลหะมีลวดลายหลายชั้น ทำเอาลูเมี่ยนเวียนหัวทันทีที่ได้มอง
“ตัง!”
‘เงา’ ผู้กำลังถือค้อนทำตัวประหนึ่งช่างตีเหล็กมากฝีมือ คอยทุบค้อนใส่มีดสั้นอย่างต่อเนื่อง
‘เขา’ สวมชุดคลุมยาวสีดำ ใบหน้าที่หันมาทางลูเมี่ยนเต็มไปด้วยร่องรอยเน่าเปื่อย บางจุดมีกระดูกสีขาวโผล่ออกมา
สัตว์ประหลาดอีกประเภทหนึ่ง? ยังคงประกอบอาชีพเดิมสมัยเป็นมนุษย์? มีดสั้นเล่มนี้ดูไม่ธรรมดาเลย แฝงกลิ่นอายชั่วร้าย เป็นสมบัติปิดผนึกหรือว่าอาวุธวิเศษกันนะ? ความคิดมากมายแล่นผ่านหัวสมองลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มอยู่ห่างจากช่างตีเหล็กเน่าเปื่อยไม่ถึงสามเมตร แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้าน ปานว่าไม่ได้รับอิทธิพลจากสัญลักษณ์หนามดำบนหน้าอก ยังเอาแต่ทุบตีมีดสั้น ‘อย่างเงียบงัน’
เมื่อตระหนักว่าสัญลักษณ์หนามดำกำลังเลือนหาย ลูเมี่ยนตัดสินใจผละออกจากหน้าต่าง
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ความร้อนรุ่มบนหน้าอกก็ซาลง
ทันใดนั้น เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากด้านหลัง
ลูเมี่ยนรีบหันกลับไปมอง แล้วก็พบว่าบานประตูไม้สีน้ำตาลแดง ถูกเปิดจนอ้าซ่า
ช่างตีเหล็กในชุดคลุมสีดำเดินออกมา บนใบหน้าเผยกระดูกสีขาวอยู่สี่ห้าจุด ลูกตาซ้ายถลนออกจากเบ้าเกินกว่าครึ่ง อีกนิดเดียวก็จะห้อยโตงเตงแล้ว ภาพรวมดูคล้ายศพที่ตายมาได้สักระยะ
‘เขา’ ถือค้อนในมือขวา มีดสั้นสีเงินดำในมือซ้าย บนกระจกตาอันขุ่นมัวทั้งสองข้าง สะท้อนภาพลูเมี่ยนอยู่เท่าๆ กัน
“แม่งเอ๊ย!”
ลูเมี่ยนสบถด่าอย่างเหลืออด
เด็กหนุ่มเพิ่งเข้าใจสถานการณ์เมื่อสาย
สัตว์ประหลาด ‘ช่างตีเหล็ก’ ถูกสัญลักษณ์หนามดำข่มไว้จนถึงเมื่อครู่ จึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทุบตีมีดสั้นอันชั่วร้าย แสร้งทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
และเมื่อสัญลักษณ์หนามสีดำหายไป ‘เขา’ ก็รีบหยิบอาวุธออกมาล่าทันที
เจ้าเล่ห์เพทุบายนักเชียว!
……………………………………………………..