ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 8 นกฮูก
ตอนที่ 8 นกฮูก
ลูเมี่ยนแค่เกิดแรงบันดาลใจกะทันหัน ไม่คิดจะลงมือทำจริงๆ
ต่อให้ไม่นับว่าผ่านมาแล้วหลายปี แต่นกฮูกคือสัตว์ที่มีอายุขัยสั้นกว่ามนุษย์ ตัวที่บินเข้ามาหลังจากจอมเวทเสียชีวิต ป่านนี้คงเน่าเปื่อยอยู่ในโคลนตม และเหนือสิ่งอื่นใด จำนวนนกฮูกบนภูเขา มากพอที่จะยับยั้งความคิดพิสดารของเด็กหนุ่ม
มันมีอยู่ตั้งกี่ตัว!
แถมนกฮูกตัวนั้นยังไม่มีตำหนิให้จดจำ…ไม่สิ ในตำนานจอมเวท ไม่มีการกล่าวถึงรูปลักษณ์ของนกฮูกเลยด้วยซ้ำ นาโรคาก็ไม่ได้เล่า…พวกเราถามไม่ละเอียดพอ…ลูเมี่ยนดึงสติกลับสู่ความจริง แล้วพูดกับแรมงด์พลางยิ้ม
“นกฮูกที่เกี่ยวข้องกับจอมเวท อาจมีชีวิตอยู่ได้ถึงร้อยปี”
เมื่อเห็นแรมงด์ยิ่งผวา เด็กหนุ่มช่วยปลอบใจ
“ไม่ต้องห่วง นั่นจะเป็นวิธีสุดท้ายของเรา ฉันก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดเหมือนกัน”
“ไปถามคนแก่ที่เหลือกันเถอะ พวกเขาอาจเล่าเบาะแสสำคัญที่นาโรคามองข้ามไป”
จากนั้น เขากล่าวด้วยโทนเสียงคล้ายสะกดจิต
“ถ้าฉันเป็นจอมเวท จะไม่พกสมบัติทั้งหมดติดตัวหรือเก็บไว้ที่บ้านแน่ แต่จะซ่อนบางส่วนไว้ที่ใดสักแห่งแทน ไม่อย่างนั้นถ้าวันดีคืนดีถูกศาลเจอตัวเข้า คงไม่มีเวลากลับบ้านไปขน ทำได้แค่เผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต”
หนึ่งในงานหลักของศาลแห่งศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส คือการกวาดล้างเหล่าจอมเวทและแม่มด และ ‘ความสำเร็จอันล้นหลาม’ ของพวกเขาถูกกล่าวขานไปทั่วชนบท
“จริงด้วย!” แรมงด์กลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง
ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าโหยหา
“น่าเสียดาย ผ่านไปนานขนาดนี้ สมบัติที่โบสถ์ยึดไปคงไม่เหลืออยู่อีกแล้ว”
“พ่อหนุ่ม ความคิดแบบนั้นมันอันตรายนะ” ลูเมี่ยนพูดติดตลก
ทั้งสองตระเวนเยี่ยมคนแก่ในชุมชนอย่างเฒ่าปิแยร์แห่งบ้านโมรี และนาเฟอร์ลิยา
แม้คำตอบจะคล้ายคลึงกับนาโรคา แต่ด้วยประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ลูเมี่ยนกับแรมงด์สามารถรีดรายละเอียดได้มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เป็นนกฮูกที่ตัวค่อนข้างใหญ่ จุดอื่นๆ คล้ายคลึงเผ่าพันธุ์เดียวกัน ปากแหลม หน้าเหมือนแมว ขนสีน้ำตาล ตามลำตัวมีจุด ม่านตาสีเหลืองอมขาว รูม่านตาสีดำ…
นอกจากเรื่องที่ตัวใหญ่กว่านกฮูกทั่วไป ตาทั้งสองข้างยังดูมีชีวิตชีวา ไม่นิ่งและเหม่อลอยเหมือนกับเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์
ฟังจากคำอธิบายทั้งหมด จุดแตกต่างของนกฮูกตัวนี้ยิ่งทำให้มันดูน่ากลัว
“ไม่มีเบาะแสดีๆ เลยแฮะ” บนถนนกลับสู่ลานจัตุรัส ลูเมี่ยนพูดกับแรมงด์ “คงต้องหันไปสนใจตำนานอื่นแทนแล้วล่ะ”
“คงงั้น” แรมงด์ดูไม่ลำบากใจเหมือนช่วงแรก “เอาตำนานไหนดี?”
ไอ้หมอนี่กระตือรือร้นดีจริงๆ …ลูเมี่ยนนึกชมเชยในใจ เตรียมตกรางวัลเล็กๆ ให้แรมงด์
เด็กหนุ่มผงกศีรษะแล้วกล่าว
“พรุ่งนี้ค่อยมาคิดอีกทีก็แล้วกัน”
“บ่ายวันนี้ฉันจะสอนวิชาต่อสู้บางอย่างให้”
“เจ๋ง!” แรมงด์ดีใจกับข้อเสนอที่คาดไม่ถึง
โอลัวร์ถือว่าช่ำชองการต่อสู้เอาเรื่อง ไม่อย่างนั้นคงรับมือกับพวกผู้ชายหยาบคายมาดนักเลงในหมู่บ้านไม่ไหว น้องชายก็ย่อมต้องแพรวพราวไม่ต่างกัน
บอกลาแรมงด์เสร็จ ลูเมี่ยนเลี้ยวเข้าถนนที่พากลับบ้าน
เดินไปได้สักพัก เด็กหนุ่มเห็นชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาจากทิศตรงกันข้าม
ผู้นำกลุ่มดูฉกาจฉกรรจ์ ไม่สูงเท่าไร ไม่ถึง 1.7 เมตร สวมชุดคลุมสีขาว เรือนผมสีดำสว่าง
บรรยากาศน่าเกรงขาม หน้าตาไม่มีจุดเด่น ปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีฟ้าที่จ้องลูเมี่ยนแฝงความดูแคลนและมุ่งร้ายอย่างไม่เก็บซ่อน
ไม่ใช่ใครนอกจากกิโยม·เบเนต์ นักบวชประจำโบสถ์สุริยันเจิดจรัสแห่งหมู่บ้านกอร์ตู
“ฉันมารอแกนานแล้ว” กิโยม·เบเนต์กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “แกจงใจพาคนต่างถิ่นพวกนั้นมาที่โบสถ์ใช่ไหม?”
“ก็ฉันนึกว่าแกหลับอยู่ข้างใน” ลูเมี่ยนพยายามอธิบาย ระหว่างนั้นก็แอบก้าวถอยหลัง
เขาจำได้ว่าคนที่ยืนข้างๆ กิโยม·เบเนต์คือน้องชายของมัน ปงส์·เบเนต์
ชายวัยสามสิบต้นๆ รายนี้ดูกำยำแข็งแรง บรรยากาศน่าครั่นคร้าม โด่งดังเรื่องการรังแกชาวบ้าน
คนที่เหลือคือพวกลิ่วล้อที่คอยติดสอยห้อยตามปงส์กับนักบวชประจำถิ่น
เห็นลูเมี่ยนก้าวถอยหลัง กิโยม·เบเนต์ขยิบตาให้ปงส์
ด้วยรอยยิ้มมุ่งร้าย ปงส์ก้าวเท้าออกมา
“มาให้พ่อปงส์ของเอ็งตีก้นซะดีดี ไอ้เด็กเปรต!”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ มันถลาเข้าใส่ลูเมี่ยนด้วยความเร็ว โดยมีลิ่วล้อคนอื่นๆ ตามมาจากด้านหลัง
ในดินแดนชนบทอย่างหมู่บ้านกอร์ตู ‘เหตุและผล’ ใช้หยุดคนไม่ได้ คำขอโทษก็เช่นกัน มีเพียงการใช้กำลังซึ่งหน้าเท่านั้นที่สลักความเคารพยำเกรงลงในจิตใจผู้คน ในแง่นี้ นักบวชประจำถิ่นอย่างกิโยม·เบเนต์ย่อมทราบดี และเชี่ยวชาญการใช้ประโยชน์จากมัน ดังนั้น เมื่อยืนยันได้ว่ากลุ่มคนต่างถิ่นเข้าไปในโบสถ์เพราะลูเมี่ยน มันตัดสินใจดักรอเด็กหนุ่ม หวังทุบตีจนลุกจากเตียงไม่ได้นานนับเดือน จนกว่าจะมีใครจ่ายค่าชดเชยแทนลูเมี่ยน
แน่นอน มันพยายามเลี่ยงโอลัวร์
ในทางกฎหมาย แค่ไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ปกครองและผู้พิพากษาเขตอย่างบีโอส เจ้าพนักงานจากในเมืองไม่มีทางถ่อมาถึงชนบทด้วยปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ อยู่แล้ว
บีโอสที่เป็นคนต่างถิ่น ย่อมไม่คิดหักหาญน้ำใจนักบวชชาวกอร์ตูโดยกำเนิดอย่างมัน เว้นเสียแต่จะไปขัดผลประโยชน์ก้อนใหญ่
กิโยม·เบเนต์รู้สึกโชคดีอย่างยิ่ง ที่คนต่างถิ่นกลุ่มนั้นไม่แพร่งพรายเรื่องฉาวระหว่างมันกับคุณนายปัวริส ภรรยาของเจ้าหน้าที่ปกครอง ส่งผลให้ฝ่ายชายยังไม่รู้เรื่องนี้
พวกมันรวดเร็ว แต่ลูเมี่ยนเร็วกว่า ทันทีที่ปงส์แหกปาก ลูเมี่ยนหันหลังกลับแล้วสับเต็มฝีเท้า
เด็กหนุ่มคุ้นชินกับสันดานและวิธีลงมือของนักบวชท้องถิ่นกับลิ่วล้อเป็นอย่างดี
เคยมีชาวบ้านคนหนึ่งนำเรื่องฉาวของกิโยม·เบเนต์ไปแจ้งกับศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสในเมือง ร้องเรียนเรื่องที่นักบวชคนนี้มีชู้รักเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังยักยอกเงินบริจาคที่ชาวบ้านถวายแด่องค์สุริยันเจิดจรัส รวมไปถึงการกลั่นแกล้งชาวบ้านต่างๆ นานา ประพฤติตัวผิดวินัยนักบวช แต่ในภายหลัง บ่ายวันหนึ่ง ชาวบ้านคนดังกล่าวถูกพบว่าเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา
ตึก ตึก ตึก!
ลูเมี่ยนวิ่งเร็วมากจนเกิดลมหมุนเล็กๆ
“รอพ่อเอ็งก่อนสิวะ!” ปงส์ตะโกนขณะไล่หลัง เป็นความเร็วที่น่าตกตะลึงไม่แพ้กัน
พวกลิ่วล้อก็ไล่มาติดๆ
พ้นจากถนนแคบๆ ลูเมี่ยนไม่หนีเข้าถนนใหญ่ แต่เลือกพุ่งเข้าบ้านคน
ครอบครัวด้านในกำลังใช้ห้องนั่งเล่นเป็นครัวชั่วคราวเพื่อเตรียมมื้อกลางวัน จึงออกอาการตื่นตระหนกเมื่อเห็นคนวิ่งเข้ามา
ฟ้าว! ลูเมี่ยนวิ่งเลาะผ่านไปแล้วกระโดดออกจากหน้าต่างท้ายครัว
พอปงส์กับลิ่วล้อวิ่งตามเข้ามา เจ้าของบ้านได้สติพอดี จึงดักพวกมันไว้พร้อมกับซักไซ้
“ทำอะไร?”
“พวกคุณกำลังทำอะไร?”
“หลีกไป! ไอ้แก่!” ปงส์ผลักเจ้าบ้านอย่างป่าเถื่อน โทษฐานที่ทำให้พวกมันล่าช้า
กว่าจะมาถึงหน้าต่างครัวแล้วปีนออก ลูเมี่ยนก็พุ่งเข้าไปในตรอกอื่นแล้ว
หลังจากไล่ตามอยู่สักพัก ไม่นานมันคลาดกับลูเมี่ยน
“ไอ้สุนัขข้างถนนเอ๊ย!” ปงส์ถุยก้อนเสมหะลงริมถนน
…
ด้านนอกบ้านสองชั้นครึ่งรวมห้องใต้ดิน
ลูเมี่ยนพักหายใจหายคอ จึงค่อยเดินเข้าบ้านราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หนึ่ง สอง สาม สี่ สอง สอง สาม สี่…” เสียงตะโกนเป็นจังหวะดังมาถึงหูเด็กหนุ่ม
ลูเมี่ยนมองไปยังพื้นโล่งๆ ตรงข้ามกับห้องครัวและเห็นโอลัวร์
เรือนผมสีทองมัดห้างม้า สวมเสื้อลินิน กางเกงขายาวรัดรูปสีขาว รองเท้าบูตสั้นสีเข้มที่ตัดจากหนังแกะ
หญิงสาวเขย่งสลับกระโดดไปมา หน้าผากแวววาวเพราะเม็ดเหงื่อ
ตามธรรมเนียมของหมู่บ้านกอร์ตู ชั้นหนึ่งเกือบทั้งบ้านต้องเป็นห้องครัว—หัวใจของบ้าน—ไว้สำหรับปรุงอาหาร รับประทานอาหาร และต้อนรับแขก
ออกกำลังกายอีกแล้ว…ลูเมี่ยนชาชินกับภาพนี้ จึงไม่รู้สึกอัศจรรย์แต่อย่างใด
โอลัวร์มักทำเรื่องแปลกๆ โดยไม่อธิบายแม้จะถูกถาม
อย่างน้อยการออกกำลังกายก็เป็นเรื่องดี และค่อนข้างน่ามอง…ลูเมี่ยนเดินเข้าไปใกล้ เฝ้าดูอย่างเงียบงัน
ผ่านไปสักพัก โอลัวร์หยุดออกกำลังกาย แล้วโน้มตัวลงเพื่อปิดเครื่องเล่นเทปสีดำที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่
รับผ้าขนหนูสีขาวที่ลูเมี่ยนยื่นให้ หญิงสาวเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางออกคำสั่ง
“บ่ายนี้มีเรียนวิชาต่อสู้กับฉันนะ”
“หนังสือก็ต้องเรียน หมัดมวยก็ต้องฝึก…พี่คาดหวังจากฉันมากไปไหม?” ลูเมี่ยนบ่นไปตามประสา
โอลัวร์ชำเลืองเด็กหนุ่มแล้วพูดยิ้มๆ
“อย่าลืมสิ เป้าหมายของเราคือการพัฒนาศีลธรรม สติปัญญา ร่างกาย สุนทรียะ และความสามารถในการทำงานจับฉ่าย!”
ไม่แน่ใจว่านึกถึงความทรงจำอันเพลิดเพลินหรือเหตุการณ์อันน่าขบขัน แต่อารมณ์ของเธอดูดีขึ้นหลังจากได้พูด
ฉันสอบตกตั้งแต่ศีลธรรมแล้ว…ลูเมี่ยนพึมพำเงียบๆ
จากนั้นก็ถาม
“แล้วจะสอนอะไร?”
หนึ่งสิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดโอลัวร์ที่ดูอ่อนโยนและเปราะบาง ถึงได้เชี่ยวชาญการต่อสู้นัก ช่ำชองวิชาหลายแขนง และโค่นตนได้ง่ายๆ ในทุกการซ้อม
โอลัวร์ครุ่นคิดหน้าเครียดสักพัก ก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้า เอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับมองเข้าไปในตาลูเมี่ยน
จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดเสียงดัง
“วิชาสยบหมาป่า!”
“หือ?” ลูเมี่ยนอุทานอย่างประหลาดใจ “นั่นมันวิชาที่ผู้หญิงเรียนกันนี่?”
โอลัวร์ยืนตัวตรง สีหน้าแววตาขึงขังขณะส่ายหัว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ในเมื่อออกนอกบ้านบ่อย แม้แต่เด็กผู้ชายก็ต้องเรียนวิธีป้องกันตัวไว้บ้าง”
“ใครกำหนดว่าเด็กผู้ชายถูกพวกอันธพาลรังแกไม่ได้?”
รอยยิ้มบนริมฝีปากหญิงสาวกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนซ่อนไม่มิด
ไม่แน่ใจว่าพี่สาวของตนล้อเล่นหรือเอาจริง แต่ลูเมี่ยนเลือกจะเงียบ เพียงรับผ้าขนหนูสีขาวแล้วเดินไปทางบันได
ทันใดนั้น ขาของเด็กหนุ่มชะงักงันราวกับสะดุดบางสิ่ง ร่างกายเซถลาไปด้านหน้า
ระหว่างกำลังเสียหลัก ลูเมี่ยนรีบเกร็งกล้ามกล้อง เหยียดหนึ่งแขนออกไปพาดกับเก้าอี้ด้านข้าง ออกแรงยันร่างกายขึ้นมายืนตรงอย่างสง่างาม
โอลัวร์ชักเท้ากลับ พร้อมกับพูดยิ้มๆ
“หลักการสำคัญของการต่อสู้ก็คือ จงสังเกตสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ และห้ามประมาทแม้แต่วินาทีเดียว”
“เข้าใจไหม? เจ้าน้องชายอ่อนหัด!”
เมื่อสักครู่ มือของเธอเกือบจะคว้าเสื้อกั๊กของลูเมี่ยน แต่พอเห็นว่าน้องชายปลอดภัยจึงดึงกลับ
“เพราะฉันเชื่อใจพี่ต่างหาก…” ลูเมี่ยนตัดพ้อ
ยิ่งคิดให้ถี่ถ้วน เขาก็ยิ่งพบว่า ‘ความเชื่อใจ’ ใช้กับโอลัวร์ไม่ได้
นี่มิใช่การแกล้งทีเผลอครั้งแรกของพี่สาวตน!
หญิงสาวกระแอมล้างคอ สีหน้ากลับมาสำรวมอีกครั้ง
“คุยกับผู้หญิงคนนั้นแล้วสินะ…ได้เรื่องยังไงบ้าง”
ลูเมี่ยนเล่าบทสนทนาสั้นๆ แล้วสรุป
“ฉันคิดว่าควรรอคำตอบจากเพื่อนๆ ของพี่ก่อน ค่อยมาตัดสินใจเรื่องสำรวจความฝัน”
“เลือกได้ดี” โอลัวร์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ลูเมี่ยนเปลี่ยนเรื่องคุย
“เที่ยงนี้มีอะไรกิน?”
“ว่าจะอุ่นขนมปังปิ้งจากเมื่อเช้า แล้วย่างซี่โครงแกะสักสี่ซี่ให้นาย” โอลัวร์พูดหลังจากระลึกความจำ
“แล้วของพี่ล่ะ?” ลูเมี่ยนถามสืบ
โอลัวร์ตอบโดยไม่คิด
“ฉันเพิ่งกินเนื้อไก่ฟ้าฉีกคลุกเห็ดทรัฟเฟิลไป แกล้มด้วยชีสกับซุปหัวหอม…พอดีคราวก่อนลองแล้วรู้สึกว่าค่อนข้าง…”
หางเสียงของเธอแผ่วลง ร่างกายชะงักงันแน่นิ่ง
วินาทีถัดมา หญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหู กล้ามเนื้อใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์
ใบหน้าสวยๆ ดูพิลึกพิลั่นขึ้นมาทันที
ลูเมี่ยนจับตาดูเงียบๆ แววตาแฝงความกังวลปนห่วงใย
ผ่านไปสักพัก โอลัวร์ถอนหายใจยาว สีหน้ากลับคืนปกติ
หน้าผากชุ่มเหงื่ออีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น?” ลูเมี่ยนถาม
โอลัวร์ยิ้มจางๆ
“หูแว่วน่ะ…นายก็รู้ว่าฉันมีปัญหานี้มาสักพักแล้ว”
ลูเมี่ยนไม่ถามเซ้าซี้ เพียงเสนอ
“เดี๋ยวฉันเตรียมมื้อกลางวันกินเอง พี่ไปพักเถอะ”
ทุกครั้งที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ เด็กหนุ่มยิ่งร้อนใจ ยิ่งกระหายพลังวิเศษ
…………………………………………………….