ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 76 ตรวจสอบร่างกาย
ตอนที่ 76 ตรวจสอบร่างกาย
“ตอนนี้เลย?” ลูเมี่ยนตกใจ
แม้ว่าเขาจะใจร้อนอยากสำรวจใต้โบสถ์ แต่ก็ไม่ได้รีบขนาดนั้น!
ในชั่วพริบตาของความคิด เด็กหนุ่มตอบ
“รอจนถึงตอนเย็นไม่ได้หรือ?”
เมื่อถึงตอนนั้น ยามดึกสงัด ในโบสถ์จะมีเพียงคนรับใช้สองถึงสาม ผู้วิเศษอย่างพวกตนย่อมลอบเข้าไปได้ง่ายๆ เลยมิใช่หรือ?
ไรอันกล่าวอย่างอ่อนโยนแต่มั่นคง
“ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด…”
“ลองนึกตามดู ถ้าแม้แต่พวกเรายังคิดได้ว่าตอนกลางคืนปลอดคน ระดับการป้องกันต่ำ หลวงพ่ออธิการโบสถ์จะคิดไม่ถึงเชียวหรือ?”
“ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะวางตัวเป้งๆ มาผลัดกันเฝ้ายาม หรือไม่ก็แอบวางกับดักไว้ ทันทีที่ถูกกระตุ้นก็จะส่งสัญญาณเตือน”
“แต่กับตอนนี้ เวลาราวๆ เที่ยงวัน ชาวบ้านทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว ไม่ใช่เวลาที่ใครจะแวะมาสวดมนต์… และเนื่องจากเป็นตอนกลางวัน กับดักจะยังไม่ถูกเปิดใช้งานเพื่อหลีกเลี่ยงการพลั้งเผลอไปกระตุ้น อีกทั้งในโบสถ์ยังมีคนอยู่มากถึงห้า คือสองบาทหลวงกับสามคนรับใช้ เป็นธรรมดาที่ทางนั้นจะย่ามใจ… หรือก็คือ พวกตัวเป้งๆ จะยังอยู่บ้านกินข้าวอย่างสบายใจเฉิบ เป้าหมายของเราจะมีเพียงอธิการโบสถ์ รองอธิการโบสถ์ และคนรับใช้ทั้งสาม”
ลูเมี่ยนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด แล้วช่วยสานต่อคำพูดของไรอัน
“และก่อนจะถึง 3 เมษายน หลวงพ่อยังเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีพลังวิเศษ”
วันนี้คือ 1 กันยายน
“นอกจากนี้ รองอธิการโบสถ์แม้จะมีความผิดปกติ แต่ชัดเจนว่าไม่ใช่กลุ่มก๊วนหลักของอธิการโบสถ์ สามคนใช้ก็เช่นกัน” ลีอายิ้มแล้วเสริม “เราสี่คนที่มีพลังวิเศษ จะจัดการกับห้าคนธรรมดาอย่างเงียบเชียบไม่ได้เชียวหรือ?”
ลูเมี่ยนลองคิดตามสักพัก
“แต่ถ้าทำแบบนั้น เราอาจไปไม่ถึงคืนที่สิบสอง”
การลงมือในเวลานี้ ย่อมเท่ากับการกระตุ้นความผิดปกติของฝั่งหลวงพ่อ ซึ่งจะทำให้ ‘ประวัติศาสตร์’ เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
“เธอเป็นคนพูดไว้เองว่า เมื่อเทียบกับเราแล้ว ทางฝั่งหลวงพ่อกับกลุ่มก๊วนอยากยื้อให้ถึงวันมหาพรตและคืนที่สิบสองยิ่งกว่า ตราบใดที่เราไม่ฆ่าเขา ถึงอีกฝ่ายจะฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่ามีคนแอบเข้าไปในห้องใต้ดิน ก็คงทำได้เพียงแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะคงไม่อยากให้สิ่งใดมารบกวนการไขว่คว้าพลังวิเศษ” ลีอาพูดยิ้มๆ “เมื่อพวกเขาขอ ‘พร’ สำเร็จจนได้รับพลังวิเศษ ทางนั้นต้องพาคนมาไล่ล่าพวกเราแน่ แต่หมู่บ้านกอร์ตูก็ไม่เล็ก และพวกเราก็ไม่ได้อ่อนแอ จะซ่อนตัวหรือถ่วงเวลาก็ย่อมได้ สุดท้ายก็ไปถึงคืนที่สิบสองได้เหมือนกัน”
ลูเมี่ยนคล้อยตามเหตุผลข้างต้น
“ตกลง… ลุยกันเลย”
จากนั้น เด็กหนุ่มตักเตือน
“แต่ตอนนี้ ตาของโอลัวร์ยังไม่กลับมาเป็นปกติ เกรงว่าเธอคงช่วยเราไม่ได้”
ก่อนไปเยี่ยมปราสาทคุณนายปัวริส ลูเมี่ยนย้อนกลับไปที่บ้านครู่หนึ่ง เพื่อพูดคุยกับโอลัวร์และยืนยันสภาพร่างกาย จึงทราบว่าตาของพี่สาวจะกลับเป็นปกติในตอนเย็นๆ
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าลืมสิว่าเรามีคุณนายปัวริสคอยสนับสนุนอยู่” ลีอาพูดติดตลก กระดิ่งเล็กบนหัวส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง
ลูเมี่ยนหมดข้อโต้แย้ง แต่ก็ยังเตือนอย่างรอบคอบ
“ก่อนไปโบสถ์ เราควรเดินดูรอบๆ หมู่บ้านก่อน เพื่อยืนยันว่าปิแยร์·แบรีกับตัวอันตรายยังอยู่ที่บ้านของตัวเอง”
เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน เช่นว่าเมื่อเข้าไปในห้องใต้ดิน อาจถูกดักรอโดยพวกปิแยร์ที่ได้รับ ‘พร’ มาก่อนคนอื่น
ไรอันพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากคุยรายละเอียดกันเสร็จ วาเลนไทน์มองลูเมี่ยน แล้วถามด้วยสีหน้าเย็นชา
“อยากได้การชำระล้างไหม”
ลีอารีบอธิบายแทนเพื่อนร่วมงาน
“เธอเข้าไปในปราสาทแล้วมีปฏิสัมพันธ์บางอย่างกับคุณนายปัวริส อาจมีการปนเปื้อนติดตัวกลับมา”
“ไม่จำเป็น ฉันเชื่อว่าคราวนี้คุณนายปัวริสไม่ได้ทำอะไร มันไม่มีความหมาย” ลูเมี่ยนมั่นใจมาก
เขาจำใจต้อง ‘มั่นใจ’ เพราะไม่กล้าให้วาเลนไทน์ชำระล้างอีก เมื่อเทียบกับเมื่อวาน ตอนนี้เขาเป็น ‘นักเต้น’ แล้ว กลิ่นอายชั่วร้ายที่ไหลออกจาก ‘ผนึก’ ได้ฉาบไปทั่วผิวหนัง หากถูกน้ำมนต์ราดเพื่อชำระล้าง เกรงว่าคงได้เกิดปัญหาร้ายแรง
ตามการวิเคราะห์ของโอลัวร์ ตอนนี้เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมควรถูกชำระล้างอย่างยิ่ง!
เมื่อเห็นลูเมี่ยนยืนกรานว่าร่างกายของตนไม่มีปัญหา วาเลนไทน์ที่มีความปรารถนาดี ตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ
ถัดมา ขณะที่พวกเขาเดินเล่นรอบหมู่บ้าน ลูเมี่ยนกลับบ้านชั่วคราวเพื่อแจ้งแผนให้พี่สาวทราบ
โอลัวร์เสียใจที่ตนไม่สามารถเข้าร่วม ไม่สามารถเป็นพลังให้ได้ แต่เธอก็เสนอตัวไปยืนอยู่ริมขอบหมู่บ้าน รับหน้าที่เฝ้าระวังในยามเกิดเหตุไม่คาดฝัน
เป็นงานที่ไม่ต้องใช้สายตามาก แค่มองเห็นทางเดินรางๆ ก็เพียงพอ
หลังจากตกลงกันว่าหากไม่มีใครมาหาเธอก่อนเที่ยงครึ่ง โอลัวร์จะเริ่มวัฏจักรใหม่ ลูเมี่ยนบอกลาพี่สาวแล้วกลับไปรวมกลุ่มกับพวกลีอา
ระหว่างนี้ ผู้วิเศษทั้งสามสามารถยืนยันตำแหน่งของปิแยร์·แบรี สมาชิกหลักของกลุ่มก๊วนหลวงพ่อ
หลังจากเดินวนเป็นครึ่งวงกลม พวกเขาลัดเลาะตามถนนแคบๆ จนมาถึงด้านข้างโบสถ์ ซึ่งก็คือประตูบานเดียวกับที่ทั้งสี่เคยใช้ในสองวัฏจักรก่อน จนเข้าไปเห็นหลวงพ่อกำลังเล่นชู้กับคุณนายปัวริส
ลูเมี่ยนเตรียมจะใช้เหล็กเส้นเล็กๆ ที่พกติดตัวเพื่องัดประตูบานที่ไม่ค่อยมีใครใช้ แต่ลีอาชิงเดินเข้าไปก่อน เล่นตุกติกบางอย่างกับช่องกลอน แล้วผลักประตูไม้สีน้ำตาลเข้มเข้าไป
เมื่อหันมาเห็นลูเมี่ยนกำลังมองด้วยความตกตะลึง หญิงสาวพูดยิ้มๆ
“นี่คือทักษะพื้นฐานสำหรับการสืบคดี”
อย่าพูดเหมือนกับการงัดบ้านคนเป็นเรื่องที่สูงส่งนักสิ… ลูเมี่ยนมิได้เล่าความในใจ เพราะลีอาเดินนำเข้าไปในโบสถ์สองช่วงตัวแล้ว
กระดิ่งเงินใบเล็กบนหมวกคลุมหน้ากับรองเท้าบูต ไม่ขยับเขยื้อนหรือส่งเสียงแม้แต่น้อย
ลูเมี่ยนลองตีความ
“การเข้าไปในโบสถ์ปลอดภัยมาก ไม่มีอันตรายเลย?”
ลีอาหันกลับมามองแล้วตอบ
“ต้องเติมคำขยายว่า ‘แค่เข้าไปในโบสถ์เพื่อจัดการกับคนข้างใน’ เข้าไปด้วย”
หรือก็คือ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าในห้องใต้ดินอันตรายแค่ไหน? ลูเมี่ยนเข้าใจความหมายของลีอา และเริ่มเข้าใจหลักในการทำนาย ทว่า แม้เขาจะมีพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นจาก ‘นักเต้น’ พอสมควร แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำนายทายทัก
ขณะเดียวกัน ไรอันเดินผ่านเด็กหนุ่ม ตรงเข้าไปในโบสถ์พร้อมกับลีอา
เพียงไม่กี่ก้าว คนรับใช้คนหนึ่งเดินมาจากฝั่งด้านข้าง
ด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ไรอันเข้าประชิดตัวคนรับใช้ ยกมือขวาขึ้นมาสับใส่กกหู
คนรับใช้สลบไปโดยไม่มีโอกาสได้ร้องสักแอะ ไรอันพยุงร่างเอาไว้แล้วลากเข้าไปในห้องใกล้ๆ
ลีอารีบตามไป หยิบขวดแก้วบรรจุของเหลวไร้สีออกจากตรงไหนก็ไม่ทราบ ปรายมือเปิดฝา แล้วเทกรอกปากคนรับใช้
“มันคือ?” ลูเมี่ยนถามด้วยความใคร่รู้
ลีอาตอบโดยยังคงยิ้ม
“ยาระงับประสาท”
เตรียมตัวมาดีจริงๆ … ลูเมี่ยนคิดในใจ
อาศัยวิธีนี้ พวกเขาสามารถจัดการคนรับใช้สามคนได้โดยไม่ทำให้หลวงพ่อตื่นตัว
จากนั้น ลีอาเดินเลียบเคียงเงามืดๆ รอบขอบห้อง แอบเข้าไปในห้องพักของหลวงพ่ออย่างระมัดระวัง
หญิงสาวเปิดประตูไม้โดยไม่มีเสียง และเห็นชายผู้มีอำนาจสูงสุดในหมู่บ้านกอร์ตู สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวขลิบทอง กำลังนอนอยู่บนเตียงไม้เรียบง่าย หายใจเข้าออกอย่างสงบและลึก
ใกล้กับประตูมีโต๊ะวางจานที่เตรียมไว้สำหรับมื้อกลางวัน และภาชนะเครื่องเงิน
ลีอาสำรวจสองสามรอบจนมั่นใจ จึงกระโดดเข้าไปปานประหนึ่งแมว ยกฝ่ามือขึ้นต่างใบมีด สับใส่กกหูหลวงพ่อ
ตามด้วยการเทยาระงับประสาทที่เหลือ ใส่ในปากกิโยม·เบเนต์จนเกือบหมด
“แค่นี้เองหรือ…” ลูเมี่ยนชะโงกหัวถามอยู่ข้างๆ ลีอา
ง่ายเกินไปไหม?
“แล้วมันต้องยังไง? กับคนธรรมดาต้องยากแค่ไหนกันล่ะ?” ลีอาย้อนถามอย่างขบขัน
ลูเมี่ยน ‘อืม’ หนึ่งคำ แล้วลงมือถอดเสื้อคลุมของหลวงพ่อ
“คิดจะทำอะไร…?” ลีอาถามด้วยความประหลาดใจปนสงสัย แต่ยังคงยิ้ม
ลูเมี่ยนตอบโดยไม่หันหน้าไปมอง
“ตรวจสอบร่างกาย”
เขาอยากดูว่ามีสัญลักษณ์หนามสีดำบนหน้าอกหลวงพ่อหรือไม่
ไม่นานก็เห็นร่างกายท่อนบนของหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ แต่นอกจากกระจุกขนอุยสีดำก็ไม่พบอย่างอื่นอีก
ไม่มีสัญลักษณ์หนามสีดำ ไม่มีรอยประทับสีดำที่สื่อถึงพันธสัญญาพิเศษ
ลูเมี่ยนพยักหน้าเล็กๆ จนแทบมองไม่เห็น แล้วพูดกับตัวเองในใจ
“ดูเหมือนว่าสัญลักษณ์นั่นจะปรากฏหลังจากได้รับ ‘พร’ … หรือตอนนี้อาจมีอยู่แล้ว แต่ต้องเข้าฌานเพื่อให้เผยออกมา?”
“แล้วเราได้สัญลักษณ์มาจากไหน… คืนที่สิบสอง?”
เมื่อเห็นว่าหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์อาจยังไม่มีสัญลักษณ์หนามดำ ลูเมี่ยนเริ่มผุดความคิดชั่วร้ายในใจ
“ถ้าฆ่ามันตอนนี้ วัฏจักรอาจไม่เริ่มต้นใหม่ก็ได้…”
“การตัดตอนก่อนที่มันจะได้รับพลัง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบใดบ้าง?”
เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของหลวงพ่อในเหตุการณ์ถัดๆ ไป ลูเมี่ยนผู้อยากไปให้ถึงคืนสิบสอง ตัดสินใจกัดฟันปล่อยผ่าน
หลังออกจากห้องของหลวงพ่อ ไรอันพูดกับเด็กหนุ่มและลีอา
“ฉันหารองอธิการโบสถ์ไม่เจอ”
“หือ…?” ลูเมี่ยนตกใจในทีแรก แต่ไม่นานก็กระจ่าง “เขาคงกลับบ้านไปแล้ว รองอธิการไม่ได้รับอนุญาตให้พักในโบสถ์ ไม่มีสิทธิ์กินข้าวโบสถ์”
“ไอ้ข้ารับใช้ปีศาจ… ใช้อำนาจบาตรใหญ่จริงๆ” วาเลนไทน์มองหลวงพ่อในห้องพลางสบถด่าเสียงเบา
ทั้งสี่คนไม่มัวประวิงเวลา เร่งเดินไปยังทิศฝั่งตรงข้ามกับแท่นบูชาทันที
มุมดังกล่าวมีบันได เป็นบันไดหินที่คับแคบ เดินพร้อมกันได้แค่ทีละคน แถมแต่ละขั้นก็ยังสูงชัน
บันไดขาขึ้นพาไปสู่ยอดโบสถ์ ขาลงพาไปยังห้องใต้ดิน
ยังคงเป็นลีอาที่เดินนำลงไป ระหว่างย่ำลงบนขั้นแล้วขั้นเล่า กระดิ่งสีเงินใบเล็กบนหมวกคลุมหน้าและรองเท้า เริ่มดังขึ้นพร้อมกัน
กรุ๊งกริ๊ง! เสียงไม่ดังมาก แต่ใสกังวานอยู่ในวงแคบ บางครั้งก็ถี่ บางครั้งก็ห่าง
“แบบนี้หมายถึงอะไร…” ลูเมี่ยนพยายามตีความตามประสบการณ์ แต่ก็ค่อนข้างลำบาก
ลีอาบิดตัวกลับมา แล้วพูดยิ้มๆ
“หมายความว่ามีอันตราย แต่ทำนายระดับความเสี่ยงไม่ได้”
“ตอนบุกปราสาทยังทำนายได้เลย…” ลูเมี่ยนพึมพำอย่างประหลาดใจ “แบบนี้ไม่เท่ากับว่าใต้ดินอันตรายกว่าปราสาทหรอกหรือ?”
“ไม่เสมอไป อาจมีบางสิ่งหรือบางคนสร้างอิทธิพลก่อกวนอย่างรุนแรง” ลีอาพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ “ตอนที่ไปปราสาท อย่าลืมว่าคุณนายปัวริสไม่อยู่”
มาถึงจุดนี้แล้ว เหตุการณ์เล็กๆ ย่อมไม่มีน้ำหนักพอให้ถอยกลับ แต่ละคนบรรจงก้าวลงบันไดทีละขั้น วนเวียนลงไปข้างล่าง
ไม่นานนัก ทั้งสี่คนเห็นประตูไม้สีน้ำตาลเก่าๆ ของห้องใต้ดิน
ลีอายกมือขึ้นจับหว่างคิ้ว เปิด ‘เนตรวิญญาณ’ แล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูไม้
แม้ลูเมี่ยนจะยังไม่ชำนาญ ‘ทางลัด’ การเปิดเนตรวิญญาณ แต่ด้วยพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นจากนักเต้น ไม่นานเขาก็เปิดเนตรวิญญาณสำเร็จ และเห็นสีแดงสดใสจากร่างกายทุกคน สื่อถึงสุขภาพที่ดี
เมื่อเห็นว่าพวกพ้องเตรียมตัวพร้อมแล้ว ลีอาผลักเปิดประตูห้องใต้ดิน
ท่ามกลางเสียงบานประตูเสียดสี ลูเมี่ยนได้กลิ่นที่คุ้นเคย เป็นกลิ่นที่อ่อนหวานและหอมฉ่ำ
เด็กฉุกคิดได้ทันที จึงรีบบอกกับพวกไรอัน
“กลิ่นเหมือนอำพันสีเทา”
นี่คือวัตถุดิบที่ใช้ในพิธีกรรมบูชาตัวตนซ่อนเร้นที่มีคำว่า ‘ชะตากรรม’ อยู่ในพระนาม!
……………………………………………………..