ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 73 ติดตาม
ตอนที่ 73 ติดตาม
เมื่อลูเมี่ยนเปิดตา เขาพบว่าพลังวิญญาณฟื้นฟูกลับเป็นปกติแล้ว ร่างกายไม่เจ็บปวดอีกต่อไป
เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นนั่ง เดินไปทางโต๊ะริมหน้าต่างแล้วรูดม่านเปิด
ยามนี้ท้องฟ้ายังคงมืด พระจันทร์สีแดงลอยสูงทางฝั่งตะวันตก แสงดาวระยิบระยับพราวพรายหลายจุด
บนต้นเอล์มไม่ไกลออกไป นกฮูกเจ้าของดวงตามีชีวิตชีวาซึ่งตัวค่อนข้างใหญ่ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
มันกำลังมองมาทางลูเมี่ยนด้วยสายตาของผู้เหนือกว่า
เด็กหนุ่มไม่ตกตะลึงหรือโกรธ เพียงฉีกยิ้มกว้าง
“แกมาอีกแล้วสินะ” เขาทักทายอย่างอบอุ่น แต่ทั้งภาษากาย น้ำเสียง และหน้าตา ล้วนยียวนกวนบาทาราวกับชักชวนให้คู่สนทนาซัดเข้ามาสักหนึ่งหมัด
นกฮูกจ้องหน้าเขาราวๆ สองสามวินาที ก่อนจะกางปีกกว้าง บินเข้าไปในส่วนลึกของความมืด
แทบจะในเวลาเดียวกัน โอลัวร์เดินออกจากห้องนอน บิดที่จับแล้วเข้ามาในห้องลูเมี่ยน
“เป็นยังไงบ้าง?” ลูเมี่ยนรีบถาม
โอลัวร์พยักหน้า
“เจ้ากระดาษขาวกำลังไล่ตามไป”
นัยน์ตาสีน้ำเงินของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีเข้มนานแล้ว สะท้อนภาพต้นไม้ที่กำลังเลื่อนผ่านไป หรือไม่ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น
เธอหยิบแผ่นกระจกปรอทออกมา วางลงบนโต๊ะลูเมี่ยน แล้วใช้ผงสีขาวอ่อนเพื่อร่ายคาถาสำหรับ ‘แสดง’ สิ่งที่ตนเห็นลงบนกระจก
ลูเมี่ยนมองเห็นนกฮูกตัวนั้นได้อย่างชัดเจน มันกำลังบินค่อนข้างต่ำเหนือท้องฟ้ายามราตรีของหมู่บ้านกอร์ตู ฉวัดเฉวียนซ้ายทีขวาทีราวกับต้องการสลัดคนที่อาจไล่หลัง แต่เจ้ากระดาษขาวเป็นสัตว์โลกวิญญาณ มีความเร็วสูงยิ่ง ความพยายามแค่นี้ไม่มีทางหนีพ้น ยังคงรักษาระยะห่างได้อย่างสม่ำเสมอ
ผ่านไปสักหนึ่งถึงสองนาที นกฮูกหักเลี้ยวรอบลานจัตุรัสหมู่บ้าน
มันไม่มัวพิรี้พิไร บินตรงเข้าไปในสุสานข้างๆ โบสถ์
คราวก่อนที่สองพี่น้องสอดแนมมิเชล·การีกู ‘กิ้งก่า’ ที่ออกจากปากรองอธิการโบสถ์ ก็วิ่งมายังสุสานข้างโบสถ์ และมุดเข้ามุดออกอยู่หลายหลุมศพ!
“ในเรื่องแต่งมักใช้สุสานเป็นแหล่งกบดานของตัวร้าย… โลกความจริงก็เหมือนกันหรือ?” ลูเมี่ยนหันไปถามพี่สาว
โอลัวร์ยิ้มเยาะ
“รู้จักแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงไหม?”
“นั่นสินะ…” ลูเมี่ยนยอมรับคำอธิบายของนักเขียนมืออาชีพ ผู้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตชิ้นงาน
ยามนี้ นกฮูกบินอยู่เหนือหลุมศพธรรมดาหลุมหนึ่ง
ก็เหมือนกับหลุมศพส่วนใหญ่ในอินทิส หลุมลึกถูกขุดลงไปในดิน วางโลงศพ จากนั้นก็ถมดิน สุดท้ายก็ปิดด้วยแผ่นหินหนึ่งถึงสองแผ่น แล้วตั้งป้ายหลุมศพไว้ด้านหลัง
นี่เป็นเพียงจินตนาการและการคาดคะเนของลูเมี่ยน แต่อย่างน้อยถ้ามองจากภายนอก เขาไม่เห็นความผิดปกติของหลุมศพนี้
นกฮูกลดระดับความสูง แล้วร่อนลงบนแผ่นหินสองแผ่นที่ปิดหลุมศพ
อาศัยเจ้ากระดาษขาว โอลัวร์กับลูเมี่ยนค้นพบเบาะแสที่น่าสงสัย
หลุมศพดังกล่าวนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดวางอยู่ด้านบน ผิวของแผ่นหินที่ควรจะสกปรกและเต็มไปด้วยวัชพืชกลับสะอาด ราวกับมีใครคอยปัดกวาดอยู่เป็นประจำ
“หลุมศพนี้แปลกๆ” โอลัวร์แสดงความเห็น
ทันทีที่เธอพูดจบ แผ่นหินสองแผ่นที่ปิดหลุมศพไว้ ก็ร่วงลงไปทันที
ไม่สิ ไม่ใช่การหล่น คล้ายกับ ‘การเปิด’ มากกว่า
ลักษณะเหมือนบานประตูคู่ถูกเปิดจากภายใน เผยให้เห็นมิติมืดๆ และขั้นบันไดหินที่นำทางลงไปด้านล่าง
“โห…” ลูเมี่ยนอุทานด้วยความประหลาดใจ “มันใหญ่นะเนี่ย!”
แตกต่างจากหลุมศพทั่วไปในจินตนาการของเขา สิ่งนี้ใกล้เคียงกับ ‘อนุสาวรีย์บรรจุศพ’ ซึ่งมีพื้นที่ภายในกว้างขวาง
“มีของแบบนี้ในกอร์ตูด้วยหรือเนี่ย…” โอลัวร์อาศัยอยู่ที่กอร์ตูมาหกปีแล้ว เชื่อว่าตนรู้จักดินทุกเม็ดในหมู่บ้านเป็นอย่างดี แต่ภายหลังกลับเริ่มพบว่า หมู่บ้านแห่งนี้นับวันยิ่งไม่คุ้นเคย นับวันยิ่งแปลกประหลาดพิศวง
พื้นที่ใต้ดินไม่ได้กว้างขวางนัก ทันทีที่เจ้ากระดาษขาวตามลงไปจนสุดขั้นบันได เด็กหนุ่มก็เห็นหลุมศพ
หลุมศพใหญ่เท่าๆ ห้องครัวลูเมี่ยน โดยมีใจกลางเป็นโลงศพสีดำ
โลงศพไม่ได้ปิดฝา ฝาพิงอยู่กับโลงและพื้น
นกฮูกกระพือปีกแล้วบินตรงไป เกาะบนขอบโลงศพแล้วแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
“จอมเวทที่ตายไป?” ลูเมี่ยนเริ่มเกร็ง
โอลัวร์ ‘หืม’ หนึ่งคำพร้อมกับสั่งให้เจ้ากระดาษขาวเข้าไปอีก คอยสังเกตโลงศพจากระยะห่าง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูเมี่ยนพบร่างอันคลุมเครือยืนอยู่ตรงมุมหลุมศพ
ขณะเตรียมจะบอกให้พี่สาวหันไปมอง เจ้ากระดาษขาวก็ส่อง ‘ตา’ เข้าไปในโลงศพที่เปิดอยู่
บึ้ม! กระจกปรอทตรงหน้าสองพี่น้องเกิดระเบิด ทางโอลัวร์ก็ส่งเสียงคร่ำครวญต่ำด้วยความเจ็บปวดที่มิอาจอดกลั้น
ลูเมี่ยนรีบหันไปมองพี่สาว พบว่าเธอกำลังหลับตาปี๋ น้ำตาเลือดหลั่งออกมาหยาดแล้วหยาดเล่า กล้ามเนื้อแก้มสั่นกระตุกอย่างมิอาจควบคุม ราวกับพวกมันกำลังจะปริแตก
โดยไม่รอความช่วยเหลือจากน้องชายกึ่งโง่ศาสตร์เร้นลับ โอลัวร์รีบหยิบธูปสั้นออกจากกระเป๋าลับ แล้วจุดไฟด้วยไม้ขีด
กลิ่นหอมจางๆ โชยไปในอากาศ มอบความรู้สึกสงบทั้งกายและใจ
อาการผิดปกติบนหน้าโอลัวร์ค่อยๆ บรรเทาลง จนกระทั่งเธอหายใจเข้าออกลึกๆ พร้อมกับปาดน้ำตาเลือดด้วยผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัว
“พี่เป็นอะไรไหม…” ลูเมี่ยนถามอย่างกังวล
โอลัวร์ยังคงหลับตาปี๋โดยไม่ยอมลืมขึ้น
“ปัญหาไม่ร้ายแรง ถ้าได้นอนพักสักหน่อยตาก็กลับเป็นปกติได้… โชคดีจริงๆ ที่เจ้ากระดาษขาวเปราะบางมาก…บางครั้งจุดอ่อนก็เป็นจุดแข็งได้เหมือนกัน!”
หญิงสาวดูมีความสุข
“หือ…” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจเลย
โอลัวร์หัวเราะกับตัวเอง
“สรุปง่ายๆ ก็คือ ฉันเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น แต่เจ้ากระดาษขาวเปราะบางเกินไป แค่มันพยายามจะมอง ยังไม่ทันจะได้เห็นอะไรเลย จิตใจก็บอบช้ำจนต้องหนีกลับโลกวิญญาณ แต่นั่นก็ช่วยให้ฉันได้รับผลข้างเคียงน้อยลง ไม่อย่างนั้น สถานการณ์คงไม่สงบเร็วขนาดนี้ และพวกเราอาจต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่”
โลกของศาสตร์เร้นลับอันตรายจริงๆ … ลูเมี่ยนเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความหมายของคำว่า ‘อย่าดูในสิ่งที่ไม่ควรดู’
เขารอให้พี่สาวอาการดีขึ้นอีกนิดแล้วจึงถาม
“เจ้ากระดาษขาวมองอะไรกันแน่? ทำไมถึงสร้างความเสียหายมากขนาดนี้…”
“มันเห็นจุดแสงสีเงินดำ” โอลัวร์ไม่กล้าแม้แต่จะย้อนนึกถึง “สำหรับสิ่งที่สร้างอันตรายได้แค่เพียงเรามองเข้าไป ของแบบนี้มีอยู่นับไม่ถ้วน อาจเป็นวัตถุที่บรรจุออร่าเทพ อาจเป็นวัตถุในลำดับสูง อาจเป็นร่างสัตว์ในตำนาน หรืออาจเป็นวัตถุต้องสาปกับจิตมุ่งร้าย”
“ร่างสัตว์ในตำนาน?” ลูเมี่ยนไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
โอลัวร์อธิบายอย่างใจเย็น
“แก่นของ ‘เส้นทางแห่งเทพ’ คือการเปลี่ยนจากผู้วิเศษเป็นเทพ เมื่อไปถึงลำดับ 4 ผู้วิเศษทุกคนจะมีร่างสัตว์ในตำนานเป็นของตัวเอง แต่ยังไม่สมบูรณ์นัก หากคนที่ลำดับต่ำกว่า 4 เห็นเข้าก็จะได้รับบาดเจ็บ หรือในกรณีเลวร้ายก็ถึงขั้นคลุ้มคลั่ง”
นักบุญทรงพลังขนาดนั้นเชียว? แตกต่างจากผู้วิเศษลำดับ 4 ลงมาราวฟ้ากับเหว… ถึงได้เรียกลำดับ 4 ว่าครึ่งเทพสินะ… ลูเมี่ยนเข้าใจแจ่มแจ้งถึงความโง่เขลาของตนก่อนหน้านี้ ซึ่งเคยคิดว่าคนที่ถูกเรียกว่าครึ่งเทพ คงไม่ต่างจากผู้วิเศษลำดับที่ต่ำกว่ามากนัก
เด็กหนุ่มกล่าวต่อ
“โอลัวร์ ในตอนที่เจ้ากระดาษขาวเข้าใกล้โลงศพ ฉันเห็นร่างของใครสักคนตรงมุมสุสาน แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง หรือใส่เสื้อผ้าอะไร”
“ในนั้นมีคนอื่นอยู่ด้วย?” โอลัวร์ค่อนข้างประหลาดใจ
ลูเมี่ยนพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น… จอมเวทที่ตายไปอยู่ในโลง หรืออยู่ตรงมุมห้อง?”
“ฉันคิดว่าเป็นคนที่อยู่ในโลง” โอลัวร์ยังคงหลับตาพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “คนตรงมุมห้องน่าจะเป็นหุ่นเชิดหรือไม่ก็ลูกน้อง หรือไม่ก็ผู้วิเศษอีกหนึ่งคนที่ควบคุมศพจอมเวท”
ลูเมี่ยน ‘หืม’ ออกมาหนึ่งคำ
ข้อมูลในคราวนี้ทำให้เด็กหนุ่มทั้งยินดีและกังวล
ยินดีที่การสืบสวนคืบหน้าไปมาก แต่กังวลที่เพียงแค่มองศพจอมเวทก็อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บ หรืออย่างเลวร้ายก็คลุ้มคลั่ง เช่นนั้นแล้วพวกตนต้องทำอย่างไร จึงจะเข้าไปในอนุสาวรีย์บรรจุศพเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงและสืบสวนขยายผล?
โอลัวร์ก็ดูเหมือนจะคิดถึงเรื่องนี้อยู่
“พวกเราจะยังไม่ไปหลุมศพนั่นสักพัก ตอนนี้สนใจแค่ชั้นใต้ดินของโบสถ์ก่อน ที่นั่นอาจมีเบาะแสที่ช่วยไขปริศนาในอนุสาวรีย์บรรจุศพ”
“ตกลง” ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปแล้วว่า หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น เขาจะไปคุยกับสามคนต่างถิ่น เพื่อปรึกษาเรื่องการสำรวจใต้โบสถ์
หลังจากได้ฟังคำตอบ โอลัวร์เสริม
“ถ้าฉันฟื้นตัวเมื่อไร จะลงไปสำรวจชั้นใต้ดินของโบสถ์กับพวกนายด้วย”
ลูเมี่ยนลังเลราวๆ สองวินาที แล้วจึงตอบตกลง
ในสถานการณ์เช่นนี้ คงมีแต่ต้องรวบรวมขุมพลังทั้งหมดเท่านั้น จึงจะมองเห็นความหวัง!
โอลัวร์ที่ยังคงหลับตาอยู่ หันมาถาม
“พิธีกรรมของนายสำเร็จไปด้วยดีสินะ ตอนนี้ร่างกายเป็นยังไงบ้าง?”
ลูเมี่ยนเล่ากระบวนการพิธีกรรมอย่างละเอียด รวมถึงสิ่งที่ได้รับ แต่ไม่ได้เล่าถึง ‘นิยาม’ ของตัวตนซ่อนเร้น และปิดท้ายด้วยการกล่าว
“ฉันเกือบจะคลุ้มคลั่งในตอนที่ได้รับพร แต่หลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ผิดปกติ คงเพราะลำดับยังต่ำมากอยู่”
โอลัวร์ยังคงหลับตา แต่เผยรอยยิ้มเล็กๆ
“ระบำที่ดึงดูดสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ในละแวกใกล้เคียงเข้ามา แล้วยอมให้มันสิงร่าง… ฟังดูน่าสนใจมาก”
“ชวนให้นึกถึงความสามารถในตำนานของบ้านเกิดฉัน… ‘หมัดโลกวิญญาณ*’ !”
(*เสินต่า – เป็นชื่อภาพยนตร์ – ชื่อภาษาไทยอย่างเป็นทางการคือ ‘ไอ้เณรจอมคาถา’)
“หือ?” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจ
โอลัวร์ยิ้ม
“มันคือการขอให้สิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพมาสถิตร่าง แล้วยืมพลังมาต่อสู้”
“จำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแรง มีวิญญาณและจิตใจที่เข้มแข็งด้วยใช่ไหม?” ลูเมี่ยนลองเดา
โอลัวร์ไม่ได้สานต่อเรื่องเก่า เพียงออกคำสั่งกับน้องชาย
“ช่วยพาฉันกลับห้องนอนหน่อย ตอนนี้อยากพักผ่อน”
ลูเมี่ยนช่วยพยุงพี่สาว พลางถามผ่านๆ ขณะเดินพาไปห้องนอน
“สิ่งที่น่าประหลาดใจในพิธีกรรมก็คือ ฉันสามารถดึงพลังบางส่วนจากผนึกได้โดยที่ยังไม่รับอนุญาตจากเจ้าของรอยประทับสีดำอมเขียว… เป็นไปได้ไหมว่าพระองค์คอยเฝ้าดูฉันอยู่ตลอด? แต่คงไม่ใช่หรอก… ใครจะไปว่างขนาดนั้น”
โอลัวร์คิดสักพักแล้วตอบ
“นายเคยบอกฉันว่า คำนิยามของตัวตนซ่อนเร้นที่มาดามลึกลับมอบให้ ค่อนข้างคลุมเครือและอธิบายแบบกว้างๆ เพื่อหลบเลี่ยงความสนใจของตัวตนซ่อนเร้นสินะ…”
“อาจเป็นไปได้ว่า เจ้าของสัญลักษณ์สีดำอมเขียว กับเจ้าของสัญลักษณ์หนามสีดำ มีอำนาจซ้อนทับกันในบางขอบเขต? ยกตัวอย่างเช่น ในบทสวดมีคำว่าชะตากรรม… ไม่แน่ว่าทั้งสองพระองค์อาจมีอำนาจในขอบเขตชะตากรรม ดังนั้น เมื่อนายเอ่ยถึงคำนิยามอันคลุมเครือ บางส่วนไม่เพียงจะชี้ไปยังสัญลักษณ์หนามสีดำ แต่ยังแบ่งไปหาเจ้าของรอยประทับสีดำอมเขียวด้วย…”
“ภายใต้สถานการณ์ปกติ นิยามคลุมเครือแบบนี้ไม่ควรทำให้เกิดผลลัพธ์ใด แต่นายมีทั้งสัญลักษณ์ พลัง และออร่าอยู่ภายในแท่นบูชา จึงสามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่าง ส่งผลให้เจ้าของรอยประทับสีดำอมเขียวค้นพบการมีอยู่ของนาย ผนวกกับการที่นายถูกชี้นำโดยมาดามลึกลับ พระองค์จึงยอมอนุญาตง่ายๆ …”
“ดังนั้น เมื่อนายท่องคำนิยามจนครบทั้งหมดเพื่อระบุไปยังมลพิษในร่างกาย พลังที่ถูกผนึกไว้จะถูกดึงออกมาได้ตามปกติ เนื่องจาก ‘ประตูหลัง’ ถูกเปิดออกแล้ว…”
“ออกแบบพิธีกรรมได้ชาญฉลาดมาก… ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหาบั๊กแน่นอน”
“อย่างนี้นี่เอง…” ลูเมี่ยนเองก็เริ่มกระจ่าง
……………………………………………………..