ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 71 ใต้ดิน
ตอนที่ 71 ใต้ดิน
พวกมัน? ลูเมี่ยนฟังคำตอบของแรมงด์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เดิมทีเขาคิดว่าแรมงด์จมน้ำตาย ‘ไปเอง’ และกลายเป็นเครื่องสังเวยของการดำรงอยู่ซ่อนเร้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือใครสักคน มิใช่พลังงานที่มองไม่เห็นกระชากแรมงด์จมน้ำตาย
“พวกมันคือใคร?” โอลัวร์ถาม
แรมงด์ทำหน้าบิดเบี้ยวแล้วค้างไว้เช่นนั้น แววตาเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังเจือเย็นชา แล้วตะโกนด้วยความเคียดแค้นอันเหนือธรรมดา
“ปงส์·เบเนต์… ปงส์·เบเนต์กับลิ่วล้อของมัน!
“พวกมันทำให้ฉันจมน้ำ!”
หลังจากที่เรากับพวกเอวาออกจากริมน้ำ… ปงส์·เบเนต์กับลูกน้องไปดักรอในจุดที่แรมงด์จะขึ้นฝั่ง แล้วจับเขากดน้ำจนขาดอากาศหายใจตาย กลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวย? ลูเมี่ยนปะติดปะต่อเหตุการณ์ในอดีตจากคำพูดไม่กี่คำของแรมงด์
เทศกาลมหาพรตกลายเป็นพิธีบูชายัญอันชั่วร้าย!
โอลัวร์ถามรายละเอียดเพิ่มเติม แต่แรมงด์พูดซ้ำๆ อยู่แค่ไม่กี่ประโยค เหมือนกับว่านั่นคือความทรงจำทั้งหมดของเขา
เฮ้อ… ดูเหมือนจะพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสื่อวิญญาณไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความหมกมุ่นที่ไม่ปะติดปะต่อ… โอลัวร์คิดแล้วตัดสินใจถามแรมงด์ในเรื่องที่เขาอาจจดจำได้แม่นยำ หรืออาจจำอะไรไม่ได้เลย
“พวกเขาสังเวยนายให้กับบางสิ่งใช่ไหม…”
“พระองค์มีลักษณะพิเศษอย่างไร แล้วอยู่ที่ไหน?”
คราวนี้โอลัวร์ได้รับบทเรียนมาแล้ว จึงไม่ได้ถามพระนามของตัวตนซ่อนเร้นตรงๆ แต่คอยเลียบเคียงข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ
เธอเชื่อว่าในระหว่างที่แรมงด์ถูกเสนอเป็นเครื่องสังเวย หากวิญญาณยังคงมีสติ ก็ย่อมต้อง ‘เห็น’ ‘ได้ยิน’ และสัมผัสถึงบางอย่าง จนเกิดเป็นความประทับใจอย่างแรงกล้า แต่ถ้าไม่มีก็คือไม่เห็นอะไรเลย
แรมงด์แน่นิ่งอยู่นาน น้ำตาเลือดตรงหางตาเริ่มเจิ่งนอง
ลูเมี่ยนทำหน้าเคร่งเครียด มองอีกฝ่ายในสภาพนั้น หมัดกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น แรมงด์โพล่งตะโกนขึ้นมา
“ใต้ดิน! ใต้ดินของโบสถ์!”
อะไรนะ…? โอลัวร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ถัดจากคำถามของเธอ แรมงด์ตอบกลับอย่างชัดเจนว่า เขาถูกเสนอเป็นเครื่องสังเวยให้กับ ‘บางพระองค์’ ที่อยู่ใต้ดินของโบสถ์!
เป็นไปไม่ได้… นี่มันยุคสมัยที่ห้าแล้ว เทพจะเดินดินบนโลกได้ยังไง? โอลัวร์ยังคงเยือกเย็น มองว่านี่คงเป็นเพียงความหมกมุ่นของวิญญาณแรมงด์ คำตอบก่อนหน้านี้ดูวกวนสับสน และมักยึดติดกับจุดเดิมๆ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ‘ใต้ดิน’ ไม่ได้สื่อถึงที่อยู่ของตัวตนซ่อนเร้นองค์ดังกล่าว แต่เป็นเพียงสิ่งที่เขาอยากจะพูด
แต่ไม่ว่าแรมงด์จะตอบคำถามอย่างจริงจัง หรือเพียงแค่หมกมุ่นอยู่กับเจตจำนงตัวเอง ที่ใต้ดินของโบสถ์ย่อมต้องมีปัญหาแน่ อาจซุกซ่อนส่วนสำคัญของพิธีเซ่นไหว้เอาไว้!
โอลัวร์หวังเพียงว่า ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น จะมิได้น่าหวาดหวั่นหรือมโหฬารจนเกินไป
เธอยังถามถึงเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม แต่วิญญาณแรมงด์เอาแต่พูดซ้ำๆ เพียงว่า ‘พวกมันทำให้ฉันจมน้ำ’ ‘ปงส์·เบเนต์’ และ ‘ใต้โบสถ์’
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรใหม่ โอลัวร์ยกเลิกพิธีสื่อวิญญาณ มองวิญญาณแรมงด์หายเข้าไปในแสงเทียน มองสีฟ้าอมเขียวบนแท่นบูชาสลายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากยกเลิกกำแพงวิญญาณ เธอพบว่าลูเมี่ยนเอาแต่ยืนนิ่งด้วยแววตาเหม่อลอย ไม่พูดไม่จาสักคำเดียว
“คิดอะไรอยู่?” โอลัวร์ยื่นมือไปโบกบ่ายตรงหน้าน้องชาย
ลูเมี่ยนยกมุมปากขึ้น แค่นวาดรอยยิ้ม
“ฉันกำลังเสียดายที่เมื่อวานไม่ได้อัดไอ้เจ้าปงส์·เบเนต์ให้หนักๆ …”
แม้เมื่อวานจะประเคนเข่าใส่ปงส์·เบเนต์แบบเต็มรักไปแล้ว แต่ความจริงยังยั้งมือไว้หลายส่วน ไม่คิดจะทำให้อีกฝ่ายพิกลพิการ
เด็กหนุ่มคอยย้ำเตือนตัวเองเสมอ ให้อดรนทนรอจนถึงคืนที่สิบสอง ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าสร้างความบาดหมางรุนแรงกับหลวงพ่ออธิการโบสถ์
“เดี๋ยวก็มีโอกาสเอง” โอลัวร์ปลอบใจ
ลูเมี่ยนพยักหน้าพร้อมกับ ‘หึ’
“อันที่จริง พวกเราเข้าใจผิดไปถนัด… ก่อนจะเริ่มเทศกาลมหาพรต ไม่ใช่แค่เราที่ไม่อยากก่อเรื่อง ฝั่งหลวงพ่อเองก็กลัวเหมือนกัน เนื่องจากพวกมันยังไม่พร้อม ยังไม่ได้เริ่มจัดพิธีกรรม”
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อให้ลูเมี่ยนอัดปงส์·เบเนต์จนรักษากลับเป็นปกติไม่ได้ อย่างมากหลวงพ่อก็คงทำเป็นเคียดแค้น ไม่ได้ลงไม้ลงมือกับตนจริงๆ
พวกมันจะกัดฟันทนไปจนถึงเทศกาลมหาพรต ไม่ว่าลูเมี่ยนจะเคยสร้างความบาดหมางไว้หรือไม่ แต่เมื่อเทศกาลมหาพรตเริ่มขึ้น ทุกคนในหมู่บ้านที่ยังปกติจะตกเป็นเป้าหมาย
โอลัวร์เข้าใจความนัยของน้องชาย จึงพยักหน้ารับเบาๆ
“นายคิดเอาเองเลยว่าจะแก้แค้นปงส์·เบเนต์ยังไง…”
“แต่ตอนนี้เราต้องพิจารณาว่า เมื่อเทศกาลมหาพรตเริ่มขึ้น หลวงพ่อจะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ พวกเราต้องทำอย่างไรจึงจะรอดไปจนถึงคืนที่สิบสอง”
ลูเมี่ยนเริ่มขบคิดหาคำตอบในประเด็นดังกล่าว
โอลัวร์เล่าแนวทางของเธอ
“ตอนนี้มีแค่สองทางเลือก หนึ่งคือร่วมมือกับพวกคนต่างถิ่น สองคือหาทางเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง”
เธอลังเลสักพักแล้วจึงเสริม
“…หรือถ้ายืนยันได้ว่าคุณนายปัวริสไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัฏจักรเวลา เป็นแค่ผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในวังวนเหมือนกัน บางทีเราอาจร่วมมือกับเธอได้”
“หา?” ลูเมี่ยนตกใจมากเมื่อได้ยิน
คุณนายปัวริสคนนั้น เป็นผู้วิเศษที่ทั้งพิสดารและน่าขนลุก!
โอลัวร์ถอนหายใจ
“นักปราชญ์ในบ้านเกิดของฉันมักกล่าวว่า ถ้าคิดจะทำการใหญ่ ต้องแยกแยะความขัดแย้งหลักและความขัดแย้งรอง รวบรวมไพร่พลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”
“อา… ใต้โบสถ์ต้องมีปัญหาแน่ อาจซุกซ่อนคำบอกใบ้สำคัญไว้ เราต้องเข้าไปสำรวจก่อนจะถึงวันมหาพรต ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสอีก”
เท่าที่โอลัวร์ทราบ โบสถ์ส่วนใหญ่ในโลกมีชั้นใต้ดิน บางแห่งมีไว้สำหรับเก็บรักษาสมบัติปิดผนึก บางแห่งไว้สำหรับฝังศพบุคคลสำคัญ โบสถ์ในหมู่บ้านกอร์ตูอาจไม่มีทั้งสมบัติปิดผนึกและบุคคลสำคัญ แต่อย่างน้อยก็ต้องสร้างตามข้อกำหนดของศาสนจักร ยังไงก็ต้องมีห้องใต้ดินขนาดใหญ่
“ตกลง” ลูเมี่ยนขานรับ “พรุ่งนี้ฉันจะไปคุยกับพวกคนต่างถิ่น”
เด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเป็นหัวข้อเกี่ยวกับแรมงด์
“ทำไมเขาถึงพูดได้แค่ไม่กี่ประโยคล่ะ… เราประกอบพิธีอัญเชิญวิญญาณสำเร็จไม่ใช่หรือ”
โอลัวร์ถอนหายใจอีกครั้ง
“การสื่อวิญญาณจะมีช่วงเวลาสำคัญอยู่ นั่นคือหนึ่งชั่วโมงหลังจากเสียชีวิต”
“หากเกินกว่าหนึ่งชั่วโมง วิญญาณจะค่อยๆ สลายไป ไม่หลงเหลือความทรงจำที่ชัดเจนเหมือนเดิม มีเพียงความคิด อารมณ์ และบางภาพจำที่ยังติดค้างอยู่ ในภาษาบ้านเกิดของฉันเรียกว่า ‘ความหมกมุ่น’”
ลูเมี่ยนฟังอย่างตั้งใจพร้อมกับพยักหน้ารับ
“รอให้ถึงวัฏจักรรอบถัดไป เรารีบอัญเชิญแรมงด์มาตั้งแต่ต้น แบบนี้จะนับว่าอยู่ภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากเสียชีวิตไหม…”
“ไม่สิ… ทำไมแรมงด์ถึงยังมีความทรงจำจากวัฏจักรรอบก่อนอยู่ล่ะ?”
เด็กหนุ่มเพิ่งฉุกคิดถึงปัญหา: หลังจากวัฏจักรเริ่มใหม่ แรมงด์ควรจะลืมเหตุการณ์ที่ตัวเองจมน้ำไปแล้ว!
โอลัวร์ทำหน้าครุ่นคิด หลังจากปะติดปะต่อข้อมูลที่ได้จากพิธีกรรมเมื่อสักครู่ เธอไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด
“ฉันคิดว่านับนะ…”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเทศกาลมหาพรต ตามเส้นเรื่องหลัก แรมงด์ยังไม่จมน้ำตาย ไม่ควรรู้ว่าใครเป็นคนฆ่า… แต่เนื่องจากเขาสูญเสียร่างกายไปแล้ว เหลืออยู่แค่วิญญาณ ซึ่งนั่นเท่ากับความตาย และคนตายจะยังหลงเหลือความทรงจำที่หมกมุ่นเสมอ… เป็นเหตุผลว่าทำไม วิญญาณของเขาที่เราเพิ่งอัญเชิญออกมา สามารถจดจำเหตุการณ์ในวัฏจักรก่อนๆ ได้…”
“ง่ายๆ ก็คือ แรมงด์อยู่ในสถานะพิเศษเนื่องจากสูญเสียร่างเนื้อ จนทำให้เมื่อเริ่มต้นวัฏจักรใหม่ ความทรงจำบางส่วนจะยังถูกเก็บไว้อยู่!”
“หึหึ… ยังกับติดบั๊กแน่ะ”
วัฏจักรทำให้เกิดข้อผิดพลาดเล็กๆ เนื่องจากร่างกายของแรมงด์ถูกสังเวยไปแล้ว? ลูเมี่ยนพอจะเข้าใจความหมายของพี่สาว
โอลัวร์พูดยิ้มๆ
“ดูเหมือนว่าพลังที่ทำให้เราติดอยู่ในวัฏจักร จะทำงานแบบเครื่องจักรไร้ความคิดสร้างสรรค์ มันคงไม่ได้ถูกควบคุมโดยเจ้าของเดิมอีกแล้ว และกำลังทำงาน ‘ไปตามกลไกของตัวเอง’ ไม่อย่างนั้นต้องจัดการกับวิญญาณของแรมงด์ได้ดีกว่านี้แน่”
เธอพูดถึงตรงนี้ ร่างกายดูผ่อนคลายลงชัดเจน
“หึหึ… ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ เรายังพอมีหวังที่จะทำลายวัฏจักร”
ได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ของพี่สาว สภาพจิตใจของลูเมี่ยนที่เคยมืดมนเริ่มกลับมาสว่าง
หลังจากบากบั่นหมั่นเพียรมามากมาย ในที่สุดก็เริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวังแล้ว
สองพี่น้องช่วยกันเก็บกวาดแท่นบูชา และขึ้นไปยังห้องอ่านหนังสือชั้นสอง โดยที่โอลัวร์คอยสอนภาษาเฮอร์มิสกับเฮอร์มิสโบราณทีละคำ ตามขั้นตอนพิธีกรรม ‘ผิดลำดับ’ ที่ลูเมี่ยนจดมา
เนื่องจากเขาชำนาญไปบางส่วนแล้ว ความก้าวหน้าจึงถือว่าค่อนข้างดี
ใต้แสงสว่างจากโคมไฟ โอลัวร์บางครั้งก็สอนการออกเสียงและโครงสร้างคำศัพท์ให้น้องชาย บางครั้งในระหว่างที่เขาทบทวน เธอใช้มัสก์ กานพลู เลือด และวัตถุดิบอื่นๆ มาหล่อเป็นเทียนไข
ลูเมี่ยนขะมักเขม้นตั้งใจเรียน ระหว่างที่หยุดพักเป็นครั้งคราว ก็หันไปมองพี่สาวที่ทำงานมือเป็นระวิงอยู่ข้างๆ
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้กลับไปใช้ชีวิตที่อบอุ่นตามเดิม ไม่มีวัฏจักรเวลา ไม่มีเทพมารอีกต่อไป
ด้านนอกหน้าต่าง ค่ำคืนช่างเงียบสงบ
…
ในห้องนอนที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทาอ่อน ลูเมี่ยนลืมตาตื่น
เด็กหนุ่มพลิกตัวลงจากเตียงทันที เดินไปที่โต๊ะ ค้นหาปากกากับกระดาษ เขียนคำภาษาเฮอร์มิสโบราณกับภาษาเฮอร์มิสที่ท่องมาแบบผิดลำดับลงไป แล้วเขียนหมายเลขที่ถูกต้องกำกับไว้
จัดการเสร็จ ลูเมี่ยนถอนหายใจ ตากวาดมองไปรอบๆ
บนโต๊ะไม้ริมหน้าต่างมีของสี่อย่างวางอยู่ หนึ่งคือเทียนมัสก์สีขาวสองเล่มที่โอลัวร์หล่อขึ้น (เล่มหนึ่งผสมเลือดของลูเมี่ยน อีกเล่มไม่ผสม) สองคือขวดน้ำหอมอำพันสีเทา สามคือขวดโลหะเล็กๆ ใส่ผงทิวลิป สี่คือกริชเงินที่โอลัวร์หามาให้
มาดามส่งเข้ามาให้เราจริงๆ … ได้เห็นภาพดังกล่าว หัวใจลูเมี่ยนรู้สึกสงบ
เขารวบรวมสิ่งของต่างๆ แล้วมองหาธูปที่โอลัวร์ทำเอง เดินลงไปชั้นล่าง วางของเหล่านั้นบนโต๊ะอาหาร แล้วเข้าครัวไปหยิบแก้วน้ำสะอาดกับจานเกลือหยาบ
สิ่งของสำหรับประกอบพิธีกรรมถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว
ก่อนนอน โอลัวร์ยังเป็นห่วงเรื่องที่น้องชายยังไม่มี ‘สัญลักษณ์’ ของเป้าหมาย สำหรับวาดลงกระดาษหนังสัตว์แล้วเผา เพื่อแจ้งความประสงค์ให้เทพปลายทางรับรู้ แต่เธอมาคิดอีกทีว่า ในเมื่อมาดามลึกลับไม่ได้พูดถึง มันก็คงไม่จำเป็น เพราะต้องไม่ลืมว่าตามหลักแล้ว นี่เป็นพิธีกรรมสำหรับขอพรจากพลังในตัวลูเมี่ยน ซึ่งสามารถ ‘ฟัง’ ได้ทุกคำวิงวอน ไม่จำเป็นต้องมี ‘เอกสาร’ ประกอบ
ลูเมี่ยนกวาดตามองสิ่งต่างๆ บนโต๊ะอาหาร แล้วหายใจเข้าออกยาวๆ เป็นจังหวะช้า
เขาไม่ลังเลอีกต่อไป วางเทียนสีขาวที่มีเลือดของตนไว้บนแท่นบูชาในตำแหน่ง ‘เทพ’ อีกหนึ่งเล่มวางไว้หน้าตัวเอง
ตามลำดับเริ่มจากเทพก่อนแล้วค่อยตัวเอง เด็กหนุ่มจุดเทียนด้วยการเสียดสีพลังวิญญาณ จากนั้นก็ชำระล้างกริชเงินอย่างงุ่มง่าม แล้วลงมือสร้างกำแพงวิญญาณ
เมื่อพลังวิญญาณพุ่งออกจากปลายมีดเงิน จนเชื่อมโยงเข้ากับอากาศรอบข้าง เด็กหนุ่มได้ตระหนักว่า ‘นี่แหละศาสตร์เร้นลับ’
ไม่นานกำแพงวิญญาณก็ถูกสร้างเสร็จ พลังวิญญาณของลูเมี่ยนถูกบั่นทอนไปเกือบครึ่ง
อาศัยธูปในบ้านและการเข้าฌาน เด็กหนุ่มทำจิตให้ว่างเปล่าจนพร้อมเริ่มต้นอาคมพิธีกรรม
ท่ามกลางเสียงซู่ ลูเมี่ยนหยดน้ำหอมอำพันสีเงินและผงทิวลิปลงบนเทียนในตำแหน่งเทพ
กลิ่นหอมพิลึกพิลั่นพลันฟุ้งกระจาย ทุกสิ่งดูคล้ายกับภาพมายาในบัดดล
ลูเมี่ยนมองไปที่ ‘โพย’ ข้างแท่นบูชา ถอยหลังหนึ่งก้าว จ้องเทียนที่กำลังเผาไหม้ แล้วตะโกนเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณอย่างหนักแน่น
“ข้าแต่อำนาจแห่งชะตากรรมเอ๋ย!”
……………………………………………………..