ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 63 ข่าวอันน่าพรั่นพรึง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 63 ข่าวอันน่าพรั่นพรึง
ตอนที่ 63 ข่าวอันน่าพรั่นพรึง
“เป็นยังไงบ้าง?” เมื่อเห็นไรอันเดินมา ลีอากับวาเลนไทน์ถามพร้อมกัน
แม้พวกเขาจะเชื่อคำพูดของลูเมี่ยนแล้ว แต่คนเรามักจะคาดหวัง โดยกำลังหวังลึกๆ ว่าปัญหาอาจไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น เพียงเด็กหนุ่มไม่มีความรู้มากพอจนพูดเกินจริงไป
ไรอันมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครอยู่ใกล้ต้นเอล์มจึงกล่าวเสียงขรึม
“ฉันไม่กล้าถามตรงๆ … แต่ยืนยันได้วันที่จริงคือปลายเดือนเมษายน ไม่ทราบตัวเลขที่แน่ชัด”
ลีอากับวาเลนไทน์พลันปิดปากเงียบ
ตนกับเพื่อนร่วมงาน กำลังติดอยู่ในวัฏจักรเวลาพิศวงจริงๆ!
หากคำนึงจากเอกสารและบันทึกต่างๆ นี่มิใช่สิ่งที่พวกเขาสวมควรเผชิญหน้า และไม่มีปัญญาจัดการได้เองอย่างแน่นอน
ทุกคนเป็นผู้วิเศษเจนสนาม ซึ่งเคยผ่านคดีเหนือธรรมชาติมานับไม่ถ้วน แต่นี่คือครั้งแรกที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติพิสดารเช่นนี้
ลีอาหันไปมองลูเมี่ยนอย่างอดไม่ได้
“หมู่บ้านกอร์ตูของพวกเธอเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่?”
มีความผิดปกติอยู่ทุกหัวระแหง แต่ละอันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ลูเมี่ยนทำหน้า ‘ไร้เดียงสา’ “ก่อนจะเข้าสู่วัฏจักรเวลา ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่ทิวทัศน์งดงาม ผู้คนเรียบง่าย นิสัยปกติ และอัธยาศัยดี”
เขาไม่ได้บอกกับคนต่างถิ่นทั้งสามว่า เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ถือว่าไม่ปกติยิ่งกว่าใคร
ไรอันถอนหายใจแล้วพูด
“ฉันไม่เคยพบเจอความผิดปกติมากขนาดนี้ในคราวเดียว แถมแต่ละอันล้วนร้ายแรง”
“นี่เป็นสถานการณ์อันตรายที่สุดที่ฉันเคยเผชิญ” วาเลนไทน์สอดรับ
ลูเมี่ยนที่ค่อนข้างชินแล้ว กล่าวอย่างยียวน
“ไม่เคยพบเจอเป็นเรื่องปกติ เพราะผู้ที่เคยพบเจอ ล้วนตายไปหมดแล้ว”
“…” ลีอาแค่นยิ้มพลางหันไปมองเด็กหนุ่ม “ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็อย่าพูด เด็กอย่างเธอถ้าไปอยู่เมืองอื่น… ไม่ได้โตแน่”
“ถูกขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่ในเปล?” ลูเมี่ยนจิกกัดกับตัวเองพลางหันไปถามไรอัน “แล้วได้คำตอบเรื่องของรองอธิการโบสถ์ไหม”
ไรอันพยักหน้า
“ในช่วงไม่กี่ปีหลัง มีตำนานที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นตามสถานที่ต่างๆ ทั่วทวีปเหนือและใต้”
“ตำนานเล่าว่า แดนสวรรค์ได้ขับไล่กลุ่มเอลฟ์น้อยที่ก่อความผิดลงมายังโลก พวกเขาทำได้เพียงอาศัยในร่างมนุษย์ โดยหวังว่าสักวันจะชดใช้บาปกรรมของตนจนหมด จนได้รับการอภัย และกลับคืนสู่แดนสวรรค์”
“ในบางส่วนของตำนาน เอลฟ์น้อยเหล่านั้นมีลักษณะเป็นกิ้งก่าโปร่งใส”
“เอลฟ์ที่ฉันกำลังพูดถึง ไม่ใช่เอลฟ์โบราณ แต่ใกล้เคียงกับภูตผสมวิญญาณ”
เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ปีหลัง? ลูเมี่ยนจำได้ว่าตำนานของ ‘คุณนายราตรี’ ก็เพิ่งปรากฏในช่วงไม่กี่ปีหลังเช่นกัน
โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว?
เขาคิดอยู่สักพัก แล้วจึงถาม
“มีการกล่าวถึงหรือไม่ว่าเป็นแดนสวรรค์ของเทพองค์ใด?”
ไรอันส่ายหน้า
“เรื่องที่น่าประหลาดก็คือ ทุกคนที่อ้างว่าเคยเห็นเอลฟ์น้อย ล้วนเชื่อว่าเอลฟ์น้อยมาจากแดนสวรรค์ของเทพท้องถิ่น”
เทพท้องถิ่นหมายถึงเทพในจารีตที่คนท้องถิ่นนับถือ
แดนสวรรค์ของทวยเทพสินะ… ลูเมี่ยนเงยหน้ามองท้องฟ้าสีคราม
เอลฟ์น้อยที่เหมือนกิ้งก่านั่น ลงมาจากท้องฟ้า?
แต่ตามคำบอกเล่าของโอลัวร์ เหนือท้องฟ้าสีครามคือผืนนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาว และดาวแต่ละดวงก็เทียบเท่ากับหนึ่งโลก
หรือก็คือ กิ้งก่านั่นเป็นสิ่งมีชีวิตนอกโลก?
หรือมาจาก ‘โลกดารา’ ในศาสตร์เร้นลับ?
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนถามด้วยความสงสัย
ไรอันส่ายหัวอีกครั้ง
“มีเวลาน้อยเกินไป พวกเขาสืบค้นได้เพียงเท่านี้ ถ้าอยากรู้ละเอียดคงต่อติดต่อสำนักงานใหญ่ก่อน”
ถึงตรงนี้ ลีอากล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ฉันเคยได้ยินตำนานเอลฟ์น้อยมาบ้าง…”
“คราวก่อนที่เจอคนจากลุนเบิร์ก เขาเล่าว่าในหลายพื้นที่แถบมัชฌิมทักษิณ ชาวนาเชื่อเรื่องการมีอยู่ของเอลฟ์น้อยจอมป่วนที่เพิ่งอาละวาดช่วงไม่กี่ปีหลัง เอลฟ์พวกนั้นมักทำให้บ้านช่องและทุ่งนายุ่งเหยิง ก่อความวุ่นวายอีกสารพัด จึงถูกเรียกว่า ‘อิวเมอร์ (Humour)’”
แถบมัชฌิมทักษิณ หรือเขตภาคใต้ตอนกลางของทวีป หมายถึงเขตของกลุ่มประเทศเล็กๆ อย่างลุนเบิร์ก มาซิน และเซกัล ยังรวมไปถึงพื้นที่บางส่วนของสาธารณรัฐอินทิส อาณาจักรโลเอ็น และอาณาจักรเฟเนพ็อต
เกือบทั้งหมดตั้งอยู่บนที่ราบสูง เต็มไปด้วยภูเขาและป่าไม้ เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและตำนาน
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนแต่ละเหตุการณ์เชื่อมโยงกัน… ลูเมี่ยนฟังอย่างตั้งใจ
“เห็นว่าเอลฟ์น้อยที่แตกต่างกัน จะมีพฤติกรรมแตกต่างกันด้วย” ไรอันพูดพลางคิด “…กิ้งก่าที่อาศัยในร่างมนุษย์อาจเป็นประเภทชั่วร้ายที่สุด แต่ยังบอกไม่ได้ว่าอันตรายที่สุดไหม… สืบเนื่องจากความผิดปกติมากมายในกอร์ตู เอลฟ์น้อยปรสิตอาจไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเดี่ยวๆ บางที… อาจเป็นเครื่องมือที่ใครสักคนใช้ควบคุมรองอธิการโบสถ์”
กระบวนการคิดชัดเจนมาก… ลูเมี่ยนมองชาวบ้านที่กำลังเดินกลับหลังจากเสร็จธุระส่วนตัว ไม่นานก็หันไปพูดกับพวกลีอา
“บ่ายสามโมงครึ่ง มาเจอกันด้านหลังเนินเขาที่เป็นที่ตั้งปราสาทจวนเจ้าหน้าที่ปกครอง…”
“พวกคุณจะช่วยฉันสืบใช่ไหม?”
“แน่นอน” ไรอันเห็นด้วย
เมื่อเห็นลูเมี่ยนกำลังจะกลับ ลีอารีบตะโกนรั้ง
“แค่นี้?”
“อย่างน้อยเธอก็ควรอธิบายภาพรวมของปราสาท ข้างในมีใครบ้าง คุณนายปัวริสมีความผิดปกติแบบใดบ้าง เราไม่อาจลงมือสำรวจโดยไม่เตรียมตัวล่วงหน้า”
แม้ลูเมี่ยนจะไม่อยากนึกถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณนายปัวริส แต่ก็ต้องยอมรับว่าลีอาพูดมีเหตุผล จึงจำใจกัดฟันข่มความกระอักกระอ่วน เพื่อเล่าเรื่องราวให้จบครบถ้วน
พวกไรอันที่พอจะทราบอยู่ก่อนว่าอีกฝ่ายไม่ปกติ ยังคงทำหน้าตกตะลึงพรึงเพริดทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว ผิวหน้าแต่ละคนดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
ไม่นานลีอาก็หัวเราะจนเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง
“กับฉันน่ะไม่เท่าไรหรอก ยังไงเสีย ในอนาคตก็อาจได้มีประสบการณ์แบบเดียวกันสักครั้ง แต่สำหรับพวกคุณ นี่เป็นโอกาสที่ชายอื่นไม่มีวันได้พบเจอในชีวิต คุณควรรักษาไว้ให้ดีนะ”
วาเลนไทน์ไม่สนใจมุกตลกของเพื่อนร่วมงาน เพียงกระซิบกระซาบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มีแต่สิ่งที่สมควรถูกชำระล้าง… ต้องชำระให้บริสุทธิ์!”
ลูเมี่ยนไม่อยากเติมเชื้อไฟให้กับชายคนนี้ จึงโบกมืออำลาพร้อมกับทิ้งท้าย
“เจอกันตอนบ่าย”
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มหันกลับมามองไรอันแล้วถามหลังจากไตร่ตรอง
“แบร์ตรองด์เห็นข้อความในโทรเลขของคุณไหม”
แบร์ตรองด์คือผู้รับผิดชอบการส่งโทรเลข หากเขารู้วันที่จริงและตำนานเอลฟ์น้อย นั่นหมายความว่าเจ้าหน้าที่ปกครองย่อมต้องทราบ และถ้าเจ้าหน้าที่ปกครองทราบ คุณนายปัวริสก็ต้องทราบ
“ไม่ต้องห่วง” ไรอันพูดเสียงนุ่ม “เราสื่อสารผ่านรหัสลับที่เขาไม่เข้าใจ”
ลูเมี่ยนถอนหายใจโล่งอก เดินออกจากลานจัตุรัสหมู่บ้าน ตรงกลับไปที่บ้านของตน
เดินไปได้สักพัก เด็กหนุ่มเห็นเอวา·ลีซิแยร์กำลังต้อนฝูงห่านขาวกลับบ้าน
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็นางฟ้าใบไม้ผลิของเรานี่เอง” ลูเมี่ยนข่มใจให้ลืมฉากนองเลือดอันโหดร้ายในช่วงท้ายพิธีฉลองมหาพรต พลางทักทายเอวาด้วยมุกตลกตามประสา
เอวาดูเขินๆ
“ฉันยังไม่ได้รับเลือกย่ะ!”
ผิวหน้าอันเรียบเนียนและกระจ่างใสของเธอ ช่วยให้ชุดกระโปรงยาวสีเทาขาวดูหรูหราขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่พลิกโผหรอกน่า” ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ “ฉันกับแรมงด์ก็จะช่วยเธอหาเสียงอีกแรง”
เอวาพลันทำหน้าประหลาดใจ
“นายยังไม่รู้เรื่อง?”
“เรื่องอะไร?” ลูเมี่ยนใจหายวาบ
หรือว่าจะเกิดเหตุการณ์ใหม่ในหมู่บ้าน ที่ผิดแผกไปจากกระบวนการ ‘ประวัติศาสตร์’ ของเดิม?
เอวาเพ่งพินิจใบหน้าเด็กหนุ่ม ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจกำลังอำเธอ
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยสีหน้ากังวล
“แรมงด์หายตัวไป นายยังไม่ได้ยินข่าวหรือ?”
“ฮะ…?” ลูเมี่ยนตกใจจนไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้า
ในวัฏจักรรอบก่อนๆ เขากับแรมงด์·เคร็กก์เจอหน้ากันเกือบทุกวันตั้งแต่ 30 มีนาคมไปจนถึง 5 เมษายนซึ่งเป็นเทศกาลมหาพรต
จนกระทั่งพิธีริมน้ำ พวกเด็กหนุ่มจับแรมงด์โยนลงแม่น้ำเนื่องจากเขาขว้างเครื่องเซ่นเป็นคนสุดท้าย ส่งผลให้แรมงด์ต้องทำเหมือนกับคนอื่นในปีก่อนๆ คือว่ายตามน้ำไปไกลๆ รอให้จบพิธีก่อนจึงจะขึ้นฝั่งกลับบ้านได้ และห้ามออกจากบ้านจนถึงช่วงกลางคืน
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ในอีกสองวัฏจักรให้หลัง ลูเมี่ยนมีหลายสิ่งต้องทำจนไม่ว่างไปเล่นกับแรมงด์เลย
พอรู้ตัวอีกที เอวาก็มาบอกว่าแรมงด์หายตัวไป!
เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นในวัฏจักรรอบก่อนๆ!
เมื่อเห็นสีหน้าของลูเมี่ยน ความกังขาในดวงตาสีน้ำเงินของเอวาพลันสลายไป
“นายไม่รู้เรื่องจริงๆ สินะ…”
“วันนี้พ่อของแรมงด์อาจไปหานายเพื่อถามถึงแรมงด์”
ลูเมี่ยนข่มความสับสนวุ่นวายในใจ แล้วเปิดปากถาม
“แรมงด์หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไร…”
หรือการที่เราไม่ได้คลุกคลีกับเขาตามกระบวนการของ ‘ประวัติศาสตร์’ จะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น?
“สองวันก่อน” เอวาทำหน้านึก “เห็นว่าเขาออกจากบ้านตอนบ่ายของวันที่ 29 แล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย ทีแรกครอบครัวนึกว่าคงเมาอยู่ในร้านเหล้าคร่ำครึ หรือไม่ก็ไปคุยกับ ‘เด็กเฝ้ายาม’ เมื่อคืนก็เลยเพิ่งเริ่มออกตามหา วันนี้น่าจะมาถามนาย…”
หญิงสาวเว้นวรรค หรี่เสียงพูดให้เบาลง
“พวกเขาสงสัยว่าแรมงด์ไม่อยากเรียนเป็นคนเลี้ยงแกะ เลยแอบหนีไปแล้ว”
คิดว่าเราเป็นคนยุยง ก็เลยจะถามคาดคั้นจากเรา? ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจสถานการณ์
คำว่า ‘ตอนบ่ายของวันที่ 29’ ทำให้เขานึกถึงจุดเริ่มต้นของวัฏจักร
ทั้งสองรอบที่เด็กหนุ่มรักษาความทรงจำไว้ได้ ล้วนเริ่มต้นเมื่อบ่ายของวันที่ 29!
หรือก็คือ แรมงด์หายตัวไปตั้งแต่ต้นวัฏจักร? สื่อได้ว่าไม่มีใครจงใจเปลี่ยน ‘ประวัติศาสตร์’ เพราะไม่มีทางลงมือทัน… แล้วทำไมรอบนี้ถึงเกิดความแตกต่างล่ะ? ลูเมี่ยนจมอยู่ในห้วงความคิด
เอวาเหลือบมองเด็กหนุ่มพร้อมกับถามเสียงเบา
“นายรู้ไหมว่าแรมงด์ไปไหน?”
“สองสามวันมานี้ฉันก็ไม่ได้เจอเขาเหมือนกัน” ลูเมี่ยนตอบตามจริง
เขาเริ่มสงสัยว่าการหายตัวไปของแรมงด์ อาจเกี่ยวข้องกับการถูกโยนลงแม่น้ำในวัฏจักรก่อนๆ
แต่ไม่มีทางที่แรมงด์จะออกจากหมู่บ้านกอร์ตู เพราะนั่นจะไปกระตุ้นให้เกิดวัฏจักรรอบใหม่
หลังบอกลากับเอวา ลูเมี่ยนข่มสติอารมณ์แล้วเดินกลับบ้าน
เขาไม่มัวเสียเวลากับประเด็นอื่น รีบบอกโอลัวร์เรื่องการหายตัวไปของแรมงด์ทันที
โอลัวร์ทำหน้าเครียด คิ้วย่นชนกันพลางกระซิบกระซาบ
“ถ้านายไม่พูด ฉันเกือบจะลืมเขาไปแล้ว…”
หญิงสาวอยู่ในชุดกระโปรงยาวเรียบๆ สีชมพูกุหลาบ กำลังเดินวนไปเวียนมา ส่วนลูเมี่ยนลองไตร่ตรองหาต้นสายปลายเหตุ
ผ่านไปสักพัก โอลัวร์หันกลับมามองน้องชาย แล้วกล่าวเสียงขรึม
“ถ้าฉันจำไม่ผิด แก่นแท้ของพิธีริมน้ำคือการถวายเครื่องบูชาแด่ ‘แหล่งน้ำ’ ซึ่งหมู่บ้านกอร์ตูใช้แม่น้ำเป็นตัวแทน… หรือว่าแรมงด์ที่ถูกโยนลงแม่น้ำจะถือเป็นเครื่องเซ่น และถูกตัวตนซ่อนเร้นสักพระองค์นำตัวไปแล้ว?”
“หลังจากนั้น เนื่องจากสสารที่เกี่ยวข้องกับเขาหายไป วัฏจักรจึงแสดงออกมาในรูปแบบของการหายตัว…”
ลูเมี่ยนส่ายหน้า
“ถ้างั้นวัฏจักรก็ต้องเริ่มต้นใหม่สิ”
หากมนุษย์ออกจากหมู่บ้านกอร์ตูหรือละแวกใกล้เคียง วัฏจักรก็ควรถูกล้างใหม่
โอลัวร์ย้อนถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“แล้วถ้าออกไปในรูปแบบศพล่ะ?”
……………………………………………………..