ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 55 จุดขาย
ตอนที่ 55 จุดขาย
ถ้าลูเมี่ยนจำไม่ผิด บ่ายวันนี้ หรือก็คือ 30 มีนาคม ปิแยร์·แบรีจะไปที่โบสถ์เพื่อสวดวิงวอนตามกิจวัตร
ในวัฏจักรแรกสุด เด็กหนุ่มกับแรมงด์ได้เจอกับปิแยร์ในช่วงบ่าย ส่วนในวัฏจักรก่อนหน้า เขาก็ได้เจอกับปิแยร์ที่ลานจัตุรัสในเวลาใกล้เคียงกัน
แต่นี่มันราวๆ บ่ายสามโมงแล้วนะ!
“เขาไปตั้งแต่เมื่อไร” ลูเมี่ยนถามต่อ
มัลตีครุ่นคิดสักพักแล้วตอบ
“ราวๆ หนึ่งไมล์”
ในเขตชนบท นอกจากเรื่องที่มีคนน้อยแล้ว ยังแทบไม่มีใครเป็นเจ้าของนาฬิกา การอธิบายเวลามักอ้างอิงจาก ‘เหตุการณ์’ หรือ ‘สัญลักษณ์’ ตัวอย่างเช่น ‘ฤดูเก็บองุ่น’ หรือ ‘นานประมาณเดินหนึ่งไมล์’
แน่นอน ถ้าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน ชนิดที่ชาวบ้านสามารถกะเกณฑ์ได้ บางส่วนก็จะใช้ว่า ‘ไม่กี่นาที’ หรือ ‘สิบห้านาที’
หนึ่งไมล์? ก็ไม่นานเท่าไร… ลูเมี่ยนนึกว่าปิแยร์·แบรีไปโบสถ์ตั้งแต่บ่าย แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา
หนึ่งไมล์ของหมู่บ้านกอร์ตูเท่ากับหนึ่งกิโลเมตรในหน่วยเมตริกของอินทิส
กล่าวคำอำลากับมัลตี แม่ของปิแยร์ ลูเมี่ยนออกจากบ้านแบรี เดินตรงไปที่ลานจัตุรัสหมู่บ้าน
เขาไม่แน่ใจว่าปิแยร์·แบรีไปโบสถ์ในช่วงบ่ายมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วเพิ่งจะไปอีกรอบ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรสักอย่างจนทำช่วงบ่ายเข้าโบสถ์ไม่ได้
หากเป็นกรณีแรก ลูเมี่ยนสัมผัสถึงคลื่นใต้น้ำ — ไม่ใช่เรื่องปกติที่ปิแยร์·แบรีจะเข้าโบสถ์ไปหาหลวงพ่อถี่ๆ แสดงว่าต้องมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นแน่
แต่ถ้าเป็นกรณีหลัง นั่นคือเรื่องใหญ่!
ก่อนที่ลูเมี่ยนซึ่งรักษาความทรงจำได้ กับโอลัวร์ที่ล่วงรู้เกี่ยวกับวัฏจักร จะลงมือกระทำสิ่งใด ‘ประวัติศาสตร์’ ไม่ควรแตกต่างไปจากเดิม!
ถ้ามันต่างออกไปจริง นั่นอาจหมายถึงสองพี่น้องยังไม่เข้าใจหลักการของวัฏจักรอย่างแท้จริง หรือไม่ก็มีใครสักคน สามารถรักษาความทรงจำได้เช่นกัน
คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยน ‘อ๊ะ’ พร้อมกับยกมือขึ้นมาตบแก้มเบาๆ
เมื่อสักครู่เขาตื่นตระหนกเกินไป จนลืมถามมัลตีว่าปิแยร์ได้ไปโบสถ์ในช่วงบ่ายหรือไม่!
นั่นคือสาระสำคัญ
“ถ้าเดินกลับไปถามคงจะมีพิรุธเกินไป คงต้องแอบถามปิแยร์ระหว่างดื่มเหล้าเท่านั้น” ลูเมี่ยนรีบระงับความงุ่นง่าน เพียงมุ่งหน้าต่อไปยังลานจัตุรัส
เมื่อเข้าไปในโบสถ์สุริยันเจิดจรัส เด็กหนุ่มเห็นหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ยืนอยู่หน้าแท่นบูชาพร้อมกับดอกทานตะวันหลากหลายชนิด โดยหันหน้าเข้าหากลุ่มคนบนม้านั่งแถวแรก บอกไม่ได้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
พอลูเมี่ยนเดินผ่านประตู กิโยม·เบเนต์รีบปิดปากแล้วหันมามอง
แอบวางแผนชั่วกันอยู่หรือไง… ลูเมี่ยนยิ้ม เดินตรงไปที่แท่นบูชา พลางชำเลืองว่ามีใครกำลังฟัง ‘เทศนา’ จากหลวงพ่ออยู่บ้าง
เขาเห็นคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี เห็นอันธพาลปงส์·เบเนต์กับลิ่วล้อ เห็นชู้รักของหลวงพ่อ มาไดนา·เบเนต์และฌิบริล·แบรี เห็นชายคนหนึ่งซึ่งไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ด้วย—อาร์โนลด์·อังเดร ลูกชายคนเล็กของนาโรคา ชาวนาในวัยสี่สิบ
“สวัสดี ปิแยร์…” ลูเมี่ยนทักทายด้วยรอยยิ้มฉาบใบหน้า แต่ก็ต้องชะงักกลางคัน
เดิมทีประโยคหลังคือ ‘ไหนว่าจะเลี้ยงเหล้าฉันไง ทำไมมาอยู่ที่นี่?’ แต่ก็ฉุกใจคิดได้ทันว่า ในวัฏจักรนี้ยังไม่มีการทำข้อตกลงดังกล่าว
นั่นเป็นเหตุการณ์ในวัฏจักรก่อนหน้า และก่อนๆ หน้าเท่านั้น ส่วนในรอบปัจจุบัน ลูเมี่ยนเพิ่งจะได้พบกับปิแยร์·แบรีเป็นครั้งแรก
ในฐานะราชานักแกล้งแห่งกอร์ตู ลูเมี่ยนแก้เกมได้ทันควัน รีบปรับท่าทางร่างกาย หันหน้าเข้าหาแท่นบูชาแล้วกางแขนออก
“สุริยันจงเจริญ!”
ระหว่างทำท่าทางก็สรรหาคำพูดไปด้วย สุดท้ายก็พ่นออกมาทันเวลา
หลังจากเทิดทูนพระอาทิตย์เสร็จ หลังจากหลวงพ่อทำท่าตอบรับ ลูเมี่ยนหันไปหาปิแยร์·แบรีที่นั่งอยู่ริมม้านั่งแถวแรกสุด กล่าวด้วยเสียงเจือความสับสน
“มีคนบอกว่านายกลับถึงหมู่บ้านแล้ว ฉันเพิ่งไปบ้านแบรีมา แต่ปรากฏว่านายมาที่โบสถ์”
เด็กหนุ่มไม่ได้เล่าว่าฟังมาจากใคร ปิแยร์·แบรีที่ใช้ถนนปกติเดินมายังโบสถ์ย่อมต้องถูกพบเห็นบ้างอยู่แล้ว
หรือต่อให้ไม่มีพยานเลยจริงๆ ลูเมี่ยนก็ยังมีตัวสำรอง
พ่อของเอวา ช่างทำรองเท้ากิโยม·ลีซิแยร์
“ตามหาฉันทำไม?” ปิแยร์·แบรีในเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีน้ำเงินแฝงอารมณ์ยิ้มแย้มเจืองุนงง
ลูเมี่ยนเตรียมข้ออ้างไว้แล้ว จึงตอบยิ้มๆ
“ฉันอยากฟังเรื่องเล่าระหว่างทางที่นายไปผลัดถิ่นมา พวกประเทศต่างๆ หมู่บ้านต่างๆ สถานที่ต่างๆ มันจะต้องสนุกมากแน่”
เมื่อก่อนเขาชอบคุยกับคนเลี้ยงแกะที่กลับจากผลัดถิ่น เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลและประสบการณ์ให้กับตัวเอง
โดยไม่รอปิแยร์·แบรีตอบ เด็กหนุ่มละสายตาจากผมสีดำกระเซิงปนมันเยิ้มของอีกฝ่าย ไปยังรองเท้าหนังใหม่เอี่ยม
“รวยแล้วหรือไง?”
“คราวนี้นายจ้างใจดีน่ะ แบ่งของมาให้เยอะเลย” ปิแยร์·แบรีตอบด้วยรอยยิ้ม “ไว้ฉันจะเลี้ยงเหล้านายเอง”
“เอาสิ” นี่คือสิ่งที่ลูเมี่ยนรอคอย
เขายังถามต่อ
“เมื่อไร?”
สมกับเป็นลูกค้าประจำร้านเหล้าคร่ำครึ เพื่อให้ได้ดื่ม ไม่มีคำว่าเหนียมอาย
ปิแยร์·แบรีหันไปมองหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ และได้รับสัญญาณตอบ
“มื้อเย็นไหม?” เขาเสนอ
“ตกลง” ลูเมี่ยนตกปากรับคำทันที
จากนั้น ท่ามกลางสายตาของปิแยร์·แบรี ปงส์·เบเนต์ และหลวงพ่อ เด็กหนุ่มเดินไปนั่งแถวสองของม้านั่งใกล้ๆ
“…” ปิแยร์·แบรีตกตะลึงอยู่สักพัก “นายยังไม่กลับ?”
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ฉันไม่ได้สวดวิงวอนมาพักใหญ่ๆ แล้ว แวะมาทั้งทีก็อย่าให้เสียเที่ยว ไม่อย่างนั้นพระองค์อาจคิดว่าฉันไม่มีความศรัทธา”
“พวกนายทำอะไรกันต่อได้เลย ไม่ต้องสนใจฉัน”
พูดจบ เด็กหนุ่มหลับตาลง ก้มหัวเล็กน้อย ไขว้แขนข้างหน้าลำตัว
ปิแยร์·แบรี กิโยม·เบเนต์ ปงส์·เบเนต์ และคนอื่นต่างมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครทำอะไรต่อ
อดทนรออยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าลูเมี่ยนไม่เลิกสวดวิงวอนเสียที หลวงพ่อเหลือบมองปิแยร์·แบรี กระตุ้นให้อีกฝ่ายไถ่ถาม
ปิแยร์·แบรีเดินมาข้างๆ ลูเมี่ยนแล้วตบบ่า
“นายคิดจะสวดไปถึงเมื่อไร?”
ลูเมี่ยนเปิดตา ตอบด้วยเสียงจริงจัง
“มื้อเย็นล่ะมั้ง? อยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว หลังจากนี้ว่าจะสารภาพบาปด้วย”
หน้าผากหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์พลันกระตุก
มันชำเลืองพวกมาไดนา ฌิบริล ปงส์ และอาร์โนลด์ที่กำลังรออยู่ ถอนหายใจเชื่องช้า ขยิบตาส่งซิกให้ปิแยร์·แบรี พลางเม้มปากไปทางประตู
ปิแยร์·แบรีเข้าใจเจตนาของหลวงพ่อ จึงรีบพูดกับลูเมี่ยน
“ฉันสวดเสร็จแล้ว ไปร้านเหล้าคร่ำครึกันเลยไหม?”
“เยี่ยม!” ลูเมี่ยนลุกพรวด หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่หลงเหลือความสำรวมหรือศรัทธาแม้แต่น้อย
เมื่อสักครู่เด็กหนุ่มค้นพบว่า การมาถึงของตนทำให้หลวงพ่อกับคนอื่นๆ ไม่อาจดำเนินแผนสมคบคิดกันต่อ จึงทู่ซี้นั่งรออย่างยียวนกวนประสาท จนกระทั่งปิแยร์·แบรีถูกบีบให้ต้องออกไปก่อน
เขาเชื่อว่าหลวงพ่อสังเกตเห็นการเสแสร้งของตน แต่ถ้าไม่ถือโอกาสนี้แสดงความแสบสันเสียบ้าง ยังจะเรียกตัวเองว่าเป็นราชานักแกล้งแห่งหมู่บ้านกอร์ตูได้อยู่หรือ?
เด็กหนุ่มต้องรักษา ‘จุดขาย’ เอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย!
ลูเมี่ยนนึกเสียดาย ป่านนี้พี่สาวของตนคงออกไปบ้านแบรีแล้ว เพื่อพูดคุยกับแกะทั้งสาม ไม่อย่างนั้นจะบอกให้ส่งเจ้ากระดาษขาวมาที่โบสถ์เพื่อสอดแนมหลวงพ่อกับกลุ่มก๊วน มั่นใจมากว่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แน่นอน
อาจได้ลองทำในวัฏจักรหน้า… แต่ปิแยร์·แบรีจะรู้สึกตัวไหมว่ากำลังถูกสอดแนม? หมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดา อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าหลวงพ่อที่ยังเป็นมนุษย์ปกติ… สายธารความคิดพัวพันกันในหัวลูเมี่ยน ระหว่างนั้นก็เดินตามคนเลี้ยงแกะปิแยร์ออกจากโบสถ์ ปลายทางคือร้านเหล้าคร่ำครึ
…
ในคอกแกะหลังบ้านตระกูลแบรี
โอลัวร์ที่สวมชุดกระโปรงยาวผูกเอวสีขาว เดินออกมาจากป่าเล็กๆ แล้วปีนข้ามรั้วไม้
ด้วยความที่เป็นหญิงงามแต่ไม่ค่อยได้ออกนอกบ้าน เธอจำใจต้องเลือกเส้นทางลับๆ ล่อๆ ไม่เช่นนั้นอาจถูกชวนคุยกลางทาง หรือไม่ก็อาจถูกสงสัย
“เมื่อไรจะได้เรียนศาสตร์ล่องหนกับอำพรางเงาสักทีนะ…” โอลัวร์ถอนหายใจแผ่วเบา พลางเดินเข้าหาแกะสามตัวที่ยืนเบียดกันข้างกองหญ้า
ขณะเดิน หญิงสาวกล่าวด้วยภาษาชาวที่ราบสูง
“ไม่ต้องกลัว ฉันคือศัตรูของคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี”
ดวงตาของแกะสามตัวที่มีขนสีน้ำตาลมอมแมม พลันแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ เริ่มจากความกังวลปนหวาดระแวง แล้วกลายเป็นคาดหวังเจือสับสน
พวกมันเลิกถอยหลังหนี เพียงยอมให้โอลัวร์เข้ามาใกล้
หญิงสาวกล่าว
“ฉันค้นพบความพิเศษของพวกคุณแล้ว เดิมทีเคยเป็นมนุษย์สินะ”
ทันใดนั้น ดวงตาของแกะทั้งสามเปลี่ยนเป็นตะลึงงัน ปีติยินดี แฝงไว้ด้วยอารมณ์คาดหวังปนสงสัยเช่นเดิม พลางส่งเสียงร้องแบะๆ ตามสัญชาตญาณ
โอลัวร์เหลือบมองแล้วพูด
“พวกคุณพูดไม่ได้ แต่เขียนได้ใช่ไหม”
หนึ่งในสามแกะชะงักราวๆ หนึ่งวินาที แล้วจึงเริ่มวาดบนดิน
เป็นภาษาที่ราบสูงง่ายๆ
“ใช่”
พวกเขาเคยเป็นคน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกคุณถึงกลายเป็นแกะ?” โอลัวร์คิดสักพักแล้วรีบเสริม “เอาเป็นว่า พวกคุณแบ่งกันเขียน คนหนึ่งเล่าต้นเรื่อง อีกคนกลางเรื่อง และอีกคนท้ายเรื่อง จะได้ประหยัดเวลา”
แกะทั้งสามแบ่งงานกันเร็วๆ แล้วใช้กีบเขียนข้อความบนผิวดิน
ผ่านไปไม่นาน พวกเขาทุกคนเขียนในส่วนของตัวเองเสร็จ
“พวกเราถูกจับ”
“มีพิธีกรรม”
“ถูกห่อด้วยหนังแกะ จนกลายเป็นแกะ”
อาคมพิธีกรรมที่ใช้หนังแกะเปลี่ยนคนให้เป็นแกะ… หึ! แบบนี้ง่ายกว่าการเสกคนให้เป็นแกะตรงๆ ตั้งเยอะ… คำถามก็คือ พิธีกรรมนั้นสวดวิงวอนไปถึงใคร? โอลัวร์ถามต่อระหว่างที่ความคิดยังคงพัลวัน
“คนที่จับพวกคุณคือปิแยร์·แบรีใช่ไหม? มีแค่เขาคนเดียว?”
เธอต้องการยืนยันสถานะของคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี รวมถึงความแข็งแกร่งในปัจจุบัน
“ใช่” หนึ่งในสามแกะเขียน
แกะอีกตัวเขียนว่า
“ยังมีพวกพ้องอีกหนึ่งคน ทั้งคู่แข็งแกร่งมาก”
ก่อนจะกลับถึงหมู่บ้าน ปิแยร์·แบรีแข็งแกร่งอยู่ก่อนแล้ว? ทันใดนั้น โอลัวร์เริ่มพบความไม่ชอบมาพากล
ปิแยร์·แบรีที่แข็งแกร่งเพียงนั้น เหตุใดถึงทำตัวราวกับเป็นลูกน้องของหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์?
ตอนนี้กิโยม·เบเนต์ควรจะเป็นแค่คนธรรมดา!
…………………………………………………….