ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 47 “ไร้การศึกษา” จริงๆ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 47 “ไร้การศึกษา” จริงๆ
ตอนที่ 47 “ไร้การศึกษา” จริงๆ
โอลัวร์หันมามองผ้าปูโต๊ะสีขาวที่มีคราบเปื้อนเล็กน้อย แล้วหันไปยิ้มกับลูเมี่ยน
“ถ้าเป้าหมายของอาคมพิธีกรรมคือตัวเราเอง จะมีคราบเล็กคราบน้อยบนแท่นบูชาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องการขอพรจากเทพหรือการดำรงอยู่ลึกลับ ฉันแนะนำว่าควรเปลี่ยนเป็นผ้าที่สะอาดกว่านี้ หรือไม่ก็ดึงผ้าออกแล้วเช็ดโต๊ะแทน”
“แต่ถ้าขอพรกับตัวเอง จะยังไงก็ได้ใช่ไหม?” ลูเมี่ยนอดติดตลกไม่ได้
โอลัวร์หัวเราะเบาๆ
“สภาพแวดล้อม วัสดุ และอุปกรณ์น่ะจะยังไงก็ดี แต่ขั้นตอนต่างๆ ของพิธีกรรม รวมถึงคาถา ยังคงต้องเคร่งครัดตามกฎของศาสตร์เร้นลับ”
พูดจบ หญิงสาวหยิบเทียนสีส้มออกจากกระเป๋าลับ
“นี่เป็นเทียนกลิ่นส้มผสมลาเวนเดอร์ อันนี้ไม่เกี่ยวกับขอบเขตของใคร ฉันแค่ชอบส่วนตัว”
หญิงสาววางเทียนไว้ในส่วนลึกของ ‘แท่นบูชา’ ตรงหน้า
“จำไว้นะ เทียนที่แทนเทพต้องวางไว้สองตำแหน่งนี้ แต่วันนี้เราจะปล่อยว่างเอาไว้”
จากนั้น หญิงสาววางเทียนไว้ใกล้กับตัวเอง
“ส่วนนี่คือตำแหน่งเทียนที่แทน ‘ตัวเอง’”
หลังจากวางเทียน โอลัวร์เดินไปหยิบแก้วน้ำสะอาด จานเกลือหยาบ และแก้วโลหะใบเล็กมาจากในครัว
“ต่อไปคือการสร้างสภาพแวดล้อมของพิธีกรรมให้สะอาดและไม่ถูกรบกวน จงจำเอาไว้ว่า เราต้องใช้พลังวิญญาณสร้างความสะอาดขึ้นมาเอง”
“ทำได้โดยการเข้าฌาน เพ่งสมาธิ และแผ่พลังวิญญาณผ่านตัวกลาง เพื่อสร้างกำแพงวิญญาณล้อมรอบแท่นบูชา”
“สำหรับ ‘ผู้ส่องความลับ’ หรือ ‘นักทำนาย’ จะทำขั้นตอนนี้ได้ง่ายมาก แต่ในกรณีของ ‘นักล่า’ ก่อนถึงลำดับ 7 ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากวัตถุดิบเสริม เช่น ธูปที่ช่วยให้จิตใจสงบและว่างเปล่า หรือ ลูกแก้วที่ช่วยให้พลังวิญญาณพลุ่งพล่านและจดจ่อมากขึ้น”
“จริงสิ…การเข้าฌานที่ฉันเคยสอนนายไป มันยังไม่สมบูรณ์หรอกนะ เป็นแค่ขั้นแรก ใช้ได้แค่รวบรวมความคิดและสงบสติอารมณ์…ไว้จะหาโอกาสสอนขั้นถัดไปให้”
วิธีเข้าฌานก่อนหน้านี้ยังไม่สมบูรณ์? แล้วทำไมเราถึงสามารถกระตุ้นความพิเศษในฝัน จนสองสัญลักษณ์นั่นโดดเด่นออกมา? ลูเมี่ยนสงสัยเล็กๆ
โอลัวร์หยิบกริชเงินออกจากกระเป๋าลับในเสื้อผ้า
“ฉันจะสร้างกำแพงวิญญาณ คอยดูให้ดี”
ลูเมี่ยนมองด้วยความตะลึง จนเผลอถามออกมา
“พี่ซุกของไว้กี่อย่างกันแน่เนี่ย?”
ไล่ตั้งแต่วัตถุดิบสำหรับเวทมนตร์ กล้องส่องทางไกลขนาดเล็กที่ยืดหดได้ ขมวดหมึกเล็กๆ สำหรับเก็บเจ้ากระดาษขาว และเทียนไขพิธีกรรม มาตอนนี้ยังหยิบกริชเงินออกมาได้อีก
โอลัวร์ถอนหายใจอย่างอ่อนแรง
“คิดว่าฉันอยากทำหรือไง? นี่คือความลำบากของจอมเวท!”
“จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ละทีก็นานโข บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ฉันเป็นโดราเอมอนหรือเปล่า ที่สามารถหยิบอะไรก็ได้ออกมา”
“ดาราเอมอนอะไรนะ?” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจศัพท์แปลกๆ ที่พี่สาวพูดในครึ่งหลังของประโยค
โอลัวร์ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าหลากอารมณ์
“นายไม่ต้องรู้หรอก”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลูเมี่ยนสัมผัสได้ว่าพี่สาวของตนกำลังเศร้า
โอลัวร์รีบดึงอารมณ์กลับ แล้วยื่นมือขวาไปทางเทียนไขสีส้มที่แทนตัวเอง
“ในอาคมพิธีกรรม เราไม่ควรจุดเทียนด้วยวิธีการปกติ…จริงอยู่ บางครั้งการทำแบบนั้นก็ได้ผล แต่ไม่ใช่วินัยที่ดี” โอลัวร์เริ่มอธิบาย “สิ่งที่ถูกต้องคือการแผ่พลังวิญญาณออกไป เสียดสีกับด้ายเทียนไขเพื่อจุดไฟ”
ขณะพูด เทียนไขเริ่มมีเปลวไฟสีส้มลุกโชน
แสงสว่างแผ่ปกคลุมโต๊ะกินข้าวที่ถูกแปลงโฉมเป็น ‘แท่นบูชา’ รวมถึงบริเวณโดยรอบ สร้างบรรยากาศลึกลับและน่าอัศจรรย์เล็กๆ
รู้ตัวอีกที นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของโอลัวร์เปลี่ยนเป็นสีเข้ม รอบตัวมีลมที่มองไม่เห็นพัดผ่าน
“…”
ลูเมี่ยนฟังอย่างไม่เข้าใจ พลางมองดูพี่สาวชักกริชเงินกลับหลังจากท่องคาถาจบ แล้วจุ่มลงในแก้วน้ำใสก่อนจะยกขึ้น
โอลัวร์นำปลายกริชเงินชี้ออกไปด้านนอก เดินวนรอบแท่นบูชา ในทุกย่างก้าว ลูเมี่ยนสัมผัสถึงพลังล่องหนที่พุ่งออกจากกริชเงินอย่างมีชีวิตชีวา
พวกมันรวมตัวกับอากาศ ก่อกำเนิดกำแพงล่องหนที่ลมพัดเข้ามาไม่ได้
เมื่อโอลัวร์เดินครบหนึ่งรอบ ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนพี่สาวหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอื่น
“จำทุกขั้นตอนได้ไหม? เห็นชัดไหม?” เสียงของโอลัวร์ดู ‘ไกล’ กว่าเดิม
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับอย่างซื่อตรง
“เห็นทุกอย่างชัดเจน แต่ไม่เข้าใจภาษาที่พี่ท่อง”
โอลัวร์อดยิ้มไม่ได้
“นายนี่นะ ไร้การศึกษาในศาสตร์เร้นลับจริงๆ”
“นั่นเป็นภาษาเฮอร์มิส แปลออกมาได้ว่า”
“ข้าขอชำระล้างเจ้าให้บริสุทธิ์ เจ้ากริชเงินแท้!”
“ข้าทำความสะอาดเจ้า ชำระล้างเจ้า เพื่อให้เจ้าคอยรับใช้ข้าในพิธีกรรม!”
…
“ในนามของจอมเวทโอลัวร์·ลี”
“เจ้าบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว!”
ลูเมี่ยนเกาหัว
“ฟังดูธรรมดาจัง”
“คำแปลมันก็อย่างนี้แหละ สิ่งสำคัญคือความหมายของคาถา รวมถึงภาษาที่ใช้” โอลัวร์กลอกตามองบน ทำหน้านึก “ถ้านายใช้ภาษาอินทิส มันอาจฟังดูธรรมดา แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นภาษาที่สามารถระดมพลังเหนือธรรมชาติ เช่นภาษาเฮอร์มิส เฮอร์มิสโบราณ เอลฟ์ มังกร คนยักษ์ ผลลัพธ์จะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง”
ลูเมี่ยนถามอย่างสงสัย
“มีแค่ภาษาเหล่านี้ที่สามารถสื่อสารกับพลังเร้นลับ?”
“ไม่ใช่ ในศาสตร์เร้นลับยังมีภาษาอื่นๆ อีกมากที่สามารถระดมพลังเหนือธรรมชาติ เช่นภาษาสำหรับสื่อสารกับวิญญาณ แต่ผู้วิเศษส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้กัน เว้นแต่จะอยากศึกษาในขอบเขตที่พิเศษและหายาก หรือใช้สำหรับทำพิธีกรรมบางอย่าง” โอลัวร์อธิบายไปเรื่อยๆ
เธอเล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับคาถาที่เพิ่งท่อง
“ขณะทำพิธีชำระล้างกริชเงิน ประโยครองสุดท้ายควรจะใช้ชื่อของเทพหรือการดำรงอยู่ลึกลับ แต่เราเป็นผู้วิเศษเถื่อน ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง จะได้ไม่ต้องเสี่ยงเผชิญกับปัญหา”
“ในฐานะผู้วิเศษ หากต้องการชำระล้างวัตถุทั่วๆ ไป แค่ใช้นามของตัวเองก็ถือว่าเพียงพอ แม้ผลลัพธ์อาจไม่เท่ากับวิธีดั้งเดิม แต่ก็กล้อมแกล้มไปได้”
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับก่อน แต่ไม่นานก็ผุดข้อสงสัย
“ชื่อของฉันน่ะ… พี่เพิ่งตั้งให้ทีหลัง สามารถใช้ในพิธีกรรมได้ไหม?”
“ได้สิ” โอลัวร์ตอบอย่างมั่นใจ “ชื่อที่ตั้งใหม่ๆ เลยไม่ได้ แต่ชื่อของนายถูกใช้มาหลายปีแล้ว มีความเชื่อมโยงกับศาสตร์เร้นลับแล้ว”
หญิงสาวเว้นวรรคแล้วพูดต่อ
“ระหว่างประกอบพิธีชำระล้างวัตถุ ถ้าอยู่กลางป่าเขาและมีอุปกรณ์ไม่มาก ใช้แค่เกลือหยาบหรือน้ำสะอาดก็เพียงพอ”
พูดจบ โอลัวร์หยิบขวดโลหะสีเงินดำใบเล็กจากกระเป๋าลับ สูงเกือบเท่านิ้วชี้ของเธอ
“นี่คือน้ำมันหอมระเหยที่ฉันทำขึ้นเอง ชื่อ ‘พ่อมดแห่งเมืองออซ’ จุดเด่นคือกลิ่นหอม” เธอหยดน้ำยาสีเขียวอ่อนสามหยดลงบนเทียนที่แทนตัวเอง
เมื่อเกิดเสียงซู่ แสงเทียนพลันหม่นหมอง หมอกบางๆ กระจายออกไป ช่วยให้โอลัวร์และแท่นบูชาตรงหน้ายิ่งดูลึกลับ
“ถัดจากนี้คือจุดสำคัญ” โอลัวร์หยิบกระดาษหนังแกะแผ่นเล็กออกจากถุงลับ “ถ้าจะใช้อาคมพิธีกรรมเพื่อขอพรจากเทพ นายต้องวาดสัญลักษณ์ของสิ่งที่จะขอลงบนกระดาษ และเผามันในพิธี”
“คาถาแบ่งเป็นหลายส่วน ส่วนแรกคือ นายจะวิงวอนถึงใคร? คำว่า ‘ใคร’ ที่ต้องเติมลงไป เป็นได้สัญลักษณ์ของเทพ พระนาม หรือขอบเขตอำนาจของพระองค์ ยกตัวอย่างเช่น ‘ข้าวิงวอนขอพลังแห่งสุริยัน’ หรือ ‘ข้าวิงวอนขอพลังแห่งกฎระเบียบ’ จงจำไว้ว่า โดยรวมมีสองประโยค สอดคล้องกับเทียนสองเล่มที่แทนพระองค์”
“ส่วนที่สอง ‘ข้าวิงวอนขอพระกรุณาจากพระองค์’ จำเอาไว้ ห้ามเอ่ยพระนามของเทพตรงๆ เด็ดขาด การทำเช่นนั้นในพิธีกรรมเท่ากับเป็นการดูหมิ่น สำหรับสุริยันเจิดจรัส นายสามารถเรียกว่า ‘พระองค์’ หรือ ‘พระบิดา’”
“ส่วนที่สามคือ สิ่งที่นายต้องการจะขอ ต้องจบภายในประโยคสั้นๆ หนึ่งประโยค”
“ส่วนที่สี่คือ การเสริมพลังให้กับคาถา เช่น ‘ดอกทานตะวันแห่งสุริยันเอ๋ย ช่วยเสริมพลังแก่คาถาของข้าด้วย’ นายสามารถเอ่ยถึงวัตถุดิบตามจำนวนที่ใช้”
“หลังจากท่องคาถาเสร็จ ให้หยดน้ำมันหอมระเหยลงบนเทียนทุกเล่ม จากนั้นก็เผากระดาษที่วาดสัญลักษณ์ รอให้กระดาษไหม้จนหมด พิธีกรรมจึงถือเป็นอันสิ้นสุด จากนั้นก็กล่าวขอบคุณพระองค์ ดับเทียนตามลำดับ เริ่มจากเทียน ‘ตัวเอง’ ต่อด้วยเทียนของ ‘เทพ’ จากขวาไปซ้าย และยกเลิกกำแพงวิญญาณ…ลืมบอกไป ลำดับในการจุดเทียนเริ่มจาก ‘เทพ’ ซ้ายไปขวา จึงค่อย ‘ตัวเอง’”
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับสองครั้ง
“แล้วถ้าสวดวิงวอนถึงตัวเองล่ะ”
โอลัวร์ยิ้ม
“คาถาจะง่ายกว่า ฉันจะยกตัวอย่างการอัญเชิญสิ่งมีชีวิตของโลกวิญญาณก็แล้วกัน”
“ส่วนแรกเป็นคำสั้นๆ นั่นคือการตะโกนว่า ‘ตัวข้า’ ด้วยเสียงต่ำ… จงจำไว้ว่า ตรงนี้ไม่สามารถใช้ภาษาเฮอร์มิส ต้องเป็นเฮอร์มิสโบราณ หรือเอลฟ์ มังกร คนยักษ์”
“ส่วนที่สองคือ ‘ขออัญเชิญในนามของข้า’ หลังจากตรงนี้ไปสามารถพูดด้วยภาษาเฮอร์มิสได้”
“ส่วนที่สามก็คือ คำนิยามที่เฉพาะเจาะจงถึงวิญญาณที่ต้องการอัญเชิญ”
“คำนิยามที่เฉพาะเจาะจง?” ลูเมี่ยนถามต่อ
โอลัวร์อธิบายอย่างจริงจัง
“คำนิยามตรงนี้จะมีได้ไม่เกินสามประโยค ไว้สำหรับระบุตัวสิ่งมีชีวิตของโลกวิญญาณที่ต้องการอัญเชิญ”
“ฉันขอยกตัวอย่าง ถ้าวันนี้มีคนต่างถิ่นมาบอกว่า ‘เราต้องการพบราชานักแกล้งแห้งหมู่บ้านกอร์ตู น้องชายทึ่มของโอลัวร์·ลี ลูกค้าประจำของร้านเหล้าคร่ำครึ’ ทุกคนก็จะรู้ทันทีว่าเขาอยากพบใคร”
“อย่างนี้นี่เอง!” ลูเมี่ยนพลันกระจ่าง “ในกรณีที่เราไม่รู้ชื่อ หน้าตา หรือที่อยู่ของอีกฝ่าย เราจะนิยามด้วยจุดเด่นด้านอื่นๆ แทน”
โอลัวร์กล่าวเสียงขรึม
“นั่นคือในทางหลักการ แต่ปฏิบัติจริงยุ่งยากกว่ามาก”
“การอัญเชิญวิญญาณจากโลกวิญญาณน่ะ ประโยคแรกมักตายตัว ถ้าไม่ใช่ ‘วิญญาณที่เตร็ดเตร่ในโลกมายา’ ก็ต้องเป็น ‘วิญญาณที่เตร็ดเตร่ในโลกเบื้องบน’ …หน้าที่ของประโยคนี้คือการระบุไปถึงโลกวิญญาณ และชี้แจงให้กระจ่างว่าเราต้องการอัญเชิญวิญญาณ”
“ประโยคที่สองก็ค่อนข้างตายตัวเช่นกัน ลองนึกดูนะ คงไม่มีใครอยากถูกฆ่าโดยวิญญาณที่อัญเชิญออกมา ดังนั้นต้องตีกรอบว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเป็นมิตร และบางครั้ง เรายังต้องเพิ่มคำว่า ‘อ่อนแอ’ เข้าไปด้วย เพราะในหลายกรณี วิญญาณอาจเป็นมิตรจริงๆ แต่การดำรงอยู่ของมันสร้างอันตรายแก่เรา”
“คำนึงจากเงื่อนไขดังกล่าว คำนิยามจึงถูกจำกัดในวงแคบ เช่น ‘สิ่งมีชีวิตเป็นมิตรที่ยอมจำนน’ หรือ ‘สิ่งมีชีวิตเป็นมิตรที่สามารถให้คำปรึกษา’ หรือ ‘สิ่งมีชีวิตอ่อนแอซึ่งยอมจำนน’ หรืออะไรทำนองนี้”
“เพียงสองประโยคข้างต้น นิยามจะยังกว้างอยู่ ยังไม่สื่อถึงความต้องการของเรา ไม่รู้เลยว่าจะอัญเชิญวิญญาณแบบใดออกมา ดังนั้น ประโยคที่สามจึงสำคัญมาก นายต้องชี้แจงความต้องการให้ชัดเจนภายในประโยคเดียว”
“ยากจังแฮะ” แค่ลองคิดตามเล็กน้อย ลูเมี่ยนก็รู้สึกปวดหัว
โอลัวร์พยักหน้า
“ไม่เพียงยาก แต่ยังอันตราย”
“หากทิศทางไม่ชัดเจน นายอาจอัญเชิญวิญญาณที่ไม่ต้องการออกมา หรืออาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่นำมาซึ่งความเสี่ยง…ต้องจำเอาไว้ว่า ในหลายกรณี วิญญาณอ่อนแอก็ใช่ว่าจะฆ่านายไม่ได้ กลับกัน วิญญาณเป็นมิตรก็ใช่ว่าจะไม่นำมาซึ่งอันตราย”
…………………………………………………….