ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 465 วง
ตอนที่ 465 วง
……….
รวมตัว…โชคชะตาลิขิตไว้แล้ว…อย่าบอกนะว่าเป็นห้อง 7 ของอัวซอง·ซ็องซงกับครอบครัว? ลูเมี่ยนผุดความคิดวาบหนึ่ง โดยปราศจากความลังเลใดๆ เด็กหนุ่มรีบกระตุ้นรอยประทับสีดำบนไหล่ขวาตัวเอง
ข้ามโลกวิญญาณ!
เขากับจินนาหายตัวไปทันที จุดหมายคือหน้าประตูโรงแรมระกาทอง เนื่องจากยังไม่เคยไปยังถนนใหญ่ตลาดของโลกในภาพวาด เขาจึงไม่ทราบพิกัดของ ‘โลกวิญญาณ’ ตรงนั้น
โลกวิญญาณของโลกในภาพวาดยังคงประกอบด้วยก้อนสีหนาแน่นซ้อนทับกัน รวมถึงร่างประหลาดโปร่งใสนับไม่ถ้วนเช่นกัน มีเพียง ‘ด้านบนสุด’ เท่านั้นที่แปลกไป ริ้วแสงทั้งเจ็ดที่เคยดูสว่างบริสุทธิ์ ยามนี้ขุ่นมัวพอสมควร เหมือนมีแผ่นกระจกฝ้ากั้นอยู่หลายชั้น
ลูเมี่ยนอาศัยการนำทางของพลังวิญญาณ กำหนดเป้าหมายไปยังพิกัดของประตูทางเข้าโรงแรมระกาทอง
เขากับจินนาหลุดพ้นจากโลกวิญญาณในพริบตา แล้วปรากฏตัวอีกครั้งบนถนน
ทว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าลูเมี่ยนคือบ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว ซึ่งเป็นตำแหน่งเมื่อครู่ของตนกับจินนา
พวกเขาไม่อาจออกจากถนนเส้นนี้ เพื่อเข้าสู่ถนนอลเวงซึ่งอยู่ห่างกันเพียงเจ็ดแปดเมตรเท่านั้น
คนในวง…เรากับจินนาติดอยู่ใน ‘วง’ แล้วหรือ? ลูเมี่ยนเอียงหน้า ไม่แปลกใจเลยที่เห็นสตรีลึกลับ ผู้น่าจะเป็นห้อง 7 ของ ‘หอพัก’ กำลังยืนห่างออกไปสี่ห้าเมตร โดยอยู่ฝั่งเดียวกับพวกตนสองคน
“อัวซอง·ซ็องซง?” ลูเมี่ยนถามเสียงเข้ม
เด็กหนุ่มละทิ้งความคิดที่จะ ‘เทเลพอร์ต’ ชั่วคราว เพราะความพยายามเมื่อครู่ถูกพิสูจน์แล้วว่า มันไม่ช่วยให้หนีออกจากถนนเสื้อนอกขาวได้
ระหว่างที่ลูเมี่ยนเปิดฉากเจรจา จินนาก็แอบหยิบกระจกอย่างเงียบเชียบ เตรียมใช้มนตร์ดำโจมตีด้านหลังศัตรู
เธอเห็นว่าชาร์ลถามไถ่ในจังหวะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ แทนที่จะเปิดฉากกระหน่ำโจมตีรวดเดียว คงหวังจะเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู เพื่อเปิดโอกาสให้ตนลอบสังหารในพริบตา
แม้จินนาเคยได้ยินลูเมี่ยนเล่าว่า อัวซอง·ซ็องซงคือ ‘คนในวง’ ลำดับ 4 แห่งเส้นทางชะตากรรม เป็น ‘นักบุญ’ แห่ง ‘พร’ เป็นครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ตัวจริง เมื่อเทียบกับผู้วิเศษลำดับต่ำถึงกลางแล้ว ฝีมือแตกต่างกันรอบด้านราวฟ้ากับเหว ต่อให้ทีมเล็กผนึกกำลังกันก็ไม่ใช่คู่ต่อกร แต่เธอเชื่อว่าต้องหาทางลองสู้ดูสักตั้ง ไม่ควรละทิ้งการต่อต้านไปง่ายๆ
สตรีในชุดสีขาวเจ้าของใบหน้าสะสวย เมื่อได้ยินคำถามลูเมี่ยน ก็พลันอมยิ้มอย่างล่องลอยแปลกแยกอีกครา
“ดูท่าจะรู้มาไม่น้อยเลยนะ…”
‘เธอ’ ยังพูดไม่ทันขาดคำ ลูเมี่ยนก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า พร้อมกับส่งเสียง ‘ฮึ่ม’ ออกมา
ลำแสงสีขาวสองสายพุ่งออกจากรูจมูกของเด็กหนุ่ม กระแทกร่างสตรีลึกลับผู้น่าจะเป็น ‘ห้อง 7’
ถึงแม้อานุภาพของ ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ จะถูกยกระดับหลังจากที่เขาเลื่อนเป็นลำดับ 6 แต่ลูเมี่ยนก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลกับนักบุญ อย่างมากก็แค่ทำให้อีกฝ่ายสั่นไหวแผ่วเบา
ที่ลูเมี่ยนเลือกทำเช่นนี้ แทนการสวมถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ เพื่อมุ่งสร้างผลข้างเคียงเชิงลบต่อ ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ เป็นเพราะในฐานะ ‘นักวางแผน’ ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม เด็กหนุ่มสังเกตเห็นรายละเอียดอย่างหนึ่ง
ตนกับจินนาติดอยู่ใน ‘วง’ แล้ว แต่อัวซอง·ซ็องซงกลับไม่ออกจากห้องหมายเลข 7 เลย เอาแต่สิงสถิตอยู่ในร่างสตรีหน้าตาสะสวยผู้นั้น
ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าไม่ปกติ
อีกฝ่ายอาจมีผลข้างเคียงเชิงลบจากพลังพันธสัญญา ทำให้กลายเป็นคน ‘เย่อหยิ่งจองหอง’ หรือไม่ก็ติดขัดด้วยเหตุผลบางประการจนไม่อาจสละ ‘ห้อง’ ใน ‘หอพัก’
เมื่อผนวกเข้ากับข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ ที่ว่าโลกในภาพวาดกับ ‘หอพัก’ อาจเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ลูเมี่ยนเอนเอียงไปทางอย่างหลังมากกว่า
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วิชา ‘ฮึ่มฮ่า’ ของฉันอาจไร้ผลกับแก ใช่ว่าจะไร้ผลกับ ‘ห้อง’ ของแก!
เธอก็แค่นางแบบมนุษย์ที่ถูกเส้นทาง ‘จิตรกร’ ทำให้แปดเปื้อน ถูกวาดลวดลายพิเศษลงไป เทียบได้กับสัตว์ประหลาดลำดับกลางๆ เท่านั้น!
พร้อมกับลำแสงสีขาวสองสายที่พุ่งชน สตรีในชุดสีขาวหน้าตาสะสวยก็สลบเหมือดทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน วิสัยทัศน์ของลูเมี่ยนกับจินนาพลันพร่ามัว ศีรษะเริ่มวิงเวียนมึนงง
จนกระทั่งกลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง ทั้งสองพบว่าพวกตนกลับมาอยู่หน้าบ้านเลขที่ 3 บนถนนเสื้อนอกขาว กำลังจดจ้องหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสายเดี่ยวสีขาว ผู้มีใบหน้าสะสวยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนเยื้องๆ
หญิงสาวหยักมุมปาก แต่มิได้ทวนซ้ำคำพูดที่เคยเอ่ยในการพบกันคราวก่อน
คนในวง!
ลูเมี่ยนทราบได้ทันที ตนกับจินนาติดอยู่ในวงวนซ้ำซากเข้าแล้ว ซึ่งการโจมตีห้อง 7 สำเร็จ คือจุดกระตุ้นให้เกิดการเริ่มต้นใหม่
ในทำนองเดียวกัน เด็กหนุ่มยังยืนยันได้ด้วยว่า อัวซอง·ซ็องซงกับครอบครัวมิอาจออกจากห้อง 7 จนกว่าบางเหตุการณ์จะจบลง พวกเขาทำได้เพียงส่งอิทธิพลในเชิง ‘อุปสรรค’ ออกสู่โลกภายนอกเท่านั้น มิเช่นนั้น ป่านนี้ก็ต้อง ‘เปิดประตู’ ออกมาเผชิญหน้าลูเมี่ยนเต็มกำลังแล้ว โดยหวังจับกุมเป้าหมายผู้มีผนึกเทวทูตภายในตัว ด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด!
ต่อให้อัวซอง·ซ็องซงมีผลข้างเคียงเชิงลบเป็น ‘ความเย่อหยิ่งจองหอง’ แต่ลูกๆ ทั้งสามไม่มีทางเป็นแบบนั้นทุกคน!
ลูเมี่ยนไม่ลังเล ถ่ายโอนความคิดเข้าสู่ฝ่ามือขวาโดยตรง
ฝ่ามือของเขาปรากฏรอยแผลเป็นสีแดงจำนวนหนึ่งทันที
กลิ่นอายแปลกประหลาดที่บ้าคลั่งสุดขั้ว ดุร้ายโหดเหี้ยม และสูงส่งเหนือผู้ใด พลันพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ประหนึ่งต้องการ ‘ทอดพระเนตร’ ลงมายังผืนแผ่นดินแห่งนี้
อลิสต้า·ทูดอร์!
ลูเมี่ยนกระตุ้นตราประทับของ ‘จักรพรรดิโลหิต’
ในโลกความจริง การกระทำเช่นนี้แทบจะไร้ประโยชน์ อย่างมากก็มีผลให้มนุษย์กับสิ่งรอบข้างรู้สึกหวาดกลัว สั่นเทิ้มเบาๆ เท่านั้น ทว่าปฏิกิริยาของโลกในภาพวาดกลับเกินความคาดหมายของลูเมี่ยน
ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงกะทันหัน ดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันตกเปรอะเปื้อนสีเหล็กประปราย แกว่งไกวซ้ายขวาไปมา
ถนนเสื้อนอกขาวกับทั่วทั้งมิติ ประหนึ่งเผชิญกับแผ่นดินไหว สั่นสะเทือนเสียงดังเกรียวกราวไปทั่ว
พ่อค้าแม่ขาย ผู้คนสัญจรไปมาบนถนน ผู้อยู่อาศัยและเหล่าสรรพสัตว์ริมสองฝั่งถนน ล้วนกลายเป็นภาพพร่ามัว ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยว
สตรีหน้าตาสะสวยผู้เป็น ‘ห้อง 7’ ของ ‘หอพัก’ ชะงักงันไปชั่วขณะ ร่างกายสั่นเทิ้มตามสัญชาตญาณ อยากกอดตัวเองให้แนบแน่น
พลังที่มองไม่เห็น ซึ่งปกคลุมถนนเสื้อนอกขาวไว้ครึ่งหนึ่ง เริ่มเผยตัวชัดเจนจนดูคล้ายกระจกใส
มันพังทลายทันใด หลายจุดแตกร้าวฉับพลัน
เห็นภาพดังกล่าว ลูเมี่ยนรีบคว้าไหล่จินนา กระตุ้นรอยประทับสีดำบนไหล่ขวาอีกครั้ง
คราวนี้พวกเขาผ่านโลกวิญญาณท้องถิ่น เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงหน้าประตูโรงแรมระกาทอง โดยมิได้ถูกดึงกลับไปที่ ‘วง’
โลกในภาพวาดอยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน ก็เลยอ่อนไหวต่อกลิ่นอายของตัวตนลำดับสูง จึงได้รับผลกระทบเต็มเม็ดเต็มหน่วย? ลูเมี่ยนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงดังสนั่นมาจากตำแหน่งไกลๆ
เป็นทิศทางของถนนใหญ่ตลาด!
ลูเมี่ยนกับจินนาสบตากัน ในความคิดทั้งคู่ผุดคำคำเดียวกัน
คาบาเร่ต์ลมเอื่อย!
“รูดำตรงคาบาเร่ต์ลมเอื่อยกลายพันธุ์แล้ว?”
“เป็นผลจากออร่าของจักรพรรดิโลหิตอลิสต้า·ทูดอร์ หรือเป็นเพราะพิธีกรรมเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว? หายนะกำลังจะมาเยือน?” ลูเมี่ยนเร่งสมองไตร่ตรอง แล้ววิ่งสุดชีวิตไปทางถนนใหญ่ตลาด
จินนาก็ตอบสนองไม่ช้ากว่าเขา รีบคิดรีบทำแบบเดียวกัน
…………
ใต้ดิน ในโพรงถ้ำที่มิอาจรับรู้ได้จากภายนอก
ผนังหินภายในนี้ถูกดัดแปลงไปจากเดิม มีสองแนวตั้งสองผืน แนวนอนหลายผืน รวมถึงช่องว่างแนวตั้งอีกมาก
หากมีคนที่คุ้นเคยกับแผนที่กรุงทรีอาร์มาเห็นเข้า มองจากบนลงล่างก็จะพบว่า มันสอดคล้องกับบางจุดของถนนใหญ่ตลาด ริมถนนแต่ละฝั่งจะตรงกับผนังหินหนึ่งผืน โดยที่ร่องแนวตั้งแสดงถึงตรอกซอกซอย
บนผนังหินแต่ละผืนมีภาพจิตรกรรมสีน้ำมันวาดไว้อย่างสมจริง ทั้งอาคารหลากหลายสไตล์ โคมไฟถนนสีดำ คนเดินถนนแต่งกายคล้ายพนักงานนั่งโต๊ะ คนค้าขายคอยนำเสนอสินค้าหลากหลาย บรรยากาศที่เล็ดลอดจากหน้าต่างล้วนดูสมจริงเสมือนมีชีวิต สีสันเป็นธรรมชาติ
ภาพเหล่านี้แทบจะตรงกับฉากบางช่วงของถนนที่อยู่ด้านบน
บนผนังหินผืนที่ตรงกับฝั่งตะวันออกของถนนใหญ่ตลาด มีคนสามคนแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตขาว เสื้อกั๊กไม่ติดกระดุม กำลังใช้อุปกรณ์วาดภาพบนผนัง พากเพียรวาดประตูบานใหญ่สีแดงฉานอันซับซ้อน ตรงจุดที่สอดคล้องกับคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ทุกคนเปื้อนสีทั่วตัว สายตาเปล่งประกายอย่างไม่อาจบรรยาย ดูเหมือนสิ่งที่พวกเขามองเห็นมิใช่ผนังหิน หากแต่เป็นอีกโลกอันไกลโพ้น
ประตูสีแดงฉานบนผนังหิน ทุกครั้งจะถูกวาดได้เพียงหนึ่งในห้า ก่อนจะหายวับไปอย่างลึกลับ จิตรกรทั้งสามต้องเริ่มต้นวาดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
โพรงเหมืองสั่นไหวแผ่วเบากะทันหัน บนผิวผนังหินที่เต็มไปด้วยภาพฉากต่างๆ ปรากฏรอยปริแตกเล็กๆ นับร้อยนับพัน แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
จิตรกรหญิงใส่หมวกเบเร่ต์สีน้ำเงิน กับจิตรกรชายสวมกางเกงสีแดงเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน จดจ้องถนนใหญ่ตลาดที่วาดอยู่บนผนังหิน
วินาทีถัดมา พวกเขาวางมือบนพื้นผิวผนังหิน แล้วหายวับไปในพริบตา
ทันใดนั้น บนภาพสีน้ำมันผืนยักษ์ถูกวาดเพิ่มไปอีกสองคน หนึ่งเป็นสตรีสวมหมวกเบเร่ต์สีน้ำเงิน อีกคนเป็นชายใส่กางเกงสีแดง ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเสื้อกั๊กสีเบจเปิดอก
โพรงหินของจริงเหลือเพียงจิตรกรอายุราวยี่สิบกว่า สวมกางเกงสีดำประดับพู่ ผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิง รอบปากมีหนวดเคราขึ้นเป็นวง
ดวงตาสีเชือกป่านของเขาในตอนนี้ สลัดความรู้สึกเหินห่างและห่างไกลออกไปพอสมควร กวาดมองไปรอบๆ อย่างรอบคอบ
เมื่อเห็นว่าแรงสะเทือนของโพรงเหมืองจำกัดอยู่แค่บริเวณนี้ และการเปลี่ยนแปลงของโลกในภาพวาดก็มิได้ถูกถ่ายทอดออกมา จิตรกรหนุ่มถอนหายใจโล่งอก หันสายตากลับไปยังตำแหน่งคาบาเร่ต์ลมเอื่อยอันว่างเปล่า ครุ่นคิดว่าควรเปลี่ยนวิธี หรือรอจังหวะที่ถูกต้องแล้วค่อยลองใหม่ดี
ทันใดนั้นเอง บริเวณที่ผนังหินเชื่อมต่อกับพื้น ฝ่ามือกระดูกขาวได้โผล่พรวดออกมากะทันหัน
มันมีสีเหลืองซีด เนื้อเยื่อดูเหี่ยวแห้ง พื้นผิวมีคราบสนิมสีโลหะเกรอะกรัง ดูเก่าแก่โบราณมาก
เมื่อฝ่ามือกระดูกขาวโผล่ขึ้นมา ก็รีบคว้าข้อเท้าของจิตรกรหนุ่มไว้ หวังลากอีกฝ่ายลงสู่ใต้ดินลึกๆ
…………
ยามดึกสงัด เขตหอรำลึก ถนนน้ำพุ บ้านเลขที่ 11
ฟรังก้าฝันราวกับหลงอยู่ในดินแดนประหลาด ฉากสุดพิสดารนับไม่ถ้วนปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราวไร้สาระ
ทันใดนั้น เธอลืมตาตื่น สัญชาตญาณสั่งให้เหลือบมองไปด้านข้าง
แม้แสงจันทร์สีแดงเรื่อยามราตรีจะถูกผ้าม่านกั้นไว้ จนบรรยากาศในห้องนอนมืดสนิทผิดวิสัย แต่นั่นมิได้เป็นอุปสรรคต่อวิสัยทัศน์ของฟรังก้า เธอย่อมมองเห็นอย่างแจ่มชัดว่า ภายในผ้านวมกำมะหยี่เนื้อนุ่มข้างกาย บัดนี้ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ไม่มีการ์ดเนอร์·มาร์ตินอยู่อีกแล้ว
ดวงตาฟรังก้าเบิกกว้างในทันใด หัวใจเต้นระส่ำด้วยความประหลาดใจเจือครุ่นคิด
เธอไม่แปลกใจที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินหายตัวไป ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เธอก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ตนกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
นางมารเป็นเส้นทางที่อ่อนไหวต่อพลังวิญญาณมาก ไม่มีทางที่คนบนเตียงข้างกันจะลุกออกไปโดยที่เธอไม่ตื่น แต่ฟรังก้ากลับไม่รู้สึกตัวเลย จนกระทั่งอุณหภูมิอีกด้านหนึ่งของผ้าห่มเย็นลง ถึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา!
ฟรังก้ารีบพลิกตัวลุกจากเตียง เร่งมือสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จสรรพ แล้วเปิดประตูห้องนอนออก
ภายในทางเดินมืดสนิท บรรยากาศเงียบสงัดผิดปกติ
……………………………………………………..