ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 42 คุณนายราตรี
ตอนที่ 42 คุณนายราตรี
ลูเมี่ยนตกใจกับรถม้าที่ถูก ‘ปีศาจ’ ลากจูง ตกใจกับท่าทีของวิญญาณคนตาย จนลืมดิ้นรนไปชั่วขณะหนึ่ง ระหว่างนั้นก็ถูกฝ่ามือยักษ์ล่องหนผลักไสไปอีกกว่าสิบวินาทีก่อนจะหยุด
แม้รถม้าจะห่างออกไปแล้ว แต่เด็กหนุ่มยังมองเห็นใบหน้าของสตรีบนรถได้ชัดเจนด้วยสายตาที่เฉียบคมดุจดังอินทรี
ผมสีน้ำตาลมัดรวบสูง นัยน์ตาสีน้ำตาลงดงามสดใส คิ้วบางๆ วางห่างกัน สวมชุดกระโปรงสีเขียวสดใส สวมมงกุฎที่ทำจากดอกไม้ บุคลิกสง่างามน่าเกรงขาม
คุณนายปัวริส! ความคิดแรกในหัวลูเมี่ยนก็คือ สตรีบนรถคือภรรยาของเจ้าหน้าที่ปกครองบีโอส รวมถึงชู้รักของหลวงพ่ออธิการโบสถ์
แต่เมื่อเพ่งพินิจอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาพบว่าทั้งสองคนมีจุดแตกต่างกันชัดเจน ไม่เพียงแต่บุคลิกที่ไม่เหมือนกันเลย กระทั่งใบหน้าก็ยังมีจุดต่าง
สตรีที่นั่งอยู่บนรถมีเค้าโครงหน้านุ่มนวลกว่า และดูเป็นผู้ใหญ่กว่า
หากจะให้ลูเมี่ยนเปรียบเทียบจริงๆ เขาจะเรียกสตรีคนนี้ว่าพี่สาวท้องเดียวกับคุณนายปัวริส แต่อายุมากกว่าราวๆ เจ็ดถึงแปดปี
ภาพของคุณนายที่นั่งสง่างามบนรถม้าซึ่งมีปีศาจลากจูง ห้อมล้อมไปด้วยวิญญาณและอัศวินแห่งความตาย โดยมุ่งหน้าไปยังป่าเขาในจุดห่างไกลอย่างรีบเร่ง ดูราวกับเป็นขบวนแห่สุดตระการตา
โอลัวร์หันกลับมา เร่งฝีเท้าไปหาลูเมี่ยน ขณะวิ่งก็พลางตะโกน
“หนีออกจากที่นี่เร็ว!”
ลูเมี่ยนได้สติกลับมา รอจนกระทั่งพี่สาววิ่งเข้ามาใกล้ แล้วจึงเร่งฝีเท้าตรงไปยังขอบป่ารกร้างที่ใกล้ที่สุด
ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็รู้สึกเหมือนได้ผ่านม่านแห่งความฝัน หรือไม่ก็ชั้นน้ำหนาๆ
ทิวทัศน์เบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไป
ทุ่งร้างค่อยๆ เลือนรางคล้ายฟองสบู่
แม่น้ำที่ใสสะอาด หญ้าอ่อนที่เอนเอียงบนสองฝั่งแม่น้ำ รวมถึงต้นไม้สีเขียว ปรากฏขึ้นในการมองเห็นของทั้งสองพร้อมๆ กัน
สำหรับลูเมี่ยนและโอลัวร์ ทิวทัศน์ในตอนนี้คุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง จนไม่ต้องคิดวิเคราะห์ให้ปวดหัว
พวกตนยังอยู่ใกล้กับหมู่บ้านกอร์ตู!
ที่นี่คือจุดเลี้ยงห่านของเอวา·ลีซิแยร์!
กลับมาจนได้…ลูเมี่ยนมิได้ผิดหวังหรือประหลาดใจ เพียงมองรอบๆ ด้วยท่าทีทำนอง ‘อย่างที่คิด’
โอลัวร์ถอนหายใจแล้วพูด
“ไม่ว่าคุณนายปัวริสจะตั้งใจหรือทำพลาด แต่ตอนนี้เรากลับหมู่บ้านไม่ได้แล้ว”
“ดังนั้นต้องไปดาลีแอชกันต่อ!”
ลูเมี่ยนเสนอแนะทันที
“งั้นไปทุ่งหญ้าใกล้ๆ ตรงนี้ แล้วใช้เส้นทางอันตรายลงจากเขา ด้วยความสามารถของพวกเราต้องทำได้แน่”
“ตกลง” โอลัวร์หันหน้าแล้วเริ่มวิ่งเต็มฝีเท้า
เธอที่เคยยืมม้าน้อยจากคุณนายปัวริสบ่อยๆ ค่อนข้างคุ้นเคยกับทุ่งหญ้าราบสูงใกล้หมู่บ้านกอร์ตู
ลูเมี่ยนเห็นดังนั้นจึงเร่งความเร็วไล่ตามพี่สาว
สำหรับประสบการณ์เมื่อสักครู่ เด็กหนุ่มรู้สึกโชคดีปนหวานกลัว
เขาไม่คิดไม่ฝันก่อนว่าคุณนายปัวริสจะแข็งแกร่งเพียงนี้ ถึงขนาดมีวิญญาณมากมาย ปีศาจ และอัศวินแห่งความตายเป็นผู้ติดตาม
แน่นอน นั่นอาจไม่ใช่คุณนายปัวริส
ระหว่างวิ่ง โอลัวร์เริ่มชะลอความเร็ว ลมหายใจเริ่มถี่ เสียงลมในลำคอเริ่มดัง
“เกิดอะไรขึ้น?” ลูเมี่ยนยังคงเหลือเรี่ยวแรงเต็มถัง
นี่คือหนึ่งในจุดแข็งที่ ‘นักล่า’ นำมาให้
โอลัวร์หยุดวิ่ง หายใจหอบพลางพูด
“ฉันเหนื่อยแล้ว… เวทมนตร์ก่อนหน้านี้สิ้นเปลืองพลังงานมาก”
ลูเมี่ยนตอบกลับโดยไม่ลังเล
“งั้นฉันจะแบกเอง ตอนนี้ยังสบายมาก”
ในสถานการณ์อันตรายและมีเวลาจำกัด โอลัวร์ไม่มัวลังเล พยักหน้ารับเบาๆ พลางเดินไปด้านหลังลูเมี่ยนที่กำลังคุกเข่าลงหนึ่งข้าง แล้วโน้มตัวไปเกาะหลัง
ก่อนจะแบก ลูเมี่ยนถอดเข็มกลัดบนหน้าอกคืนให้พี่สาว จึงค่อยลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มวิ่งอีกครั้ง
“อันนี้คือสมบัติวิเศษใช่ไหม” เด็กหนุ่มแรงเหลือพอจะไถ่ถาม
โอลัวร์ชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงหัวเราะ
“พอจะมีความรู้อยู่บ้างสินะ…”
“ถูกต้อง มันคือสมบัติวิเศษ ฉันเรียกมันว่า ‘เข็มกลัดซื่อตรง’ สามารถสร้างแสงสุริยันศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็ช่วยเผาวัสดุสำหรับใช้วิชาลับเพื่อต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณ แต่ถ้าใส่นานเกินไปจะทำให้เสียสติ แค่ติดเอาไว้ก็โง่ลงแล้ว… นายคงทราบดี การต่อสู้แบบไร้จริยธรรมจะได้ผลดีกว่า แต่ก็ถูกจำกัดไว้ด้วยสิ่งเหล่านี้”
โอลัวร์เว้นวรรคเล็กน้อย และถามด้วยเสียงขึงขัง
“นายไปเอาตะกอนพลังมาจากไหน”
ลูเมี่ยนวิ่งพลางตอบอย่างติดๆ ขัดๆ
“ยังจำไพ่ไม้ที่ทำให้ฉันมีสติในความฝันได้ไหม”
“ไพ่ไม้อะไร?” โอลัวร์ทำเสียงไม่เข้าใจ
จริงด้วย นั่นมันวัฏจักรก่อนหน้า… ลูเมี่ยนเรียบเรียงคำพูดใหม่
“ฉันพบกับมาดามลึกลับคนหนึ่งที่ร้านเหล้าคร่ำครึ เธอให้ไพ่กับฉันมาหนึ่งใบ…ไพ่ไม้”
“อาศัยไพ่ใบนั้น ฉันมีสติในความฝันและเข้าสู่ดินแดนมหัศจรรย์”
“ที่นั่น ฉันได้เจอกับสัตว์ประหลาดบางตัว และได้รับตะกอนพลังนักล่ามาจากมัน”
“นักล่าสินะ…” โอลัวร์คุ้นเคยกับชื่อโอสถยอดนิยมในอินทิสดี
ขณะพึมพำอยู่เดียว อยู่ดีๆ หญิงสาวก็หัวเราะกับตัวเอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องไหนอยู่
หัวเราะอะไร… ลูเมี่ยนฉงน
โอลัวร์ถามต่อ
“แล้วได้สูตรโอสถมาจากไหน มาดามลึกลับคนนั้น?”
“อือ” ลูเมี่ยนพยักหน้าขณะวิ่ง
โอลัวร์ถอนหายใจแล้วพูด
“เจ้าน้องชายทึ่มของฉันหัดมีความลับแล้วสินะ… ตอนนี้ฉันยืนยันไม่ได้ว่าคำพูดของนายจริงหรือเท็จ จะยอมเชื่อไปก่อนก็แล้วกัน”
ลูเมี่ยนไม่อาจทนกับความผิดหวังของพี่สาว จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“เมื่อกี้บนรถม้านั่น ใช่คุณนายปัวริสไหม?”
“ดูเหมือนและไม่เหมือนในเวลาเดียวกัน” โอลัวร์ตอบขัดแย้งกันเอง
หญิงสาวใช้เวลาครุ่นคิดสักพัก
“เนื่องจากนายเป็นผู้วิเศษแล้ว ฉันจะเล่าตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องที่พวกพ้อง…เอ่อ…ฉันหมายถึงเพื่อนทางจดหมาย… ฉันจะเล่าเรื่องที่พวกเขาเล่าให้ฟัง”
“พวกเขาบอกว่าในช่วงไม่กี่ปีหลัง ทางภาคใต้ของโลเอ็น ภาคใต้ของอินทิส และในราชอาณาจักรเฟเนพ็อตล้วนเกิดเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่คล้ายคลึงกับเมื่อครู่…แถมยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว มีหญิงสาวขับรถม้าที่ชักลากโดย ‘ปีศาจ’ หรืออะไรทำนองนั้น มุ่งเข้าไปในป่ารกชัฏและภูเขา มีวิญญาณคนตายมากมายไล่ตามหลังรถม้า…ในบางคราว ผู้วิเศษสายวิญญาณจะถือโอกาสถอดวิญญาณออกจากร่างกาย เพื่อไล่ตามรถม้าคันนั้นไปสักระยะ ดูเหมือนว่าการทำเช่นนี้จะช่วยให้พวกเขาได้รับประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ แถมยังได้รับความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับด้วย”
“เพื่อนคนหนึ่งของฉันได้รับบันทึกจากผู้วิเศษคนหนึ่ง ซึ่งระบุว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อ ‘มาดามราตรี’ … เจ้าของบันทึกเล่าว่าตนได้รับสูตรยาลับจากการติดตามรถม้า เป็นสูตรผลิตยาล่องหนด้วยศพของทารก”
“จากการสืบสวน พบว่าสตรีในเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน จะไม่ใช่คนเดียวกัน แต่ทุกครั้งล้วนเกิดในช่วงกลางคืน”
ลูเมี่ยนกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“แต่ตอนนี้… ยังกลางวันอยู่นะ”
หรือว่าเป็นเพราะความผิดปกติของหมู่บ้านกอร์ตู?
“นั่นคือสาเหตุที่ฉันไม่กล้าฟันธง” โอลัวร์พูดไปคิดไป “อาจเพราะการส่งนาโรคาไป ‘โลกอีกฝั่ง’ ทำให้เกิดความแตกต่าง หรือบางที… ทุ่งร้างนั่นอาจเป็น ‘โลกอีกฝั่ง’ ซึ่งคุณนายราตรีใช้ท่องเที่ยวตอนกลางวัน และปรากฏตัวในสังคมมนุษย์ตอนกลางคืน… อา… เมื่อผนวกกับความคล้ายคลึงระหว่างสตรีผู้นั้นกับคุณนายปัวริส ฉันเอนเอียงไปที่สมมติฐานแรกมากกว่า”