ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 376 กลุ่มต่างๆ
ตอนที่ 376 กลุ่มต่างๆ
‘เพ็ตติกรูว์’ เป็นชายร่างเล็กสูงเพียงหนึ่งเมตรหก สวมวิกผมสีบลอนด์กระเซอะกระเซิง มือขวาหุ้มด้วยถุงมือสีเงินหรูหรา สวมแจ็กเกตสีน้ำตาลไม่ติดกระดุม ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีเข้ม
เมื่อเห็นลูเมี่ยนเข้ามา ‘เพ็ตติกรูว์’ วิ่งมาหาด้วยความประหลาดใจระคนยินดี
“มักเกิ้ล… ในที่สุดคุณก็โผล่หน้ามาแล้ว”
ลูเมี่ยนยิ้มตอบด้วยเสียงของโอลัวร์
“ก่อนหน้านี้ติดปัญหานิดหน่อย ต้องพักฟื้นเล็กน้อย”
“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” เพ็ตติกรูว์ถามอย่างเป็นห่วง
“ก็ดีขึ้น” ลูเมี่ยนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายสนิทกับโอลัวร์มากแค่ไหน จึงมิได้ตอบกลับด้วยมุกตลก
เขาหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนบันไดหิน
เธอสวมหน้ากากรูปผีเสื้อสีดำ ใส่เสื้อเชิ้ตขาวผูกเนกไท เสื้อคลุมยาวสีเข้ม มีป้ายชื่อกระดาษติดอยู่ตรงอก ชัดเจนว่าเกิดจากการพิมพ์ดีด
ศาสตราจารย์
“รองศาสตราจารย์ไม่มาด้วยหรือ” ลูเมี่ยนถามยิ้มๆ
‘รองศาสตราจารย์’ เป็นชาย เมื่อหลายปีก่อน เนื่องจาก ‘โค้ดเนม’ ใกล้เคียงกัน เขากับ ‘ศาสตราจารย์’ จึงนัดเจอกันในโลกจริง จนกระทั่งกลายเป็นคู่สามีภรรยา
ทั้งคู่เป็น ‘จอมเวท’ ชอบศึกษาเวทมนตร์หลากหลาย ‘เวทกำจัดวัชพืช’ ในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ก็มาจาก ‘รองศาสตราจารย์’
ริมฝีปากของ ‘ศาสตราจารย์’ มีสีซีด ใบหน้าผอมบาง ดวงตาสีน้ำตาลงดงาม เธอตอบอย่างเรียบง่าย
“เขามีธุระต้องต้อนรับแขกในโลกจริง ตอนนี้ไม่ว่าง ยังไงฉันมาก็เหมือนเขามา ไม่ต่างกัน”
“มักเกิ้ล คุณมีธุระกับเขาหรือ?”
ลูเมี่ยนยิ้มบางๆ
“ฉันอยากขอบคุณ ‘เวทกำจัดวัชพืช’ ของเขา”
“มีอะไรต้องขอบคุณด้วย หรือว่าบ้านคุณถูกวัชพืชรุกราน?” เพ็ตติกรูว์ถามอย่างสงสัย
ลูเมี่ยนเลียนแบบสีหน้าของโอลัวร์ตอนย้อนความหลัง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนกลอกไปมาเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้สักพัก ฉันต้องเผชิญหน้ากับพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่ามาจากนรก มันไม่เพียงโตเร็ว มีชีวิตชีวา แต่ยังปล่อยแก๊สสลบ กินคนได้เหมือนหม้อข้าวหม้อแกงลิง ออกมาครั้งละหลายร้อยหลายพัน ‘เวทกำจัดวัชพืช’ ทำให้มันเหี่ยวเฉาได้ทั้งหมด ถึงไม่ถึงกับตาย แต่ก็หมดแรงไประยะหนึ่ง”
“เวทกำจัดวัชพืชมีผลกับพืชวิเศษด้วยหรือ?” แม้แต่ศาสตราจารย์ก็ยังดูแปลกใจ
ลูเมี่ยนพยักหน้าเบาๆ
“แต่ต้องเป็นพืชล้มลุกหรือไม้เลื้อย”
นี่คือโน้ตที่โอลัวร์เพิ่มเข้าไปในสมุดบันทึกเวทมนตร์
เห็นได้ชัดว่าเธอเคยใช้ ‘บุปผามารนรก’ ของหลวงพ่ออธิการโบสถ์เป็นหนูทดลอง ซ้ำยังมีจิตวิญญาณนักวิชาการ บันทึกไว้แม้ในยามอาการไม่ปกติ
“เป็นการค้นพบที่น่าสนใจมาก” ศาสตราจารย์ดึงลูเมี่ยนเข้าใกล้ หารือรายละเอียดต่างๆ ของเวทกำจัดวัชพืช
โชคดีที่ลูเมี่ยนศึกษาเวทมนตร์นี้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังขอคำแนะนำจากฟรังก้ากับมาดามเฮล่า ถึงแม้เขาจะใช้จริงไม่ได้ แต่หากแค่พูดคุยแลกเปลี่ยน ก็ไม่มีทางเสียหน้าแน่นอน
หลังจากพูดคุยเรื่องเวทมนตร์ และความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับกับกลุ่ม ‘วิทยาลัย’ สักพัก ลูเมี่ยนรู้สึกว่าตัวเอง รวมถึงบริเวณรอบๆ ถูกเงาปกคลุม
เด็กหนุ่มเงยหน้าทันที เห็นร่างยักษ์ใหญ่
ร่างดังกล่าวสูงเกิน 2.4 เมตร สวมเสื้อคลุมลินินเรียบง่าย มีฮู้ดคลุมศีรษะ มือถือไม้กายสิทธิ์ท่อนใหญ่ ชนิดที่ทุบหัวคนทั่วไปแตกได้
นี่คือ ‘แกนดาล์ฟ’ ประธานสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก ฟรังก้าเล่าว่าเขาน่าจะเกิดใหม่ในร่างชายวัยกลางคนสายเลือดคนยักษ์แห่งจักรวรรดิฟุซัค ชอบดื่มเหล้ากลั่น หมั่นศึกษาศาสตร์เร้นลับเป็นชีวิตจิตใจ โดยยังไม่ทราบเส้นทางที่แน่ชัด บางครั้งเหมือน ‘ปัญญา’ หรือ ‘นักอ่าน’ บางครั้งแสดงจุดเด่นของ ‘นักปราชญ์’ และ ‘ผู้ส่องความลับ’ บางครั้งทำให้รู้สึกว่าด้วยสภาพร่างกายแบบนั้น ไม่เลือกเส้นทาง ‘นักรบ’ ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย
ความรู้ศาสตร์เร้นลับระดับสูง เช่น ‘กฎความถาวรของตะกอนพลัง’ ถูกเผยแพร่จาก ‘แกนดาล์ฟ’ เป็นคนแรก
แกนดาล์ฟ ซึ่งใบหน้าถูกเงาประหลาดบดบัง มองลูเมี่ยนแล้วหัวเราะด้วยเสียงกระด้าง
“คุณพลาดชุมนุมไปหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ผมยังกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับคุณ”
“เกิดปัญหานิดหน่อย แต่ได้แก้ไขแล้วค่ะ” ลูเมี่ยนเม้มปาก ไม่ปิดบังความเศร้าและหดหู่ในใจ ซึ่งเอ่อล้นขึ้นมาฉับพลัน
“แก้ไขได้ก็ดีแล้ว” แกนดาล์ฟพยักหน้ารับอย่างโล่งใจ
เขาทักทายลูเมี่ยนอีกสองสามคำ แล้วเดินไปหากลุ่มอื่น
ลูเมี่ยนเพิ่งเคยเข้าร่วมชุมนุมของสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก จึงทำตามคำแนะนำของมาดามเฮล่า พูดน้อยฟังมาก เงียบเป็นส่วนใหญ่
ระหว่างนี้ เขานั่งบนบันไดหิน เผยรอยยิ้มจางๆ ขณะฟังทุกคนพูด ทำเหมือนตั้งใจฟังมาก เอาใจใส่อย่างมาก
โอลัวร์ก็มักทำแบบนี้เวลาคุยกับคุณนายปัวริสและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านกอร์ตู หากเนื้อหาเข้าสู่หัวข้อที่ไม่สนใจ เธอจะยิ้มมองคนที่กำลังพูด ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าได้รับความสนใจ และสิ่งที่พูดน่าสนใจพอ แต่อันที่จริง ความคิดของโอลัวร์เตลิดไปไกลแล้ว นึกถึงแต่เรื่องของตัวเอง คอยวกกลับมาบ้างเป็นครั้งคราว จับประเด็นหลักไว้ เพื่อให้ตอบคำถามถูก ไม่ทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วน
ขณะฟังอภิปรายความรู้ศาสตร์เร้นลับหรือการแลกเปลี่ยน ลูเมี่ยนมิได้ปล่อยจิตให้เตลิดไปจริงๆ เพียงแค่เลียนแบบการวางตัวของโอลัวร์
ผ่านไปสักพัก เด็กหนุ่มถือโอกาสลุกขึ้นยืน เตรียมออกจากจุดรวมตัวของกลุ่ม ‘วิทยาลัย’
หญิงสาวที่วาดตารางธาตุบนใบหน้าด้วยสีน้ำมันล้างออกได้ พูดด้วยความประหลาดใจนิดๆ
“วันนี้คุณไม่ซื้ออะไรเลยหรือ”
พี่สาว คุณจะมีความสุขได้ ต้องจ่ายหนักทุกครั้งที่มาร่วมชุมนุมหรืออย่างไร? ลูเมี่ยนบ่นในใจ ยิ้มแล้วพูด
“มีสองเหตุผล หนึ่ง ฉันเพิ่งถึงทางตัน ต้องเน้นรวบรวมสูตรกับวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘ศาสตราจารย์คัมภีร์’ ก่อน…”
เด็กหนุ่มพูดไปเรื่อย ยกสารพัดเหตุผลมาอธิบายสาเหตุที่ตนยังไม่อยากซื้ออะไร แล้วทิ้งท้าย
“สอง ไม่มีเงิน แถมยังติดหนี้ชาวบ้านก้อนโต”
ชาว ‘วิทยาลัย’ ระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเห็นใจทันที
พวกเขาทราบได้ทันที ในช่วงที่มักเกิ้ลไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม เธอประสบเหตุร้าย กลายจากคนรวยเป็นยาจกไร้ทรัพย์ แถมยังติดหนี้พะรุงพะรัง
แน่นอน ไม่มีใครเป็นห่วงมักเกิ้ลมากนัก เพราะหลายปีมานี้ ทุกคนได้เห็นความสามารถในการทำเงินของเพื่อนคนนี้แล้ว
ลูเมี่ยนย่ำเท้าเบาๆ ไปทางเสาต้นที่สามฝั่งขวามือของบัลลังก์หินใหญ่ ที่นั่นมีสมาชิกกลุ่ม ‘อเวจี’ ชุมนุมกันอยู่ ซึ่งเฮล่ามักจะแวะเวียนมา
มาดามท่านนี้มาถึงแล้ว แตกต่างจากคราวก่อนก็ตรงที่ ความรู้สึกเย็นเยียบจากตัวเธอบรรเทาลงไปมาก ผิวพรรณใต้หมวกผ้าคลุมโปร่งซีด แต่ไม่หมองหม่น ใบหน้าพร่ามัว
ลูเมี่ยนเงียบมองสมาชิกกลุ่ม ‘อเวจี’ สนทนา รวมถึงค้าขายแลกเปลี่ยนกันสักพัก ก่อนถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ในหมู่พวกคุณ มีใครเคยได้ยินเรื่องแม่น้ำมายาในขอบเขตของความตายบ้าง?”
เฮล่าเหลือบมองลูเมี่ยน แต่ไม่ตอบ
ชาว ‘อเวจี’ เจ้าของโค้ดเนม ‘หมานรกสามเศียร’ ซึ่งเป็นผู้ชาย ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด
“มักเกิ้ล ถามทำไมหรือ?”
“ผมเคยได้ยินมาว่า ในนรก หรือส่วนลึกของโลกแห่งความตาย มีแม่น้ำลวงตาสายหนึ่ง เกี่ยวข้องกับหนึ่งในลำดับสูงของเส้นทาง ‘ผู้เก็บซากศพ’”
ตอบมาโดยไม่คิดค่าข้อมูลเลยแฮะ ถึงจะเป็นแค่ข่าวลือเลื่อนลอยก็ตาม… ลูเมี่ยนยิ้มสักพักก่อนจะกล่าว
“ช่วงนี้ฉันคิดอยู่บ่อยๆ ว่า ทำไมตำนานปรัมปราในบ้านเกิดของเราถึงมีแม่น้ำแบบนี้… ที่นี่ก็ด้วย”
เด็กหนุ่มพูดกำกวมโดยไม่ได้เจาะลึก
‘หมานรกสามเศียร’ นึกสักครู่แล้วตอบ
“อาจต้องพิจารณาจากต้นกำเนิดตำนาน รวมถึงความคล้ายคลึงทางความคิดของมนุษย์”
ลูเมี่ยน ‘อืม’ ด้วยเสียงของโอลัวร์ มิได้ซักไซ้สิ่งใดเพิ่ม
เด็กหนุ่มฟังอยู่ข้างๆ อีกสักพัก ก่อนหันไปทางรอยแตกหนึ่งบนกำแพงพระราชวังโบราณ
หลังจากเกริ่นนำไว้แล้ว เขาสามารถปลีกตัวแล้วเดินไปทางกลุ่ม ‘วันเอพริลฟูล’ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อฟังการสนทนาของอีกฝ่าย
ระหว่างเดินไป ลูเมี่ยนรีบทบทวนสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้
เขาพบว่ามนุษยสัมพันธ์ของพี่สาวโอลัวร์ค่อนข้างดี ไม่ว่าชาว ‘วิทยาลัย’ หรือ ‘อเวจี’ ต่างก็แสดงไมตรีจิตที่ดีต่อ ‘เธอ’
หลังจากเดินเฉียงตัดผ่านพระราชวังโบราณ ลูเมี่ยนเห็นชายคนหนึ่ง สวมถุงน่องคลุมหัว กระโดดขึ้นไปบนเสาที่หักครึ่ง กล่าวกับชาวสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิกที่แต่งตัวแตกต่างกันรอบๆ
“ผมจะอ่านกลอนให้ฟังหนึ่งบท!”
“โอ้ท้องทะเล เจ้าเต็มไปด้วยน้ำ”
“โอ้ม้าแสนรู้ เจ้ามีสี่ขา”
“โอ้นางมาร เจ้าช่างหอมหวาน!”
กลอนตรงไหนก่อน… ลูเมี่ยนซื้อ ‘บันทึกลับของโรซายล์มหาราช’ มาอ่านแล้ว จึงทราบว่าอีกฝ่ายกำลังเสียดสีที่ ‘มหาราช’ มีความสัมพันธ์เกินเพื่อนกับ ‘นางมาร’ บางคน ถึงกับพรรณนาไว้ในบันทึกว่า ตนประทับใจรสชาติของนางมารเพียงใด
หนึ่งก้าว สองก้าว ลูเมี่ยนขยับเข้าใกล้กลุ่ม ‘วันเอพริลฟูล’ เห็นชายที่หันหลังให้ตน สวมเสื้อคลุมดำยาวแบบนักทำนาย ด้านหลังเขียนคำศัพท์ภาษาฟุซัคโบราณด้วยสีทองว่า
โลกิ
ตามคำบอกเล่าของฟรังก้า ‘โลกิ’ คือเทพแห่งการหลอกลวง เจ้าแห่งเล่ห์กล รวมถึงเทพแห่งไฟในตำนานของโลกพวกเขา ส่วนสมาชิกที่ใช้โค้ดเนม ‘โลกิ’ คือผู้ก่อตั้งกลุ่ม ‘วันเอพริลฟูล’ เขามิได้เดินบนเส้นทางแห่งเทพช้ากว่าเฮล่าเลย แต่ไม่ได้รับตำแหน่งรองประธาน… ข้อมูลมากมายแล่นเข้ามาในหัวลูเมี่ยน
เมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้าใกล้จุดรวมตัวของกลุ่ม ‘วันเอพริลฟูล’ เสียงหัวเราะเฮฮาพลันชะงักงันในทันที
‘โลกิ’ กับคนที่เหลือหันมาพร้อมกัน จ้องลูเมี่ยนที่สวมหน้ากากครึ่งหน้า เสื้อคลุมดำยาวแบบจอมเวท
ลูเมี่ยนในฐานะ ‘มักเกิ้ล’ ยกมุมปากยิ้มกว้าง
“ทุกคน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
……………………………………………………..