ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 36 พบกันอีกครั้ง
ตอนที่ 36 พบกันอีกครั้ง
คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปหนึ่ง
หากการคาดเดาเมื่อครู่เป็นความจริง หมายความว่า ‘การย้อนกลับ’ จะเกิดเฉพาะหมู่บ้านกอร์ตูและรอบๆ เท่านั้น สถานที่อื่นไม่ได้รับผลกระทบ!
หรือก็คือ ถ้าเราหลุดพ้นจากหมู่บ้านได้ ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ? ขณะลูเมี่ยนคิดหลายเรื่อง เด็กหนุ่มหันไปทางโอลัวร์แล้วพูดด้วยสีหน้ามีพิรุธ
“เรื่องนี้… เอ่อ… โทรเลขพวกนี้ เป็นฝีมือฉันเอง”
“ฝีมือนาย?” โอลัวร์รู้สึกโกรธปนขบขัน แต่มากกว่านั้นคือความงุนงง
เธอไม่อยากเชื่อว่าตนจะถูกน้องชายแกล้งทีเผลอ
นี่มันไม่ต่างอะไรกับนักล่าเจนสนาม ที่ถูกนกอินทรีแทะลูกตาเข้า!
ลูเมี่ยนอธิบายอย่าง ‘จริงใจ’
“คืองี้นะพี่…ฉันอยากไปทรีอาร์มานานแล้วใช่ไหม… ก็เลย… สองวันก่อน ฉันแอบส่งโทรเลขไปที่สำนักโทรเลขของบันเทิงคดีรายสัปดาห์ โดยถามด้วยลีลาการเขียนของพี่ว่า งานชุมนุมนักเขียนครั้งล่าสุดจะจัดขึ้นตอนไหน แล้วพวกเขาชักชวนมาด้วยความกระตือรือร้นจริงๆ”
“มีที่มาที่ไปแบบนี้เองสินะ…” โอลัวร์ทำหน้าเหมือน ‘ในที่สุดปริศนาก็ถูกไขกระจ่าง’
วินาทีถัดมา หญิงสาวหยิบไม้ที่วางอยู่ข้างๆ พร้อมกับกัดกรามพูด
“ไอ้เด็กคนนั้นโตขึ้นแล้วสินะ!”
ลูเมี่ยนรีบเสริม
“โอลัวร์ เอ่อ พี่… ฟังคำแก้ตัว… ไม่สิ ฟังคำอธิบายของฉันก่อน”
เด็กหนุ่มมิได้ตื่นตระหนก ยังแอบแกล้งพูดผิดอย่างยียวน
“ก็ได้… ไหนว่ามา” โอลัวร์ยืนค้ำไม้เท้าแล้วพูด “พี่สาวของนายเป็นคนดี อยู่ในศีลธรรมเสมอมา ผู้คนรอบข้างต่างให้การยอมรับ ย่อมต้องฟังคำแก้ตัวของคนร้ายก่อนตัดสินคดีความอยู่แล้ว…”
“ต่อให้นายต้องตาย ก็จะไม่ได้ตายเพราะถูกเข้าใจผิด!”
ลูเมี่ยนรีบพรั่งพรู
“ในอินทิสน่ะ… เมืองที่มีมหาวิทยาลัยมากที่สุด และมีคุณภาพดีที่สุด ก็คือกรุงทรีอาร์ ฉันกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยใช่ไหม… ก็เลยอยากเห็นสถานที่จริงก่อน เพื่อตัดสินใจว่าจะเลือกเข้าสามมหาวิทยาลัยใดบ้าง”
โอลัวร์พยักหน้ารับเบาๆ เป็นนัยให้น้องชายพูดต่อ
ลูเมี่ยนชื่นชมพี่สาวอย่างจริงใจ
“ถ้าฉันอธิบายดีๆ พี่ก็คงพาไปเที่ยวทรีอาร์อยู่แล้ว แต่ถ้าทำแบบนั้น พี่ก็ต้องออกเงินของตัวเอง…แต่หากถูกเชิญจากบันเทิงคดีรายสัปดาห์ ไม่เพียงแต่ค่าตั๋วรถไฟไอน้ำ กระทั่งค่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงต่างๆ ในทรีอาร์ ก็สามารถทำเรื่องเบิกได้ทั้งสิ้น”
“ฉันรู้ว่าพี่ไม่ได้ขัดสน แต่เงินนั่นมาจากผลงานที่พี่กลั่นกรองอย่างยากลำบากทีละตัวอักษร ถ้าประหยัดได้ฉันก็อยากประหยัดน่ะ”
โอลัวร์เริ่มคลายสีหน้าลง
“หัดรู้จักเอาใจใส่พี่สาวแล้วสินะ…”
“แต่นายเคยคิดบ้างไหม… ฉันไม่อยากไปงานชุมนุมนักเขียน! ไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้าเยอะๆ!”
ลูเมี่ยนยิ้ม
“โอลัวร์ เอ่อ พี่… ไม่แน่ว่าการที่ ‘บันเทิงคดีรายสัปดาห์’ เชื้อเชิญพี่อย่างเอาอกเอาใจ พวกเขาอาจไม่ได้อยากให้พี่เข้าร่วมงานชุมนุมสังสรรค์ขนาดนั้น เพียงแค่หาโอกาสสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพี่ เพราะพี่เป็นนักเขียนนิยายขายดี”
“ดังนั้น สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่งานสังสรรค์ แต่เป็นตัวพี่เอง ถ้าพี่ตอบรับคำเชิญไปเที่ยวทรีอาร์สักพัก ถึงตอนนั้นค่อยหาเหตุผลอะไรก็ได้ปฏิเสธเข้าร่วมงานสังสรรค์ ไม่เพียงผู้คนจากบันเทิงคดีรายสัปดาห์จะไม่โกรธ แต่จะรู้สึกยินดีที่ได้อำนวยความสะดวกพี่ในช่วงแรก”
โอลัวร์มองลูเมี่ยนหัวจรดเท้า
“เข้าใจโลกมากขึ้นแล้วนี่”
จากนั้นก็ถอนหายใจ
“ตกลง ฉันขอจัดการบางเรื่องก่อน นายไปเตรียมกระเป๋าเดินทาง อีกสองวันข้างหน้าเราจะไปทรีอาร์กัน ถึงตอนนั้นค่อยส่งโทรเลขแจ้งบันเทิงคดีรายสัปดาห์ ให้พวกเขามารอรับที่หน้าสถานีรถไฟทรีอาร์”
“เยี่ยม!” ลูเมี่ยนดีใจอย่างไม่ปิดบัง
แม้เด็กหนุ่มจะสงสัยว่า ตนกับโอลัวร์คงไม่ได้ออกจากหมู่บ้านกอร์ตูง่ายนัก ในสถานการณ์ที่ปริศนาการย้อนเวลายังไม่กระจ่าง การ ‘ออกไป’ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มิอาจคาดเดา แต่เขาก็ต้องลองดู เพราะเชื่อว่าไม่ควรติดแหง็กอยู่ที่นี่
ด้วยความคิดดังกล่าว เด็กหนุ่มจึงพยายามโน้มน้าวโอลัวร์เมื่อสักครู่
ลูเมี่ยนยังไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องการย้อนเวลา เพราะโอลัวร์ไม่มีความทรงจำระหว่างนั้น คงยากที่จะเชื่อข้อสันนิษฐานซึ่งใกล้เคียงกับความเพ้อเจ้อ เว้นเสียแต่ว่าลูเมี่ยนจะ ‘ทำนาย’ อนาคตถูกหลายครั้ง แต่จนถึงตอนนี้ เขายังอยากเก็บความลับเรื่องการย้อนเวลาเอาไว้ก่อน จึงไม่คิดจะ ‘ทำนาย’ เพียงรอดูว่าถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ จะได้รับเบาะแสใดเพิ่มมาบ้าง
ใช้การอ่านหนังสือเป็นข้ออ้าง ลูเมี่ยนกลับขึ้นชั้นสอง เข้าไปในห้องอ่านหนังสือ
เขานั่งลง หยิบหนังสือมาเปิดโดยไม่ได้ใส่ใจ เพียงตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้จับกลับหัวกลับหาง
ถัดมา เด็กหนุ่มดำดิ่งเข้าไปในความคิดตัวเอง หวังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบันให้ดีขึ้น โดยพิจารณาจากรายละเอียดต่างๆ ที่ค้นพบเมื่อคืนและวันนี้
ขณะที่แววตาเริ่มเหม่อลอย ลูเมี่ยนสังเกตเห็นหนังสือเล็กปกฟ้าบนโต๊ะ
คล้ายกับมีอะไรมาดลใจ เขาดึงสติกลับมา ยื่นมือไปหยิบหนังสือเล็กปกฟ้า เริ่มเปิดผ่านๆ อย่างรวดเร็ว
หน้าหนังสือแหว่งๆ ที่ขาดหายไปบางคำ ปรากฏสู่สายตาเด็กหนุ่ม
“จดหมายนั่น…” ลูเมี่ยนกระซิบไม่มีเสียง
ผนวกกับการตอบกลับที่ ‘ล่าช้า’ จากบันเทิงคดีรายสัปดาห์ เขาผุดข้อสันนิษฐานใหม่เกี่ยวกับจดหมายขอความช่วยเหลือที่พวกลีอาและไรอันได้รับ
“บางที คนเขียนจดหมายนั้นอาจเป็นเราเอง… เราคือ ‘คนร้าย’ ตัวจริง!”
“การย้อนเวลาอาจเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้ง ตามที่โอลัวร์เขียนไว้ในนิยาย สิ่งนี้เรียกว่าวัฏจักรเวลา”
“ในวัฏจักรเวลารอบก่อน เราอาจค้นพบความผิดปกติบางอย่างผ่านการสำรวจ และตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากภายนอกด้วยจดหมายนิรนามโดยไม่บอกโอลัวร์? และเมื่อ ‘ทางการ’ ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา จึงส่งพวกไรอันเข้ามาจัดการ…พอหมู่บ้านกอร์ตูเริ่มวัฏจักรเวลาใหม่ เราก็เหมือนกับโอลัวร์ตอนนี้ สูญเสียความทรงจำทั้งหมด กลับไปสู่ ‘สถานะเริ่มต้น’ …”
“แต่คำถามก็คือ ทำไมหนังสือเล็กปกฟ้าถึงยังมีรอยแหว่ง?”
“ตามหลักแล้ว มันควรจะกลับไปสู่ ‘สถานะเริ่มต้น’ เช่นกัน เหมือนกับอาหารที่เรากินในวัฏจักรเวลาครั้งก่อนๆ …”
“หืม… มีความเป็นไปได้สองรูปแบบ”
“หนึ่งคือ เราค้นพบความผิดปกติและขอความช่วยเหลือก่อนจะเข้าสู่จุดเริ่มต้นวัฏจักรเวลา แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ความทรงจำที่เกี่ยวข้องก็ต้องไม่หายไป หรืออาจมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เราสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน? นั่นจะยิ่งทำให้เรื่องราวซับซ้อน…”
“สองคือ ตัวเราใน ‘วัฏจักรเวลานั้น’ ค้นพบวิธีที่ทำให้บางสิ่งไม่ถูกย้อนเวลากลับ…วิธีนั้นคืออะไร? ถ้ามีจริง ทำไมไม่เขียนสิ่งที่ค้นพบลงบนกระดาษมาด้วย?”
ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนตนทะลวงผ่านหมอกควันกลุ่มหนึ่ง จนเริ่มเห็นภาพรวมของสถานการณ์ แต่กลับพบว่าตัวเองยิ่งจมลึกลงไปในความสับสน
เด็กหนุ่มเชื่อว่าตนน่าจะผ่านวัฏจักรมาเวลามาหลายครั้งแล้ว แต่ในรอบก่อนๆ เมื่อเวลาเริ่มต้นใหม่ ความทรงจำและสถานะร่างกายจะถูกย้อนกลับ จึงไม่เคยเอะใจเลยสักครั้ง
ส่วนในรอบนี้ ที่ตนยังคงความทรงจำกับตะกอนพลังของ ‘นักล่า’ เอาไว้ได้ เป็นเพราะได้เจอกับมาดามคนนั้น ได้รับไพ่ ‘เจ็ดไม้’ มาจากเธอ ได้เข้าไปในซากปรักหักพังความฝัน และกระตุ้นความพิเศษในตัวออกมา
หากทั้งสองสัญลักษณ์บนร่างกาย ช่วยให้ลูเมี่ยน ‘นำ’ สถานะผู้วิเศษในฝันมายังโลกความจริงได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะ ‘บันทึก’ สภาพร่างกายไว้ที่จุดเริ่มต้นของวัฏจักรด้วยเช่นกัน
และนั่นคือสาเหตุที่สัตว์ประหลาดปืนล่าสัตว์ ไม่สามารถ ‘เรียกคืน’ ตะกอนพลังนักล่าหลังจากเวลาถูกย้อนกลับ…ลูเมี่ยนพิงพนักเก้าอี้ แหงนมองเพดานแล้วถอนหายใจช้าๆ
เด็กหนุ่มยิ้มเยาะกับตัวเอง
“เพิ่งจะกลายเป็นผู้วิเศษ ก็ต้องพบเจออะไรแบบนี้เสียแล้ว ไม่ให้โอกาสเติบโตกันเลยนะ…”
“อา…แต่จดหมายขอความช่วยเหลือฉบับนั้น ยังไม่แน่ว่าจะเป็นฝีมือของเรา อาจเป็นฝีมือโอลัวร์หรือคุณนายปัวริสก็ได้…พวกเธอเป็นผู้วิเศษ ย่อมตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลในวัฏจักรก่อนๆ และพยายามช่วยเหลือตัวเอง…คำนึงจากความรู้ทางศาสตร์เร้นลับของพวกเธอ ทั้งสองคนมีโอกาสทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้มากกว่าเรา…แต่ไม่ว่าจะแง่ไหน สมมติฐาน ‘วัฏจักรเวลา’ ฟังดูสมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้”
คิดไปคิดมา ลูเมี่ยนค้นพบวิธียืนยันที่มาของจดหมายขอความช่วยเหลือ
วิธีการไม่ซับซ้อน นั่นคือการเข้าไปในความฝัน แล้วเปิดอ่านหนังสือเล็กปกฟ้าเล่มเดียวกันในบ้าน
หากหนังสือเล็กปกฟ้าในความฝันมีคำแหว่ง นั่นเท่ากับว่าจดหมายขอความช่วยเหลือเป็นฝีมือของลูเมี่ยนเอง เพราะว่าบ้านในความฝันพิเศษ เกิดจากผสานจิตใต้สำนึกระหว่างลูเมี่ยนกับซากปรักหักพัง สิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา ย่อมต้องปรากฏอยู่ในนั้นด้วย
หากไม่มี ก็คงเป็นฝีมือโอลัวร์หรือคุณนายปัวริส จิตใต้สำนึกของลูเมี่ยนไม่รู้เรื่อง และไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ
เด็กหนุ่มไม่รีบ ‘งีบ’ เพียงแต่รอให้ใกล้ถึงเวลา จึงค่อยแอบออกจากบ้านไปร้านเหล้าคร่ำครึ
ในมุมหนึ่งของร้านเหล้า เขาพบร่างที่คุ้นเคย
มาดามผู้มอบไพ่ไม้กับสูตรโอสถให้
หญิงสาวแต่งกายในชุดกระโปรงยาวสีส้ม ปกเสื้อตั้งฟู ข้างๆ มือมีหมวกสตรีสีอ่อนขอบย่นวางอยู่
ลูเมี่ยนพลันโล่งใจ คล้ายคนกำลังจมน้ำที่คว้าห่วงยางไว้ได้
เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้างุดๆ เข้าไปหา จนพบว่าบนโต๊ะของมาดามไม่ใช่มื้อเช้า แต่เป็นไพ่ทาโรต์ที่ถูกแบ่งเป็นสามกอง
“ฉันต้องจั่วไพ่หนึ่งใบใช่ไหม?” ลูเมี่ยนถามอย่างระมัดระวัง
“เธอจั่วไปแล้ว” มาดามตอบโดยไม่เงยหน้า ระหว่างนั้นก็รวมไพ่ทาโรต์ทั้งสามกองเข้าด้วยกัน
ลูเมี่ยนรู้สึกถึงความหวานปนเปรี้ยวในดวงตา
มาดามก็ไม่ได้รับผลกระทบจากวัฏจักรเวลาเช่นกัน!
เขาไม่อ้อมค้อม เพียงนั่งลงแล้วถามตรงๆ
“ฉัน…รวมถึงทั้งหมู่บ้านกอร์ตู…กำลังติดอยู่ในวัฏจักรเวลาใช่ไหม”
มาดามเงยหน้าขึ้น ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ ทุกคนล้วนเป็นคนในวง”
คนในวง…ลูเมี่ยนทวนคำในใจซ้ำๆ
แล้วจึงถามด้วยความสงสัย
“หมายถึงอะไร? คนที่ติดอยู่ในวัฏจักรเวลา?”
มาดามยิ้มๆ
“มีสองความหมาย หนึ่งคือการได้รับพลังวิเศษที่เทียบเท่าลำดับ 4 จากการสวดวิงวอนถึงตัวตนลึกลับ อีกหนึ่งคือสถานการณ์ของพวกเธอในตอนนี้”
“ได้รับพลังจากการสวดวิงวอนถึงตัวตนลึกลับได้ด้วยหรือ?” ลูเมี่ยนประหลาดใจกับคำอธิบายแรกของ ‘คนในวง’
เส้นทางผู้วิเศษทั้งยี่สิบสอง มิใช่ว่าต้องเลื่อนลำดับด้วยโอสถเท่านั้นหรือ?
มาดามพยักหน้าเบาๆ
“ตามทฤษฎีแล้ว สุริยันเจิดจรัสมีอำนาจทำให้สาวกกลายเป็นผู้วิเศษได้โดยไม่ต้องพึ่งโอสถ เพียงแค่พึ่งพาพรจากพระองค์ แต่สำหรับพระองค์แล้ว นี่เป็นภาระ เหมาะแก่การใช้แก้ขัดเท่านั้น เมื่อมีคนปรารถนาพรมากขึ้น ภาระก็จะมากขึ้น ถึงขั้นที่ส่งผลกระทบต่อสถานภาพของพระองค์”
“ฝั่งผู้รับพรก็ใช่ว่าจะไม่มีผลกระทบ ทุกคนจะค่อยๆ เข้าใกล้สุริยันเจิดจรัส ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย จิตใจ หรือวิญญาณ”
“อีกทั้ง หากเป็นพรของตัวตนอันสูงส่ง พระองค์สามารถริบคืนได้ทุกเมื่อ เว้นแต่ว่าเธอจะมีพลังวิเศษในบางเส้นทาง และประสบความสำเร็จในการขโมย ‘พรบางส่วน’ ระหว่างที่ผลของพรยังดำรงอยู่”
…………………………………………………….