ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 355 บ่อน้ำที่แท้จริง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 355 บ่อน้ำที่แท้จริง
ตอนที่ 355 บ่อน้ำที่แท้จริง
ในความเงียบสงัดราวกับความตาย ลูเมี่ยนรู้สึกเพียงว่าฝ่ามือขวาของเขาร้อนผิดปกติ ราวกับถูกไฟลวก
เด็กหนุ่มรีบถอดถุงมือสนับออกแล้วพลิกหงายฝ่ามือ พบว่าในส่วนที่ถูกแร่เลือดธรณีกัดกร่อนไป จนเกิดแผลลึกลงไปถึงกระดูก บัดนี้กำลังแดงก่ำ คอยส่งความเจ็บปวดที่ยากจะทานทน จนก่อให้เกิดโทสะ
นอกจากเรื่องนั้น ปัจจุบันยังไม่พบความผิดปกติใด
ในสถานการณ์เช่นนี้ สถานที่เช่นนี้ ลูเมี่ยนไม่มัวไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ระหว่างที่กัดฟันทนความหนาวเหน็บจากร่างกาย รวมถึงความ ‘สงบนิ่ง’ ของความคิด เด็กหนุ่มก้าวถอยหลัง ขณะเดียวกันก็สำรวจสภาพของบ่อน้ำสตรีซามาเรีย
ร่างต่างๆ รวมทั้งเส้นผมที่ยาวเหมือนสาหร่าย ซึ่งกำลังจมอยู่ใต้น้ำ ล้วนถูกสูบเข้าไปในรูที่แม้แต่แสงสว่างยังมิอาจกล้ำกราย ด้านในดูเหมือนกำลังเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด
ร่างคล้ายศพในชุดคลุมสีขาวที่เตร็ดเตร่อยู่รอบสระมิได้ถูกสูบเข้าไปในบ่อน้ำ แต่ก็หายไปเช่นกัน ราวกับระเหิดไปในอากาศ
นี่ทำให้ลูเมี่ยนสงสัยว่า สาเหตุที่ตนได้เจอกับ ‘นางมารลำดับสูง’ ในส่วนอื่นของใต้ดินชั้นสี่ เป็นเพราะบ่อน้ำสตรีซามาเรียเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายคลึงกัน
ฉากตรงหน้าทำให้ลูเมี่ยนผุดความคิดบ้าบิ่น
ในเมื่อร่างอันน่าพรั่นพรึงนั่นถูกพลังประหลาดลากเข้ารูสีดำไปแล้ว ฝ่ายหนึ่งดิ้นรนต่อต้าน อีกฝ่ายพยายามพันธนาการ ซึ่งกว่าจะตัดสินผลแพ้ชนะได้คงต้องรออีกสักพัก เช่นนั้นแล้ว เหตุใดถึงไม่ยกเลิกการหนีไปก่อน ลองคิดหาวิธีด้วยความระแวดระวัง เพื่อดูว่ามีวิธีตักน้ำสีซีดในครั้งหน้าที่มันทะลักออกมาได้หรือไม่
ตอนนี้ไม่มีทั้ง ‘พรายน้ำ’ ที่จมอยู่ก้นสระ ไม่มีร่างอันพร่ามัวที่เดินเตร็ดเตร่ ถือเป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัยที่สุด!
วินาทีถัดมา ลูเมี่ยนเห็นเฮล่านำขวดทองคำออกมา ผิวขวดสลักลวดลายลึกลับซับซ้อนไว้นับไม่ถ้วน คล้ายกับที่เด็กหนุ่มเคยเห็นบนประตูห้องใต้ดินของร้าน ‘ยาลับที่ราบสูง’
เฮล่าไม่รอให้ของเหลวสีซีดเอ่อล้นจากตาน้ำอีกรอบ แต่รีบคุกเข่าลงพร้อมกับจ่อปากขวดไว้ตรงดินที่ริมขอบสระ
ดินเหล่านี้มีสีมืดเข้ม ยิ่งอยู่ใกล้รูสีดำมากเพียงใด ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนดินเต็มไปด้วยสีสัน แต่ถ้ายิ่งไกลออกมาก็ยิ่งดูธรรมดา โดยเฉพาะจุดที่ไม่เคยถูกน้ำบ่อท่วมถึง มันใกล้เคียงกับดินบนทางลาด
ขณะนี้ เนื่องจากของเหลวสีซีดได้หดกลับเข้าไปในรูสีดำแล้ว ดินดำส่วนใหญ่ในสระจึงแห้งผาก ไม่หลงเหลือความชุ่มชื้นอยู่เลย แต่ตรงบริเวณขอบสระยังคงเปียกชื้นอยู่บ้าง ซึมออกมาเป็นหยดน้ำที่ดูจริงกว่าของเหลวสีซีดในตาน้ำ ใกล้เคียงกับสีของทะเลสาบยามราตรี
เห็นเฮล่ามุ่งเป้าไปที่ของเหลวชนิดนี้ ลูเมี่ยนถึงถามอย่างสงสัย
“คุณไม่รอให้น้ำในบ่อสตรีซามาเรียทะลักออกมาอีกรอบหรือ?”
เฮล่าส่ายหน้า
“นี่ต่างหากคือน้ำจากบ่อสตรีซามาเรียที่แท้จริง สายน้ำสีซีดนั่นคือสิ่งอันตรายที่พวกเราในตอนนี้ห้ามสัมผัสโดยเด็ดขาด แค่โดนนิดเดียวก็จะตายทันที ล่องลอยอยู่ใกล้กับบ่อน้ำ หรือไม่ก็จมก้นบ่อไปตลอดกาล ไม่มีข้อยกเว้นแม้จะใช้ภาชนะ”
น่ากลัวขนาดนั้นเชียว? ‘บ่อน้ำสตรีซามาเรีย’ คือผลพลอยได้ของกระแสน้ำสีซีด ไม่ใช่ตัวกระแสน้ำนั่น? ลูเมี่ยนเองก็นำขวดที่เตรียมไว้ออกมา เริ่มตักหยดน้ำที่ซึมออกจากดินชื้นตรงขอบบ่อ
เพียงหนึ่งหยด ขวดใบนั้นก็เริ่มปรากฏร่องรอยของสนิมและการผุกร่อน ราวกับโลหะที่จมน้ำมาเป็นเวลานาน
เฮล่าไม่พูดไม่จา แต่หยิบอีกหนึ่งขวดทองคำออกมา ซึ่งสลักสัญลักษณ์มากมายไว้เช่นกัน แล้วโยนมันให้ลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มจึงมีโอกาสได้ตักหยดน้ำจากบ่อสตรีซามาเรียกับเขาบ้าง แต่ความสนใจส่วนใหญ่ยังคงจดจ่ออยู่กับตาน้ำสีดำมืด
หากการสั่นสะเทือนของแผ่นดินหยุดลง เขาจะรีบหันหลังกลับแล้วเผ่นหนีทันที ตักน้ำจากบ่อได้เท่าไรก็เท่านั้น!
หนึ่งหยด สองหยด สามหยด น้ำจากบ่อไหลเข้าขวดทองคำอย่างเชื่องช้า จนดูเหมือนพร้อมจะหยุดได้ทุกเมื่อ ส่วนขวดที่ลูเมี่ยนเตรียมมาเอง สนิมยิ่งจับตัวหนาจนกลายเป็นเศษเหล็ก
ลูเมี่ยนมองความคืบหน้าที่จนปัญญาจะเร่ง พลางกังวลเกี่ยวกับการล้นทะลักของน้ำสีซีดจากตาน้ำ
จิตใจของเด็กหนุ่มที่ได้รับผลข้างเคียงเชิงลบนานาชนิด บัดนี้กำลังร้อนรน
เขาจึงตัดสินใจพะงาบปาก คอยสบถด่าคำหยาบคายเงียบๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง เด็กหนุ่มเพิ่งเติมไปได้หนึ่งในสามของขวด ก็เห็นเฮล่าหยุดเติมแล้วหมุนปิดฝาขวดทองคำ
อย่าโลภ… ลูเมี่ยนเตือนตัวเองประโยคหนึ่ง แล้วยุติการตักน้ำตามเฮล่า
ทั้งสองวิ่งกลับขึ้นยอดทางลาดชันทันที
ไม่นานก็มีเสียงน้ำดังสาดซ่าจากด้านหลัง
น้ำสีขาวซีดทะลักออกจากรูดำมืดอีกครั้ง!
โดยไม่เหลียวกลับไปมอง หนึ่งชายหนึ่งหญิงวิ่งตรงไปยังเขตหมอกสีขาวอย่างสุดกำลัง ราวกับถูกสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่มองไม่เห็นไล่หลังมาติดๆ
เพียงไม่อึดใจ ทั้งสองก็มาถึงริมขอบหมอก ลูเมี่ยนคว้าแขนของเฮล่า ย่ำเท้าแล้วกระโจนเข้าไป
หลังจากหลุดพ้นเขตหมอกสีเทาขาว ในที่สุดลูเมี่ยนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกอาการ ‘ตัวเย็น’ กับ ‘สมองช้า’ บรรเทาลงมาก
…………
ทะลวงจิต!
ร่างของจินนาโผล่ออกจากเงา ในดวงตาส่องประกาย ‘ไฟฟ้า’ สองเส้น
ชายที่สวมชุดจอมเวทได้ยินเสียงมายาคล้ายบางสิ่งแตก ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดรวดร้าวเข้าไปถึงส่วนลึกของดวงวิญญาณ สมองขาวโพลนไปชั่วขณะ
สัญชาตญาณสั่งให้เขาล้มลง ขดตัวเป็นก้อนกลม ราวกับนี่คือวิธีเดียวในการบรรเทาความเจ็บปวด
ฟรังก้าไม่ให้โอกาสอีกฝ่าย รีบส่องกระจกที่เพิ่งนำออกมาใส่ชายคนนั้นทันที
เมื่อภาพของผู้ว่าจ้างในชุดจอมเวทสะท้อนบนผิวกระจก เพลิงทมิฬของฟรังก้าก็ลุกโชนบนฝ่ามือทันที แล้วถูกนำไปป้ายกับผิวกระจก
คำสาปนางมาร!
เพลิงทมิฬลุกไหม้จากภายในตัวอีกฝ่าย แผดเผาดวงวิญญาณที่กำลังอ่อนแอผิดปกติเพราะความเจ็บปวด
ถัดมา ผลึกน้ำแข็งห่อหุ้มร่างเขาไว้หลายชั้น โดยมีใยแมงมุมไร้สีพันทับหลายรอบจนมองเห็นดวงตาเปล่า
ฟรังก้าคิดจะควบคุมตัวอีกฝ่าย มิใช่สังหาร อย่างไรเสีย ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนี้เกี่ยวข้องกับมลทินหรือองค์ซ่อนเร้นอันสูงส่งหรือไม่ การสื่อวิญญาณส่งเดชอาจนำพาอันตรายมาสู่ตัว
เมื่อเห็นอีกฝ่ายอ่อนแอลงมาก ถูกควบคุมตัวจนแน่นิ่งไม่ไหวติง ฟรังก้าพึมพำด้วยความประหลาดใจเล็กๆ
“แค่นี้?”
เธอไม่สงสัยเลยว่า ตนกับจินนาสามารถเล่นงานอีกฝ่ายได้ด้วยการโจมตีทีเผลอ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้
วินาทีถัดมา ชายคนดังกล่าวเปิดปากอย่างยากลำบาก ภายใต้การควบคุมสามชั้นของเพลิงทมิฬ น้ำแข็ง และใยแมงมุม เขาพ่นเสียงอันอ่อนแอ:
“พวกคุณกำลังทำผิดกฎหมาย!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ในส่วนลึกของใต้ดินคล้ายกับเกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง หินก้อนหนึ่งตกจากเพดานอุโมงค์ ดิ่งลงมายังศีรษะของจินนา
จินนารีบกระโจนไปข้างหน้าพร้อมกับม้วนตัวหลบ แต่ยังคงถูกหินที่หล่นกระแทกใส่สองครั้ง
ทางฟรังก้าก็ไม่ต่างกัน เธอรับรู้ได้ว่าอุโมงค์คงพังทลายหมดแน่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ต่อให้มีกระจกตัวแทน ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะหนีออกจากอุโมงค์ช่วงนี้พ้น
หญิงสาวเลิกลังเล ขยุ้มมือขวาเพื่อกระตุ้นให้เพลิงทมิฬในร่างผู้ว่าจ้างลุกโชนอีกครั้ง
ชายในชุดจอมเวทสิ้นชีพในพริบตาจากการถูกเพลิงทมิฬเผาไหม้
แรงสะเทือนของอุโมงค์หยุดลงทันที ทิ้งไว้เพียงฝุ่นผงฟุ้งกระจายเต็มอากาศ
ฟรังก้าถอนหายใจ แล้วรีบจัดพิธีสื่อวิญญาณโดยไม่มัวพิรี้พิไร ส่วนจินนาปัดไหล่ปัดหลัง แล้วคอยไปกันไม่ให้ใครเข้ามาใกล้
ผ่านไปไม่นาน ฟรังก้าเตรียมพิธีสื่อวิญญาณด้วยกระจกวิเศษเสร็จ ในท่าถือกระจก เธอจ้องใบหน้าอันซีดเซียวที่อวดดีเล็กๆ แล้วพูด
“แกรู้ความลับของเหมืองหินในหุบเขาลึกมากแค่ไหน”
วิญญาณตอบอย่างล่องลอย
“มีคนที่ต้องการใช้เครื่องจักรยืดชีวิต และมีคนที่ต้องการให้เครื่องจักรมีชีวิต”
“ผู้คนบางส่วนในอารามหุบเขาลึกกำลังไถลลงสู่นรก”
พูดให้มันละเอียดๆ ไม่ได้หรือไง? ฟรังก้าถามจี้
“แกมาจากองค์กรไหน? ทำไมถึงฉวยโอกาสจากคดีการหายของคนเฝ้าประตู”
ขณะชายคนนั้นเตรียมเอ่ยปากตอบ ชั้นของหมอกที่แปรผันตลอดเวลาก็ท่วมท้นกระจกฟรังก้า
เพล้ง!
กระจกในมือเธอแตกกระจายทันที
บึ้ม!
ร่างของชายที่ถูกหุ้มด้วยน้ำแข็งกับใยแมงมุมพลันเกิดระเบิด เลือดเนื้อกลายเป็นหมอกที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
แทบจะพร้อมกัน ฟรังก้าก็แตกเหมือนกระจก ร่วงกราวลงพื้นทีละชิ้น
ร่างของเธอโผล่ขึ้นอีกครั้งตรงทางแยกอุโมงค์ ในตำแหน่งข้างจินนา
“ดูยังไงก็มีปัญหา” ฟรังก้าจ้องหมอกเลือดที่มีรูปร่างไม่แน่นอน มองจนมันค่อยๆ ตกตะกอนแล้วผสานเข้ากับพื้นดิน
ส่วนศพคนก็กลายเป็นบ่อเลือดเนื้อไปแล้ว บรรดาสิ่งของบนร่างกาย ยกเว้นโลหะ ล้วนกลายเป็นเศษซาก
ฟรังก้ากับจินนารื้อค้นครู่หนึ่งจนพบกุญแจทองเหลืองหนึ่งดอก กับเหรียญอีกสองสามร้อยเฟลคิน
พวกเธอไม่กล้าอยู่นาน พอลบร่องรอยหมดแล้วก็ออกไปทันที
ราวสองสามนาทีถัดมา เรียวขาคู่หนึ่งซึ่งสวมรองเท้าบูตสีน้ำตาลเลยเข่า ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ บ่อเลือดเนื้อ โดยกำลังถือกาน้ำทองคำใบเล็กที่มีไส้ตะเกียงยื่นออกมา
…………
แสงอาทิตย์เจิดจ้าฉาบลงบนร่างของลูเมี่ยนที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าสุสานใต้ดินฝั่งจัตุรัสแดนชำระ ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเพิ่งย้ายจากดินแดนแห่งความตายมาสู่โลกของคนเป็น ไอเย็นบนร่างทุเลาลงไปอีกหลายส่วน
เขาเหล่มองเฮล่า ซึ่งใบหน้ายังคงซีดเซียวโดยมีรอยจ้ำเลือดสีม่วงแดง รวมถึงรอยผุกร่อนที่ยังไม่สมานตัวดี แล้วพูดพลางยิ้ม
“ถึงจะไม่เกิดการต่อสู้ขึ้นเลย แต่นี่คือประสบการณ์เฉียดตายที่สุดของผมแล้ว”
“คนที่ทิ้งรอยประทับไว้ในบ่อน้ำซีดจางได้นาน ล้วนเป็นบุคคลสำคัญในอดีต” เฮล่าอธิบายง่ายๆ
ลูเมี่ยนถามพลางเดินไปทางริมขอบจัตุรัส
“น้ำจากบ่อสตรีซามาเรียมีประโยชน์อะไรกันแน่ ไม่น่าจะใช้ลืมอดีตลืมความเจ็บปวดได้จริงกระมัง?”
เฮล่าส่ายหน้า
“สำหรับฉัน มันใช้แทนพิธีกรรมบางอย่างได้ หรือก็คือ กลายเป็นส่วนสำคัญของอีกพิธีหนึ่ง”
ลูเมี่ยนไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ถามต่อ
ไม่นานเขาก็พบว่าความเย็นในร่างกาย รวมถึงความคิดอันเชื่องช้า มิได้หายสนิทแม้จะออกจากสุสานใต้ดินแล้ว
ถึงจะหายไปเกือบหมด แต่ราวกับว่าพวกมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของทั้งสอง ตกกลางคืนเมื่อไรก็จะค่อยๆ งอกเงยอีกครั้ง
“ความผิดปกติยังไม่หมดไป” ลูเมี่ยนเตือนเฮล่าด้วยเสียงทุ้ม
เฮล่าพยักหน้า
“ฉันมีวิธีจัดการ คนที่บอกให้คุณลงไปตักน้ำก็คงจะมีวิธีเช่นกัน”
ลูเมี่ยน ‘อืม’ หนึ่งคำ โบกมือลาเฮล่าแล้วเดินไปยังป้ายรถม้าสาธารณะ
เมื่อเทียบกับความผิดปกติที่ค่อยๆ ตายจากไป เขากังวลกับแร่เลือดธรณีและ ‘สนิม’ ประหลาดที่กัดกร่อนเข้าไปในมือมากกว่า
……………………………………………………..