ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 349 ลานพิธีบูชา
ตอนที่ 349 ลานพิธีบูชา
เพื่อนหายไป? ลูเมี่ยนถือเทียนไขสีขาว มองชายหนุ่มที่วิ่งตรงมาอย่างบ้าคลั่ง คิ้วของเขากระตุกเล็กน้อย
ในสุสานใต้ดิน การหายตัวไปถือเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ไม่ปกติคือ ไอ้หนุ่มนี่ยังจำได้ว่ามีกลุ่มเพื่อนหายตัวไปอย่างพิศวง!
เขาไม่ใช่ผู้ดูแลสุสาน และไม่มีเทวทูตถูกผนึกอยู่ในตัว!
เมื่อเกิดสัญญาณผิดปกติ นั่นหมายถึงปัญหา!
“หยุดอยู่ตรงนั้น!” ลูเมี่ยนใช้มือขวาที่ว่างอยู่ชักปืนลูกโม่ออกมา เล็งใส่ชายหนุ่มผมดำตาน้ำตาลที่กำลังหน้าถอดสี
ท่ามกลางแสงเทียนที่ไหววูบ อีกฝ่ายส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่ง:
“ช่วยด้วย! ช่วยผมด้วย!”
“พวกเขาหายไปหมดเลย!”
เขาแค่ชะลอความเร็วลงบ้าง แต่มิได้หยุดฝีเท้า
ปัง!
ลูเมี่ยนเหนี่ยวไกปืนลูกโม่ทันที ปล่อยกระสุนสีเหลืองอำพันพุ่งผ่านร่างของชายหนุ่ม ลอยออกไปไกล จนกระทั่งหายเข้าไปในความมืดสีดำที่แสงเทียนส่องไม่ถึง
ชายหนุ่มคนดังกล่าวสัมผัสถึงเจตนาในการยิงสกัดของลูเมี่ยน จึงยอมหยุดฝีเท้าในที่สุด พร้อมกับเผยสีหน้าอ้อนวอน
“ช่วยผมด้วย! ช่วยผมด้วย!”
ลูเมี่ยนเห็นเฮล่าข้างๆ ยังคงเงียบ ไม่มีท่าทีจะสื่อสาร เขาจึงต้องถามเอง
“เกิดอะไรขึ้น? เล่ามาให้หมด”
ระหว่างที่พูด เด็กหนุ่มอาศัยแสงเทียนสีเหลืองอมส้มจากมือของทั้งสาม สำรวจสภาพแวดล้อมตรงทางเข้าสุสานใต้ดินชั้นสาม
แตกต่างจากสองชั้นก่อนหน้าที่มีโครงกระดูกสีขาวกองอยู่รอบห้อง รวมถึงสองข้างทาง ชั้นนี้มีลานเล็กๆ ที่ปราศจากซากศพโดยสิ้นเชิง
ลานดังกล่าวปูด้วยหินสีเทาซีดจาง แตกร้าวในบางจุด โดยในร่องแตกไม่มีตะไคร่หรือดินขังแม้แต่น้อย ดูสะอาดจนน่าเหลือเชื่อ
ตรงกลางลานมีเสาหินสีเทาขาวสองต้นใหญ่ ตั้งตระหง่านฝั่งซ้ายและขวา ผิวต้นเสาผุกร่อนแสนสาหัส เหลือร่องรอยการกะเทาะหลุดร่อนเป็นวงๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ลูเมี่ยนที่มีสายตาเฉียบคมสามารถจำแนกได้ว่า เสาหินต้นเขื่องทั้งสองสลัก ‘ตราศักดิ์สิทธิ์สุริยัน’ กับ ‘ตราศักดิ์สิทธิ์สามเหลี่ยม’ ไว้บนพื้นผิว ล้อมรอบด้วยสัญลักษณ์ดอกทานตะวัน ข้อเหวี่ยง และก้านสูบ
รอบๆ ลานในบริเวณที่แสงเทียนส่องไม่ถึง ความมืดทั้งข้นทั้งหนา ราวกับมีร่างจำนวนมากตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น คอยจ้องมองลูเมี่ยนจนผิวหนังของเด็กหนุ่มเกิดตุ่มเล็กๆ อย่างหนาแน่น
หนุ่มผมดำตาน้ำตาลที่หน้าถอดสี ตอบด้วยใบหน้าตื่นกลัว
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน พวกเรากำลังจะออกจากลานพิธีบูชาองค์สุริยันเจิดจรัสกับเทพจักรกลไอน้ำ เพื่อไปสำรวจห้องโบราณรอบๆ ชั้นสาม แต่แล้วพวกเขาก็เหมือนสะดุดกับบางสิ่ง ทยอยล้มลงทีละคนสองคน กระทั่งเทียนในมือก็ร่วงลงพื้น ดับวูบในพริบตา”
“ผ…ผมเดินอยู่ข้างหลังสุด เห็นพวกเขาเป็นแบบนั้น แล้วก็… แล้วก็หายไปเฉยเลย!”
“หายไป?” ลูเมี่ยนจงใจถามย้ำ
สำหรับเขาแล้ว ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ที่ ‘หายอย่างไร’ แต่เป็น เหตุใดพยานถึงยังจดจำการหายตัวไปได้
“ใช่ครับ หายไป!” หนุ่มคนนั้นพยักหน้าหนักแน่น “พวกเขายังกับว่า… ยังว่ากับระเหิดหายไปต่อหน้าต่อตาผมเลย! ผ…ผมกลัวมาก… ไม่กล้าไปตามหาพวกเขา ไม่กล้ากลับขึ้นไปบนดินด้วย ได้แต่รออยู่ที่ลานพิธี สรรเสริญสุริยัน จนกระทั่งเทียนไขใกล้จะมอดดับ ในที่สุดก็มีคนมา!”
เดาได้ไม่ยากเลยว่า หากคราวนี้นายไม่ถูกพลังประหลาดรุกราน สามารถรอดชีวิตกลับไปได้ ความศรัทธาที่มีต่อสุริยันเจิดจรัสคงแรงกล้าเป็นเท่าตัว… ลูเมี่ยนยังคงแยกไม่ออกว่าอีกฝ่ายผิดปกติหรือไม่ จึงถามสั้นๆ ในอีกประเด็นหนึ่ง
“พวกคุณเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสินะ”
หนุ่มคนนั้นพยักหน้าอีกครั้ง
“ใช่ครับ พวกเราเป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยครูชั้นสูงประจำกรุงทรีอาร์ ลงมาผจญภัยแบบกลุ่ม ผ…ผมชื่อเจอราร์”
ลูเมี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ ในใจแม้กระทั่งอยากชวนอีกฝ่ายมาร่วมภารกิจค้นหาบ่อน้ำสตรีซามาเรียด้วยกันกับตนและเฮล่า อย่างไรเสีย นักศึกษาทำนองนี้ก็คงรอดชีวิตไปจนเรียนจบได้ยาก แทนที่จะปล่อยกลับไปให้เสียของ สู้เก็บไว้ใช้เป็นเหยื่อล่อไม่ดีกว่าหรือ?
ขณะเด็กหนุ่มครุ่นคิดหาวิธีพิสูจน์ว่าเจอราร์ไม่มีปัญหา เฮล่าก็เปิดปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เราจะพาคุณขึ้นไป”
ใจดีปานนั้นเชียว? ลูเมี่ยนเหลือบมองเฮล่าด้วยความประหลาดใจเล็กๆ
ตามความเข้าใจของเขา มาดามคนนี้อาจเย็นไปถึงเลือดด้วยซ้ำ
เจอราร์รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำหูน้ำตาไหล เอาแต่พูดขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกับเดินเข้ามาหาคนทั้งสอง
ลูเมี่ยนยังคงสังเกตความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย พลางหยิบเทียนสีขาวออกจากกระเป๋าผ้าแล้วโยนออกไป
เจอราร์รับไว้ด้วยความลนลาน ก่อนจะรีบใช้เทียนเล่มเก่าที่เหลือเพียงท่อนสั้นๆ ช่วยต่อไฟให้เทียนเล่มใหม่
เมื่อเห็นว่าแสงเทียนสีเหลืองอมส้มลุกโชนขึ้นมาอีกหนึ่งดวง นักศึกษารายนี้ก็ถอนหายใจยาว เดินตามหลังเฮล่ากับลูเมี่ยน ก้าวเข้าสู่บันไดหินที่พากลับชั้นสอง
เพิ่งเดินขึ้นไปไม่ถึงสิบก้าว เจอราร์ก็ชะงักงัน
ลูเมี่ยนหันกลับไปมอง พบว่าอาการตื่นกลัวที่เคยหลงเหลือบนใบหน้าอีกฝ่าย บัดนี้อันตรธานหายไปหมดแล้ว
“เดินกลับขึ้นข้างบนได้เองใช่ไหม” เฮล่าเอ่ยปากอีกครั้ง แต่ลักษณะการพูดแตกต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
เจอราร์ยิ้มให้ทันที
“ไม่มีปัญหาครับ ขอบคุณสำหรับเทียน… เฮ้อ… ทำเทียนสำรองหายนี่มันวุ่นวายจริงๆ”
หือ… ลูเมี่ยนพลันตึงเครียด ก่อนจะลองถามหยั่งเชิง
“คุณลงมาที่สุสานชั้นสามคนเดียวหรือ?”
เจอราร์พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“แน่นอน ผมมีความกล้าและประสบการณ์เพียงพอ”
ลืมเพื่อนนักศึกษาแล้วสินะ… ที่ก่อนหน้านี้ไม่ลืม ก็เพราะยังอยู่ในลานพิธี? มาดามเฮล่ามองประเด็นนี้ออก จึงเสนอตัวพากลับไปส่ง? ลูเมี่ยนพยักหน้าด้วยความกระจ่าง
หลังจากมองเจอราร์เดินขึ้นบันไดทีละชั้น ผ่านทางเข้าห้องเก็บกระดูกเก่า จนกระทั่งลับสายตาไป ลูเมี่ยนกับเฮล่าก็เดินมายังลานพิธีอีกครั้ง
ในคราวนี้ เมื่อลูเมี่ยนหันไปมองเสาบูชาทั้งสองต้นของสุริยันเจิดจรัสกับเทพจักรกลไอน้ำ ความรู้สึกที่มีต่อพวกมันได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
บางที นี่อาจเป็นสัญลักษณ์ของพรคุ้มครองจากทวยเทพ!
แต่ถึงเสาสองต้นนี้จะเป็นสัญลักษณ์ของการเฝ้ามองและพรคุ้มครองจากเทพจริง หลังจากผ่านเวลาอันยาวนานในห้วงลึกของสุสานใต้ดิน พวกมันก็หนีไม่พ้นการถูกกัดเซาะจนผุกร่อน
ลูเมี่ยนเป็นคนประเภทที่ ยิ่งมีหลักให้พึ่งพิงมากก็ยิ่งมั่นใจ ลองทำดูก็ไม่เสียหาย จึงหันหน้าไปทางเสาบูชาที่สลักตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยัน เชิดตัวขึ้นเล็กน้อย กางแขนทั้งสองข้างออก
“สุริยันจงเจริญ!”
เฮล่าเงียบมองโดยไม่ขัดจังหวะการสวด
หลังจากที่ลูเมี่ยนจบการสรรเสริญสั้นๆ ทั้งสองก็อาศัยเส้นสีดำเหนือศีรษะ รวมถึงป้ายบอกทางที่ขอบลาน มุ่งหน้าไปยัง ‘เสารัตติกาลกริสโมนา’ ที่อยู่ทางทิศเหนือ
ลูเมี่ยนซึ่งถือเทียนสีขาว เพิ่งจะเดินออกจากลานบูชาได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรดลใจ จึงก้มมองพื้นตรงหน้า
โครงกระดูกที่กองอยู่ข้างทาง ตามเนื้อตัวปกคลุมด้วยเชื้อราสีเขียวเข้ม ล้มลงมาตั้งแต่เมื่อไรก็บอกไม่ได้ กระดูกแขนทอดขวางบนทางเดิน ราวกับจะคว้าข้อเท้าของผู้สัญจรไว้
หากเมื่อครู่ลูเมี่ยนเดินเร็วกว่านี้สักหน่อย ใส่ใจกับสภาพแวดล้อมน้อยกว่านี้สักหน่อย เขาอาจสะดุดโครงกระดูกล้มไปแล้ว!
เด็กหนุ่มนึกถึงคำบรรยายของเจอราร์ขึ้นมาทันที
กลุ่มเพื่อนมหาวิทยาลัยของเขาได้สะดุดเข้ากับบางสิ่ง ล้มลงบนพื้นจนเทียนดับ จึงถูกสุสานใต้ดิน ‘กลืนหายไป’ แม้แต่ร่องรอยการดำรงอยู่ก็ไม่หลงเหลือ!
พวกเขาสะดุดโครงกระดูกพวกนี้? ลูเมี่ยนครุ่นคิดพลางใช้เท้าข้างหนึ่งเตะกระดูกมือนั่นออกไป
พร้อมกับเสียงแกร่ก เขากับเฮล่าเดินหน้าไปต่อ แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ก้าว ทั้งสองก็เห็นโครงกระดูกสีขาวซีดล้มครึ่งตัวลงมาขวางถนนอีกครั้ง
ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว รีบหันกลับไปมองจุดก่อนหน้าที่ตนเกือบสะดุดล้มทันที
แสงเทียนสีเหลืองแผ่ขยายไปถึงตรงนั้น แม้จะเจือจางมากแล้ว แต่ลูเมี่ยนก็ยังมองเห็นด้วยสายตาของนักล่า จึงเพ่งพินิจเก็บรายละเอียดให้ชัดเจน
ม่านตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างทันใด เมื่อพบว่ากระดูกมือสีขาวซีดที่ตนเพิ่งเตะไป กลับสู่ตำแหน่งเดิมเรียบร้อยแล้ว ยังคงทำหน้าที่เป็นหินสะดุดเท้าให้ผู้คนเหมือนเมื่อครู่!
“ไม่ใช่ แต่ก็เป็นได้” เฮล่าตอบสั้นๆ
เมื่อเห็นลูเมี่ยนทำหน้างงงัน เธอจึงอธิบายเสริม
“ตอนนี้พวกมันคงได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมในส่วนลึกของสุสาน จึงเกิดความผิดปกติบางอย่าง… แต่หากภัยซ่อนเร้นและสิ่งที่น่าพรั่นพรึงซึ่งแฝงตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมปะทุออกมา ถึงตอนนั้น พวกมันทั้งหมดจะกลายเป็นอันเดด”
ทั้งหมดจะกลายเป็นอันเดด… ลูเมี่ยนลองจินตนาการตาม แล้วก็พลันขนลุกโดยสัญชาตญาณ
โครงกระดูกในชั้นนี้ ทั้งสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ มีจำนวนอย่างน้อยหลายล้านชิ้น หรืออาจเพิ่มไปอีกหนึ่งหลัก หากทั้งหมดกลายเป็นอันเดดที่เกลียดชังคนเป็น เรื่องราวจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใดกัน!
เมื่อเห็นว่าเฮล่าไม่มีทีท่าจะย้อนกลับ ลูเมี่ยนจึงเดินตามไป ทั้งสองอาศัยป้ายบอกทางกับเส้นสีดำเหนือศีรษะ เดินฝ่าเหล่าโครงกระดูกที่พยายาม ‘ขวางทาง’ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายอย่างไม่รีบร้อน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ โดยไม่ได้พานพบคนเป็นอีกเลย ในที่สุดพวกเขาก็มาถึง ‘เสารัตติกาลกริสโมนา’
เป็นเสาหินอ่อนสีดำขนาดมหึมา ยอดด้านบนแตะถึงเพดานถ้ำ บนพื้นผิวมิได้แกะสลักลวดลายหรือสัญลักษณ์ใด ไม่มีร่องรอยการผุกร่อนหรือเสื่อมโทรม
ลูเมี่ยนมองด้วยความตกตะลึง
ต้องไม่ลืมว่า ในลานบูชาหน้าบันได เสาหินสองต้นที่เป็นตัวแทนของสุริยันเจิดจรัสกับเทพจักรกลไอน้ำ ต่างก็ผุกร่อนเสื่อมโทรมกันไปแล้ว!
นี่มันพิเศษกว่าเสาบูชาเสียอีกงั้นหรือ?
เฮล่าราวกับเดาความคิดลูเมี่ยนได้ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“กริสโมนาคือหนึ่งในสมาชิกของนิกายนางมาร หรืออีกชื่อหนึ่งคือตระกูลนางมาร”
“พระองค์คือลำดับ 2 ‘นางมารหายนะ’ ซึ่งร่วงหล่นในสงครามสี่จักรพรรดิเมื่อนานมาแล้ว ตรงกับยุคสมัยที่สี่ แต่ตะกอนพลังทั้งหมดถูกตระกูลนางมารเก็บกลับคืนไปแล้ว”
“นอกจากเสารัตติกาลกริสโมนาแล้ว ใต้ดินในชั้นที่สามหรือสี่ยังมี ‘เสารัตติกาลมาเรียน’ และ ‘เสารัตติกาลเลียส’ ด้วย”
“สองท่านนี้คือ?” ลูเมี่ยนเชื่อว่าคงเป็นเทวทูตเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงเทียบชั้นกริสโมนาไม่ได้
“มาเรียนเป็นสันตะปาปาของศาสนจักรรัตติกาลในสมัยนั้น ส่วนเลียสเป็นบริวารข้างกายเทพมรณาโบราณ อยู่ลำดับ ‘กงสุลมรณะ’ ตะกอนพลังของทั้งสองถูกฝ่ายตัวเองเก็บคืนไป ส่วนจะมีเทวทูตตนอื่นร่วงหล่น ณ ที่แห่งนี้อีกหรือไม่ ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่เหล่าเทวทูตฝ่ายจักรพรรดิโลหิตคงร่วงหล่นไปไม่น้อยแน่นอน” เฮล่าเล่ารวบรัด จากนั้นก็ชี้ไปทางบันไดหินด้านหลังเสารัตติกาลกริสโมนา “เราลงไปชั้นสี่กันเถอะ”
ลูเมี่ยน ‘อืม’ หนึ่งคำ แล้วเสนอให้เปลี่ยนเทียนสีขาวที่กำลังจะหมดแท่งก่อนลงไป
…………
หลังจากจบชุมนุมศาสตร์เร้นลับ ฟรังก้ากับจินนาก็เดินกลับทางเดิม มุ่งหน้าสู่ย่านใต้ดินที่ตรงกับถนนอาเขตโรงละคร
หลังเลี้ยวผ่านทางแยกหนึ่ง ฟรังก้าเอียงตัวเล็กน้อย ย่อตัวกระซิบข้างหูของจินนา
“มีคนกำลังสะกดรอยตามเรา”
มีคนสะกดรอยตามเรา? จินนาตกตะลึงในใจ
……………………………………………………..