ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 341 สาขา
ตอนที่ 341 สาขา
ถนนโดลในเขตตลาดตั้งอยู่ใกล้กับเขตหอรำลึก เต็มไปด้วยร่มไม้เขียวขจี พื้นถนนสะอาด สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ จินนาเลือกนัดพบ ‘ผู้ชำระ’ ที่นี่เพราะคนแถวนี้ส่วนใหญ่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตเดิมของเธอ แทบไม่มีใครจดจำเธอได้
จินนาสวมเสื้อเชิ้ตสตรีสีขาว คลุมทับด้วยชุดกระโปรงยาวสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งแตกต่างจากการนัดกับพบสองผู้ชำระในคราวก่อนเล็กน้อย เพื่อป้องกันมิให้อีกฝ่ายเอะใจหลังจากเห็นเธอแต่งกายเหมือนเดิมทุกครั้ง
แน่นอน รูปแบบการแต่งกายโดยรวมยังคงเน้นความสะอาด สดใส และสดชื่น ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่จินนาได้ข้อสรุปจากการฟังบิชอปเทศนา รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมของวิหาร จนได้ยินคำพูดผ่านๆ
เธอห้อยสร้อยคอพระอาทิตย์ ผมสีน้ำตาลอ่อนมัดรวบเรียบง่าย เดินไปตามร่มเงาต้นไม้ริมทาง จนกระทั่งถึงอพาร์ตเมนต์เลขที่ 17 ตามที่นัดหมาย
รถม้าสี่ล้อสีน้ำตาลแล่นผ่านเธอไป หน้าต่างเปิดอ้า เผยให้เห็นใบหน้าสะสวยจนต้องเหลียวหลัง
มาดามในรถสวมชุดราตรีราชสำนักสีดำยาว สวมหมวกผ้าโปร่งสีดำเข้มประดับขนนกสีขาว ผมสีดำถูกมัดอย่างประณีตบรรจง รูปหน้านุ่มนวล คางโค้งสวยงาม จมูกบางโด่งสง่า ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มเชิดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีเทาเข้มสว่างไสว แต่ก็คล้ายเจือความเศร้าอยู่เล็กน้อย ใครได้มองเป็นต้องรู้สึกเจ็บปวด
สวยจัง… เมื่อรถม้าแล่นผ่านไป จินนาเผลออุทานจากใจจริง
แม้ตัวเธอเองก็นับว่าสวย แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคในการชื่นชมเสน่ห์ของผู้อื่น ขณะเดียวกัน เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเทียบกับฟรังก้าที่กลายเป็นนางมารสุขสม รวมถึงมาดามคนเมื่อครู่ ตัวเองยังด้อยกว่าพอสมควร
จินนาถอนสายตากลับ เดินไปจนถึงดาดฟ้าของอพาร์ตเมนต์เลขที่ 17 ถนนโดล
เธอไม่ต้องรอนาน อิมเรกับวาเลนไทน์ก็มาถึง
“คุณได้ข้อมูลสำคัญมาหรือครับ?” วาเลนไทน์ถามด้วยสีหน้าเย็นชา แต่ค่อนข้างกระตือรือร้น
สายตาของเขากวาดไปที่คอของจินนา แลเห็นสร้อยคอตราศักดิ์สิทธิ์สุริยัน จึงพยักหน้าเบาๆ อย่างพึงพอใจจนแทบไม่สังเกตเห็น
จินนาส่ายศีรษะเชื่องช้า
“ไม่ใช่ค่ะ”
“ฉันอยากสารภาพบาปค่ะ”
สารภาพบาป? อิมเรอดไม่ได้ที่จะหันไปสบตากับวาเลนไทน์
เธอไปทำอะไรมา?
จินนาก้มหน้าลงเล็กน้อย มองพื้นแล้วยิ้มอย่างขื่นขม:
“ฉันฝันถึงแม่อีกแล้ว… ฝันถึงเธอหลายครั้งมาก”
“ทุกครั้งที่ฝันถึง ฉันก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับศาสนจักร… เหตุใดถึงปล่อยให้คนอย่างฮิวจ์·อาร์ทัวส์มีสิทธิ์ลงเลือกตั้ง? เหตุใดถึงไม่จับกุมคนสนิทของเขาทันทีที่พบปัญหา เพื่อหยุดหายนะที่จะตามมา?”
“ฉ…ฉันอยากสารภาพบาป ความทุกข์ทรมานกำลังกัดกร่อนจิตใจของฉัน สั่นคลอนศรัทธาของฉัน ทำให้ฉันเกิดคำถามว่า พระองค์ท่านกับศาสนจักรยังคุ้มครองพวกเราอยู่จริงหรือ”
นี่คือความรู้สึกจากก้นบึ้งจิตใจเธอ เพียงแต่มิได้รุนแรงตามที่แสดงออกผ่านคำพูดเมื่อครู่
วาเลนไทน์ฟังแล้วก็ละอายใจ ไม่รู้ว่าควรตอบจินนาอย่างไร
อิมเรเคยเจอสถานการณ์ทำนองนี้มาไม่น้อย จึงถอนหายใจแล้วปลอบโยนอย่างเชี่ยวชาญ
“อย่าได้สงสัยเลย พระองค์ท่านคอยจับตามองพวกเราอยู่เสมอ แสงอาทิตย์ส่องลงมายังผืนโลกทุกวัน แต่เธอก็รู้ว่าแสงสว่างกับความมืดผลัดกันยึดครองโลกทั้งใบ พระอาทิตย์ต้องตกดินทุกวัน ยามราตรีต้องมาถึงอย่างไม่อาจเลี่ยง ด้วยเหตุนี้ เราถึงต้องยินดีกับแสงแรกของยามเช้า ยินดีกับพระอาทิตย์ที่ผงาดกลับมาอีกครั้ง”
“ในทำนองเดียวกัน ศาสนจักรก็มิได้เรืองอำนาจ อย่างน้อยก็ในกรุงอินทิส เรายังถูกตีกรอบจากศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ รัฐสภา และรัฐบาล ไม่สามารถทำตามอำเภอใจ หรือสอบสวนใครตามใจชอบได้”
“ความทุกข์กับวิบากกรรมคือส่วนสำคัญของชีวิต มีมากบ้างน้อยบ้าง แต่มันจะผ่านไปทั้งหมด เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นใหม่ทุกวัน ส่องสว่างผืนแผ่นดินอีกคราหนึ่ง”
จินนานิ่งไปสองสามวินาที ก่อนจะบรรจงผ่อนลมหายใจแล้วกางแขนออกเล็กน้อย
“สุริยันจงเจริญ!”
“สุริยันจงเจริญ!” วาเลนไทน์กับอิมเรตอบกลับพร้อมกัน
ด้วยการแสดงที่เปี่ยมล้นความจริงใจ จินนาถือโอกาสถาม
“แล้วใครกันที่ผลักดันให้ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ขึ้นสู่ตำแหน่งสส.? ใครทำให้เขาเป็นตัวแทนของเทพมาร?”
“ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด” อิมเรกล่าวพลางใคร่ครวญ
จินนาแสดงท่าทีกระวนกระวายปนกังวล
“ทำไมป่านนี้แล้วถึงยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดอีกล่ะ? เพราะติดข้อจำกัดที่เพิ่งกล่าวไป จึงยังไม่ได้เบาะแสสำคัญงั้นหรือ? ให้ฉันช่วยไหม? ฉันไม่มีข้อจำกัด ไม่กลัวการละเมิดกฎหมาย!”
ท่าทีของจินนามิได้ทำให้อิมเรกับวาเลนไทน์รู้สึกแปลกใจ เป็นอารมณ์ที่สอดคล้องกับการลุกขึ้นมาแทงฮิวจ์·อาร์ทัวส์ เพียงแต่อ่อนกว่ามาก
ทั้งสองมองหน้ากัน ประหนึ่งกำลังสื่อสารด้วยสายตา ว่าจะมอบงานด้านนี้ให้กับสายข่าวที่ทำสัญญากันแล้วดีหรือไม่ แบบนั้นจะยิ่งช่วยให้ยุทธวิธีเปิดกว้างมากขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น อิสระมากขึ้น
จินนานึกถึงคำเตือนของฟรังก้า จึงมิได้ใช้พลัง ‘กระตุ้น’ โดยตรง เพียงหยั่งถึงสภาพจิตใจของผู้ชำระทั้งสอง แล้วโน้มน้าวด้วยคำพูดปกติ
“สิ่งที่ศาสนจักรทำไม่ได้ มอบมันให้สาวกที่มีฝีมือทำแทนไม่ได้หรือ?”
“สุดท้ายแล้ว หน้าตาของศาสนจักรสำคัญกว่า หรือว่าลูกๆ ของพระองค์ท่านสำคัญกว่ากัน?”
“การยับยั้งภัยพิบัติแต่ละครั้ง สามารถช่วยชีวิต ช่วยครอบครัว และช่วยสาวกเดนตายแห่งสุริยันได้มากมาย”
“ฮิวจ์·อาร์ทัวส์มีเทพมารคอยหนุนหลัง!”
วาเลนไทน์ถูกโน้มน้าวใจ เมื่อเห็นว่าอิมเรไม่คัดค้าน จึงถามเชเลีย·เบลโลด้วยสีหน้าขึงขัง
“คุณแน่ใจหรือว่าจะช่วยพวกเราสืบเรื่องนี้ มันอันตรายมากเลยนะ แถมยังมีโอกาสเสียชีวิต”
จินนาตอบด้วยรอยยิ้มอันซับซ้อน
“ฉันกลัวความตาย แต่ที่กลัวมากกว่าก็คือ การต้องตกเป็นเหยื่อของสาวกเทพมารอย่างไร้เหตุผล… เหมือนกับที่แม่ของฉันประสบ”
เธอไม่ปิดบังความอาฆาตแค้นแม้แต่น้อย
อิมเรจึงกล่าว
“จากการสืบสวนของเรา พบว่าฮิวจ์·อาร์ทัวส์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายพลฟิลิป บางสิ่งที่เขาเคยทำอย่างลับๆ สามารถสืบย้อนกลับไปถึงรายหลังได้ แต่นายพลฟิลิปป่วยตายไปเมื่อต้นปีก่อน ทำให้เบาะแสขาดหายไปทั้งหมด”
“ในกรณีของผู้สนับสนุนกับผู้อุปถัมภ์ของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ บางคนถูกนายพลฟิลิปชักชวนมา บางคนมองว่าเขามีคุณค่าเพียงพอให้สนับสนุน จึงคอยช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครเกี่ยวข้องกับลัทธิเทพมารหรือองค์กรลับนอกรีต”
จินนาโพล่งถาม
“แล้วครอบครัวของฟิลิปล่ะ? แล้วพวกสาวกเทพมารรอบตัวฮิวจ์·อาร์ทัวส์ล่ะ?”
“ครอบครัวของฟิลิปไม่มีปัญหา” วาเลนไทน์ตอบด้วยความเสียดาย “สาวกเทพมารในทีมหาเสียงของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ถูกจับเป็นเพียงสองคน ซึ่งก็ไม่ใช่คนสำคัญ คนที่รู้มากที่สุดเมื่อถึงคราวจนตรอก ก็เลือกฆ่าตัวตายทันที เป็นพวกคลั่งไคล้อย่างสุดโต่งเลยล่ะ ส่งผลให้พวกเราพลาดเบาะแสสำคัญไป เพียงแค่ได้กำจัดสองสาขาย่อยขององค์กรลับอย่าง ‘สมาคมมลายสิ้นสรรพสิ่ง’ เท่านั้น”
สมาคมมลายสิ้นสรรพสิ่ง… จินนาจำได้ว่านี่เป็นชื่อขององค์กรลับที่ศรัทธาเทพมาร
อิมเรเสริมว่า
“คนที่รู้มากที่สุดคือ ‘ผมแดง’ คาแซนดรา เป็นสมาชิกตระกูลย่อยของราชวงศ์เซารอนเก่า เป็นทั้งผู้วิเศษและผู้รับพรจากเทพมาร”
“ตระกูลเซารอนมีปัญหาไหม” จินนาถามต่อ
อิมเรส่ายหัว
“ข้อสรุปในปัจจุบันคือไม่ ตระกูลขุนนางที่สนับสนุนฮิวจ์·อาร์ทัวส์ในช่วงแรก ส่วนใหญ่ไม่มีความสัมพันธ์กับตระกูลเซารอน ในกรณีของคาแซนดรา เนื่องจากไม่ได้รับความสำคัญในตระกูลเซารอน เธอจึงเลือกไปเป็นนักผจญภัย ในภายหลังได้เป็นผู้วิเศษ จนกระทั่งเข้าร่วมทีมของฮิวจ์·อาร์ทัวส์เมื่อปีก่อน”
…………
เขตโรงอุปรากร ถนนลองบา ร้านกาแฟเครื่องจักร
เค้กพระราชาที่ทำจากแป้งพายทั้งด้านบนและด้านล่าง ลวดลายคล้ายดอกไม้ยักษ์สีดำบนพื้นสีน้ำตาล ถูกลำเลียงมาถึงหน้าปุยฟ์·เซารอนกับชาวองค์กรแมวดำคนอื่นๆ ผ่านกลไก
ปุยฟ์มองไปรอบๆ ก่อนจะพูดกับลูเมี่ยน อาร์โนลี และคนที่เหลือ
“ผมขอเสนอให้เกมเค้กพระราชาในครั้งนี้ ถวายแด่บรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ของผมเอง ปฐมเคานต์แห่งอาร์แดน และยังเป็นเคานต์แห่งช็องปาญคนที่ยี่สิบเจ็ดด้วย”
ปุยฟ์·เซารอนมักเรียนตัวเองว่าเคานต์แห่งอาร์แดน
“เคานต์แห่งช็องปาญที่อยากได้ก้นของโรซายล์คนนั้นน่ะหรือ” นักเขียนอาร์โนลีเผยรอยยิ้ม
ในปีที่ผ่านมา หนังสือเถื่อนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดใต้ดินของทรีอาร์มีชื่อว่า ‘บันทึกลับของโรซายล์มหาราช’ ซึ่งไม่เพียงรวบรวมข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับจักรพรรดิโรซายล์ที่มีอยู่แล้ว แต่ยังเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ ที่ดูเหลวไหลแต่เร่าร้อนไว้มากมาย
ปุยฟ์ถอนหายใจ
“นั่นคือเคานต์แห่งช็องปาญที่สามสิบต่างหาก เป็นเหลนของท่านบรรพชนของผม อยู่ในอีกตระกูลสาขาหนึ่งของเซารอน”
“ผมไม่คัดค้าน” มาเลน จิตรกรผมสีเชือกป่านตาสีน้ำตาล ดึงบทสนทนากลับเข้าสู่ประเด็น
นี่เป็นเพียงแค่เกม คนอื่นก็มิได้ยืนกรานว่าต้องถวายเค้กพระราชาส่วนเกินแด่ใคร ทุกคนจึงตกลงกันง่าย
ตามนิสัยของลูเมี่ยน เขาควรคัดค้านพร้อมกับหลอกล่อเคานต์ปุยฟ์สักหน่อย แต่ก็ยังไม่ลืมว่าตอนนี้ตนกำลังสวมรอยเป็นเพื่อนของการ์ดเนอร์·มาร์ติน ลูกชายของพ่อค้าผู้มั่งคั่งที่ชอบงานศิลป์ เป็นคนโง่ที่ใช้เงินซื้อคำดูแคลน เด็กหนุ่มจึงต้องคอยข่มใจเอาไว้
ปุยฟ์หันไปทางนักวิจารณ์วรรณกรรมนามว่าเอินส์ที่ค่อนข้างสงบปากสงบคำ แล้วพูดว่า
“คุณรับผิดชอบหั่นเค้ก”
เอินส์เจ้าของผมหยักศกสีดำ หัวเราะจิกกัดตัวเองทันที
“สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดในร้านกาแฟเครื่องจักรคือการไม่มีบริกร มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นบริกรเสียเอง”
“นั่นไม่ใช่เรื่องดีหรือไง? มันหมายความว่าไม่มีสายลับ” นักเขียน นิยายอาร์โนลีบ่นพึมพำ
กวีอีแลตผู้สูบกล้องยาไม้เชอร์รี่หัวเราะในคอ
“บางที สายลับอาจจะอยู่ในหมู่พวกเราก็ได้นะ”
ขณะเดียวกัน เอินส์ได้หยิบมีดหั่นอาหารขึ้นมา ลงมือแบ่งเค้กพระราชาออกมาเป็นเจ็ดชิ้นเท่าๆ กัน
ปุยฟ์จิ้มเค้กพระราชาชิ้นหนึ่งแล้วเลื่อนไปไว้ตรงขอบจาน ก่อนจะประสานมือไว้บนหน้าอกพลางสวดวิงวอนด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอถวายแด่ท่านบรรพชนแห่งตระกูลเซารอน ฟอม็องดา·ช็องปาญ·เซารอนผู้ยิ่งใหญ่”
เมื่อปุยฟ์สวดซ้ำครบสามรอบ ลูเมี่ยนพลันตระหนักได้ว่าร้านกาแฟเครื่องจักรที่แต่เดิมก็ไม่มีบริกรอยู่แล้ว ยิ่งเงียบเข้าไปกันใหญ่ คล้ายกับตอนที่บิชอปเริ่มเทศนา
หลังจากถวายเค้กส่วนเกินให้ฟอม็องดา·เซารอนแล้ว ปุยฟ์ก็เงยหน้าขึ้น มองลูเมี่ยนพลางพูดยิ้มๆ
“คุณเป็นแขก เชิญเลือกก่อนเลย”
ลูเมี่ยนไม่ได้มองด้วยซ้ำ เพียงยื่นมือไปหยิบเค้กพระราชาชิ้นใกล้ตัวที่สุด
ทันใดนั้นเอง เสียงอันกังวานน่าเกรงขามของเทอร์มีโพลอสพลันดังแว่วข้างใบหู
“เปลี่ยนเป็นชิ้นอื่น”
……………………………………………………..