ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 323 ภาพจิตวิทยา
ตอนที่ 323 ภาพจิตวิทยา
ลูเมี่ยนยืนอยู่ตรงทางแยก สอดมือล้วงกระเป๋ากางเกง เดินไปตามถนนกำแพงเมืองด้วยท่าทีสบายๆ
ถนนสายนี้ตามความคิดของชาวทรีอาร์ส่วนใหญ่ มีชื่อเสียงยิ่งกว่าถนนใหญ่แนวร่มไม้เสียอีก ถือเป็นดินแดนในฝันของพวกเขาก็ว่าได้
ก่อนที่จักรพรรดิโรซายล์จะริเริ่มยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ละแวกกรุงทรีอาร์ยังมิได้ใหญ่โตอย่างทุกวันนี้ เขตกำแพงเมืองถือเป็นฝั่งตะวันออกสุด มีแนวกำแพงเมืองอันแข็งแกร่ง มีทหารยามอารักขาประจำกำแพง มีค่ายทหารตั้งอยู่ไม่ไกลออกไป จึงมีหญิงค้าบริการกับซ่องโสเภณีผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเพื่อรองรับความต้องการ
เมื่อวันเวลาผ่านไป พร้อมกับการได้รับชื่อถนนกำแพงเมือง กอปรกับการเพิ่มขึ้นของประชากรกรุงทรีอาร์ ‘ตลาดเล็กๆ’ ในตอนแรกได้เติบโตเป็นหนึ่งในโลกแห่งบุปผาที่โด่งดังที่สุดบนทวีปเหนือใต้
ลูเมี่ยนเดินอยู่ใต้แนวต้นเมเปิลอินทิส แลเห็นอาคารที่เปล่งประกายดุจดังพระราชวังตรงหน้า รวมถึงอพาร์ตเมนต์ที่ดูธรรมดาสามัญ จุดร่วมคือหน้าต่างของพวกมัน ทั้งหมดหรือบางส่วนประดับประดาด้วยกระจกฝ้ากับบานเกล็ดสีเขียว
ถนนกำแพงเมืองยามบ่ายดูคล้ายกับยังไม่ตื่นตัวดีนัก ผู้คนสัญจรบางตา แต่ก็ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะ บางคนสวมเครื่องแบบคนงานสีเทาอมฟ้า เดินจ้ำเท้ารีบเร่ง บางคนแต่งกายด้วยชุดเก่าคร่ำคร่า เหลียวซ้ายแลขวาแล้วก้าวเข้าไปในอพาร์ตเมนต์หลังหนึ่ง บางคนแบกกล้องถ่ายรูป ถ่ายนั่นนี่ไปเรื่อย ในที่สุดก็หายเข้าไปในตึกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา บางคนพยายามทำตัวเหมือนชาวอินทิส แต่สุดท้ายก็ไม่แนบเนียน เนื่องจากไม่อาจปลอมแปลงรายละเอียดยิบย่อยจำพวกสีผมหรือส่วนสูงที่ดูเกินจริง
มิหนำซ้ำ ลูเมี่ยนยังเห็นหุ่นยนต์สีเทาเหล็กสูงกว่าสองเมตร มีช่องระบายอากาศบนหลัง คอยปล่อยควันสีขาวตลอดเวลา บนผิวโลหะประดับด้วยเฟือง สปริง ตะปูเกลียว และท่อโค้งโผล่ออกมาให้เห็นหลายจุด
ชายคนหนึ่งนั่งบนไหล่ซ้ายของหุ่นยนต์ แต่งกายหรูหรา แต่งหน้าประณีต มองผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย มองคนมีฐานะที่สวมหน้ากากสีทองหรือเงิน เนื่องจากไม่อยากเปิดเผยตัวตน มองไปยังบุรุษที่เพิ่งตื่น โดนโซเซไปตามถนน
บนถนนสายนี้ ชาวบ้านทั่วไปกับชนชั้นสูงเดินปะปนกันโดยไม่แบ่งแยก เกิดเป็นความกลมกลืนอันแปลกประหลาด
ลูเมี่ยนเดินไปพลางเหลียวซ้ายแลขวา ตามหาสถานที่เป้าหมาย
เสี้ยววินาทีถัดมา เด็กหนุ่มเห็นอัลบัสเดินออกจากตรอกด้านข้าง
ชาวชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กเจ้าของเรือนผมสีแดงเข้มรายนี้ ก็สังเกตเห็นลูเมี่ยนเช่นกัน จึงยิ้มเล็กน้อย ยกมือขวาขึ้น ชี้ศีรษะตัวเอง ราวกับกำลังท้าทายบางอย่าง
ลูเมี่ยนทราบดี อีกฝ่ายมาช่วยตามหาหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ตามคำสั่งของการ์ดเนอร์·มาร์ติน จึงสงสัยว่าเมื่อสักครู่ ทางนั้นคงอยากสื่อว่า ‘มาแข่งกัน’ เพื่อดูว่าใครจะเจอ ‘เหยื่อ’ ก่อน
นอกจากอัลบัสแล้ว คงมีสมาชิกชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กอีกไม่น้อย ทั้งทางการและไม่เป็นทางการ มาเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ด้วย หากมองในแง่การรักษาสัญญา จนถึงตอนนี้ถือว่าการ์ดเนอร์·มาร์ตินทำได้ดีพอสมควร
ลูเมี่ยนไม่สนใจอัลบัส เดินลึกเข้าไปในถนนกำแพงเมือง
ตามผลการ ‘ทำนายด้วยกระจกวิเศษ’ ล่าสุดของ ‘นางมารสุขสม’ ฟรังก้า ขอบเขตของ ‘ศาสตร์การดูดวง’ ก่อนหน้านี้ถูกตีกรอบให้แคบลง
กิโยม·เบเนต์มีแนวโน้มสูงที่จะปรากฏตัวในสัปดาห์นี้ ตำแหน่งครอบคลุมถนนห้าสาย เช่นถนนกำแพงเมือง ถนนเศวตอาชา หรือใกล้เคียง
แน่นอนว่าด้วยความยาว ขนาด และความหนาแน่นของประชากรบนถนนกำแพงเมือง รวมถึงความคึกคักของย่านโดยรอบ ผลการทำนายข้างต้นถือว่ายังกว้างเกินไป ยากที่จะล้อมจับ ‘เหยื่อ’ ด้วยวิธีค้นหาแบบปูพรม เว้นแต่จะได้รับความช่วยเหลือจากทางการ ส่งทหารเข้ามาสักหนึ่งกอง ปิดล้อมพื้นที่ แล้วเฝ้าทางเข้าออกทรีอาร์ใต้ดินทั้งหมด
เดิมที ลูเมี่ยนหวังลมๆ แล้งๆ ว่าองค์กรลับอย่างชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ซึ่งเป็นแหล่งรวมนักล่าฝีมือดี จะมีกลยุทธ์สำหรับแกะรอยหรือไล่ล่าที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า รวมถึงคาดหวังว่า การเป็น ‘ภาชนะ’ ให้เทอร์มีโพลอส เทวทูตแห่งชะตากรรม จะสร้างแรงดึงดูดได้ในระดับหนึ่ง ขอเพียงเข้าใกล้กิโยม·เบเนต์ได้ถึงขอบเขตที่กำหนด ทั้งสองฝ่ายก็อาจถูกดึงดูดเข้าหากันจน ‘พบกันอีกครั้ง’ ผ่านการจัดเตรียมของโชคชะตา
แต่ตอนนี้ เด็กหนุ่มมีเบาะแสใหม่แล้ว
ส่วนใหญ่มาจากความรู้ทางศาสตร์เร้นลับที่มากับผู้ถือพันธสัญญา!
ความรู้เหล่านั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่สามารถถูกอัญเชิญหรือควบคุม เช่นค่าตอบแทนในการทำสัญญา พลังที่จะได้รับ รวมถึงผลข้างเคียงด้านลบหลังจากทำสัญญา
เมื่อนำไปผนวกกับพลังจากพันธสัญญาที่หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์เคยแสดงให้เห็นในความทรงจำหรือความฝัน ลูเมี่ยนสามารถเรียบเรียงออกมาได้ดังนี้:
“อัญเชิญบุปผามารนรก — ต้องสังเวยด้วยเลือดสดมนุษย์จำนวนมาก ผลข้างเคียงเชิงลบคือ ‘แรงกระหายที่จะร่วมเพศ’ รุนแรงขึ้น”
“ล่องหน — ต้องเตรียมเนื้อสัตว์ให้เพียงพอต่อ 13 คน ผลข้างเคียงเชิงลบคือแรงกระหายในการกิน”
“บินเนิบนาบ — แลกมากับการที่ตัวเองจะรักใครไม่ได้อีกเลย ผลข้างเคียงเชิงลบคือแรงกระหายในการโอ้อวด”
“คำสาปกระดูก — ต้องสังเวยด้วยหนึ่งชีวิตของมนุษย์ ผลข้างเคียงเชิงลบคือแรงกระหายในการนอน”
“วิชาระเบิดภายใน — ต้องสังเวยด้วยตะกอนพลังหนึ่งก้อน ผลข้างเคียงเชิงลบคือ พลังวิญญาณจะถูกสูบอย่างต่อเนื่อง เท่ากับลดเพดานขีดจำกัดสูงสุดของพลังวิญญาณถาวร”
จากคำอธิบายอย่างละเอียดของ ‘ศาสตร์ลับกลืนวิญญาณ’ ลูเมี่ยนยังสงสัยว่าหลวงพ่อต้องจ่ายค่าตอบแทนอีกอย่างโดยไม่รู้ตัว
นั่นคือชื่อของเขา!
ศาสตร์ลับกลืนวิญญาณถูกใช้งานผ่านการเรียกชื่อจริงของเป้าหมาย ส่งผลต่อกายวิญญาณของอีกฝ่าย ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ยิ่งรู้จักเป้าหมายดีเพียงใด ยิ่งใช้ภาษาที่ใกล้เคียงกับโลกวิญญาณมากเท่าไร ผลลัพธ์ก็ยิ่งดี
เมื่อทำสัญญากับสัตว์โลกวิญญาณที่ให้ยืม ‘ศาสตร์ลับกลืนวิญญาณ’ กิโยม·เบเนต์ย่อมต้องเปิดเผยชื่อจริงของตน สำหรับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีความสามารถประเภทนี้ การรู้ชื่อของใครสักคน อาจทำอะไรได้มากมาย
นี่คือความเสี่ยงใหญ่หลวงที่ซ่อนอยู่
ปัญหาซ่อนเร้นในทำนองเดียวกันยังมีอีกมาก พวกมันแฝงมากับความรู้ทางศาสตร์เร้นลับจากผู้ถือพันธสัญญา ดังนั้น ลูเมี่ยนจึงเลือกกลั่นกรองสัตว์โลกวิญญาณด้วยตัวเอง สัมผัสทีละตัว ทดลองทีละตัว
อ้างอิงจากผลกระทบด้านลบที่เกิดจากพลังในสัญญา ลูเมี่ยนตั้งข้อสงสัยขึ้นมาสามประเด็น:
กิโยม·เบเนต์เองก็เป็นผู้ชายมักมากในกามอยู่แล้ว เมื่อตัณหาทางเพศเพิ่มขึ้น เขาคงขาดผู้หญิงแทบไม่ได้ ประเด็นนี้สอดคล้องกับคำทำนายที่ระบุว่า กิโยม·เบเนต์จะปรากฏตัวในเขตเจ้าหญิงสีชาด ซึ่งผลจากการทำนายด้วยกระจกวิเศษก็ยังช่วยยืนยันว่า เขาจะอยู่ที่ใดสักแห่งบนถนนห้าเส้นนี้
กอปรกับการที่หิวง่ายกว่าเดิม กิจกรรมบนเตียงเองก็สิ้นเปลืองพลังงานมาก จึงมีแนวโน้มที่กิโยม·เบเนต์จะเลือกซ่องโสเภณีที่สั่งอาหารได้ หรือไม่ก็พาหญิงค้าบริการกลับบ้าน
นอกจากนี้ เขายังมีนิสัยทะเยอทะยานเป็นทุนเดิม กระหายในอำนาจตลอดเวลา แต่ถูกกดทับไว้ในหมู่บ้านบนภูเขา ก่อนที่พันธสัญญาจะส่งผลข้างเคียงเชิงลบ ความใคร่ส่วนใหญ่ของเขามักเกิดขึ้นเพราะความ ‘อยากแสดงอำนาจ’ ไม่อย่างนั้นคงอธิบายไม่ได้ว่า เหตุใดเขาถึงอยากขโมยผู้หญิงทุกคน โดยไม่สนว่าจะเป็นเมียน้อยที่ดีสุดขั้วหรือแย่สุดกู่
สำหรับกิโยม·เบเนต์แล้ว การแย่งชิงสตรีจากชายอื่น ถือเป็นการป่าวประกาศเสน่ห์อำนาจของตัวเอง
เมื่อคนแบบนี้มาถึงทรีอาร์แล้วถูกชาวเมืองเหยียดสำเนียงบ้านนอก ก็คงต้องหาทางระบายอารมณ์ หาทางพิสูจน์ตัวเองด้วยวิธีที่ตัวเองถนัด
หากคำนึงจากปัจจัยแวดล้อม เช่น ‘ตัณหาราคะเพิ่มขึ้น’ หรือ ‘ปรากฏตัวในเขตเจ้าหญิงสีชาด’ รวมถึงรูปแบบพฤติกรรมในอดีต ย่อมมีแนวโน้มสูงที่กิโยม·เบเนต์จะไปหา ‘ผีเสื้องานสังคม’ ที่ค่อนข้างโด่งดัง ซึ่งชาวเมืองท้องถิ่นอยากหลับนอนด้วยแต่ไม่มีปัญญา โดยอาจจะพาหนึ่งหรือสองคนไปเลี้ยงไว้ที่บ้านด้วยซ้ำ
สำหรับการวิเคราะห์นิสัยใจคอข้างต้น รวมถึงสภาพจิตใจของหลวงพ่อ ลูเมี่ยนไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่เป็นงานของ ‘นักจิตบำบัด’ อ็องโตนี·รีด โดยวาดภาพจิตวิทยาของสาวกเทพมารรายนี้ผ่านคำพรรณนาเชิงลึกจากปากลูเมี่ยน
ดังนั้น ปัจจุบันจึงมีสองทิศทางในการล่าเหยื่อ หนึ่งคือ ไปเฝ้าซ่องโสเภณีหรูหราไม่กี่แห่ง คัดเฉพาะที่มีผีเสื้องานสังคมคนดัง รวมไปถึงบริการด้านอาหาร สองคือ สืบหาว่าในช่วงสองเดือนให้หลัง มีผีเสื้องานสังคมคนใดแต่งงานหรือกลายเป็นเมียน้อยของใคร หรือแม้กระทั่งหายตัวไป
ข้อแรกเป็นงานของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ส่วนหน้าที่ของลูเมี่ยนคือการตามหาตัว ‘ผู้สันทัดข่าวลือ’ ย่านถนนกำแพงเมือง
นักค้าข่าวอ็องโตนี·รีดพอจะมีข้อมูลในแง่นี้อยู่บ้าง โดยทราบว่าบูแลร์ นักข่าวประจำคอลัมน์ของนิตยสาร ‘หน้าทะเล้น’ เป็นแขกประจำของถนนกำแพงเมือง โด่งดังด้านการเขียนข่าวลือซุบซิบต่างๆ
ตัวบูแลร์ชอบดื่มเหล้าพลางเขียนบทความตรงมุมประจำที่มองเห็นประตูทางเข้าร้านกาแฟ ‘มโนรถ’ แล้วจึงค่อยไปซ่องโสเภณี
ลูเมี่ยนที่มีเป้าหมายชัดเจน ย่ำเท้าไม่ช้าไม่เร็ว มุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ช่วงกลางถนนกำแพงเมือง
ระหว่างทาง เด็กหนุ่มคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง รู้สึกเหมือนได้ข้อคิดอย่างน่าประหลาด:
ความสามารถในการดูดวงของตน ชัดเจนว่าด้อยกว่าฟรังก้า มีเพียง ‘ศาสตร์การดูดวง’ ที่ไม่กล้าใช้ส่งเดช ความสามารถในการ ‘วาดภาพจิตวิทยา’ ของเป้าหมาย รวมถึงด้านการรวบรวมข้อมูล ก็ถือว่าด้อยกว่าอ็องโตนี·รีดเช่นกัน แต่การที่เขาสามารถหาผู้ช่วยแบบนี้ได้ถึงสองคน โดยนำจุดแข็งของอีกฝ่ายมาใช้ประโยชน์ ก็แทบไม่ต่างจากการได้ครอบครองความสามารถดังกล่าวเอง
ลูเมี่ยนไม่แน่ใจในกรณีที่มีบารมีเทพ แต่เขามั่นใจว่า หากเป็นลำดับต่ำกว่า 4 พลังของคนคนเดียวนั้นมีจำกัด ทีมที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน สามารถสร้างผลลัพธ์ ‘1+1 มากกว่า 2’ ได้ ซ้ำยังสามารถท้าทายผู้วิเศษลำดับสูงกว่าซึ่งปราศจากบารมีเทพ
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนก็เห็นร้านกาแฟมโนรถ ซึ่งมีกรอบหน้าต่างกับบานประตูสีขาวนวล
เมื่อผลักประตูหนักๆ เข้าไป เด็กหนุ่มก็มองตรงไปยังมุมที่มองเห็นประตู
ชายวัยสามสิบกว่า เจ้าของใบหน้าผอมเพรียว ผมดำตาน้ำเงิน หนวดเคราตัดแต่งเรียบร้อย ปลายหนวดแหลมลงขี้ผึ้ง ก็กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าลูเมี่ยนกำลังมองมาทางตน ชายคนนั้นพลันหน้าถอดสี ตั้งท่าจะหยิบสมุดโน้ตปกอ่อนกับปากกาหมึกซึมสีแดงบนโต๊ะ หมุนตัวไปทางประตูหลังที่อยู่ไม่ไกล
ลูเมี่ยนชักปืนลูกโม่ออกมาทันที ยิงใส่ประตูหลังร้านกาแฟมโนรถหนึ่งนัด
ลูกค้าร้านกาแฟต่างแตกกระเจิง พากันหลบซ่อน หันหลังให้ วุ่นวายกันไปหมด
ชายเจ้าของหนวดลงขี้ผึ้งชะงักไปทันที จะหนีก็ไม่ได้ จะอยู่ต่อก็ไม่กล้า
ท่ามกลางสายตาหวาดผวาจากบาริสตา บริกร และลูกค้า ลูเมี่ยนถือปืนลูกโม่เดินไปหยุดอยู่หน้าเป้าหมาย ยิ้มแล้วถาม
“คุณบูแลร์ใช่ไหมครับ”
“ค…ครับ ผมเอง” บูแลร์ฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก
ลูเมี่ยนชี้ไปทางโต๊ะตัวเดิมของบูแลร์ พูดจาประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นั่งลงเถอะ ผมมาซื้อข่าว”
บูแลร์ถอนหายใจโล่งอก หลังค้อมลงเล็กน้อยขณะหมุนตัวกลับไปนั่ง
ลูเมี่ยนดึงเก้าอี้ออกมา นั่งลงฝั่งตรงข้าม วางปืนลง ถามติดตลก
“ทำไมคุณถึงชอบนั่งในมุมอับแสงแบบนี้ล่ะ”
บูแลร์ถอนหายใจก่อนจะเล่า
“คนที่ประกอบอาชีพแบบผม ย่อมตื่นตัวอยู่เสมอว่าอาจถูกคนแก้แค้น คุณก็คงทราบดี บางคนไม่ชอบให้ชื่อหรือใบหน้าตัวเอง ไปโผล่อยู่บนหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร โดยเชื่อมโยงไปถึงข่าวซุบซิบ”
“มุมนี้ช่วยให้ผมมองเห็นทางเข้าได้ง่าย ไหวตัวทันเวลามีคนตามมาเอาเรื่อง อีกทั้งยังสามารถหนีออกทางประตูหลังได้เร็ว”
……………………………………………………..