ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 322 “สุขสม”
ตอนที่ 322 “สุขสม”
“มีเพียงความตายเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์?”
ลูเมี่ยนกับจินนาต่างก็ไม่เข้าใจฉากที่เห็น รวมถึงคำพูดที่ได้ยิน จึงพากันหันไปมองฟรังก้า
เมื่อฟรังก้าเห็นซาเรียนต์คำนับ สวดวิงวอนจนเสร็จ แล้วเดินออกจากประตูห้องใต้ดินไป ภาพในกระจกก็กลับสู่ความมืดมิด ถือเป็นการสิ้นสุดการทำนาย หญิงสาวจึงครุ่นคิดแล้วตอบ
“ดูเหมือนจะเป็นคนจาก ‘นิกายวิญญาณ’”
นิกายวิญญาณ? ลูเมี่ยนเคยเห็นชื่อองค์กรลับนี้ในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ ทราบว่าต้นกำเนิดมาจากราชวงศ์จักรวรรดิไบลัมแห่งทวีปใต้ รวมถึงผู้ศรัทธาเก่าแก่ของ ‘เทพมรณา’ ซึ่งมีเป้าหมายคือการปลุก หรืออาจเรียกว่าการคืนชีพ ‘เทพมรณา’ ไปพร้อมกับการขับไล่ผู้ล่าอาณานิคม เพื่อสร้างจักรวรรดิไบลัมขึ้นมาใหม่
เนื่องจากโอลัวร์มีความรู้เกี่ยวกับนิกายวิญญาณค่อนข้างหยาบ ขาดรายละเอียดจำพวกบุคคลสำคัญ หรือวิธีสวดภาวนา ลูเมี่ยนจึงไม่ทราบรายละเอียดอื่นๆ
“นิกายวิญญาณ?” จินนาไม่ปิดบังความไม่รู้ในด้านนี้ของตน
ฟรังก้าอธิบายภาพรวมของนิกายวิญญาณอย่างรวบรัด ซึ่งส่วนใหญ่สอดคล้องกับสิ่งที่ลูเมี่ยนทราบ
เธอยังปิดท้ายว่า
“ในทวีปใต้ นิกายวิญญาณกับโรงเรียนกุหลาบมีสถานะใกล้เคียงกัน แต่ฝ่ายแรกจะไม่ค่อยประกอบพิธีสังเวยเลือด ไม่ค่อยก่อเหตุอุกฉกรรจ์ ฉันจึงค่อนข้างมองพวกเขาในแง่ดี แต่แน่นอน องค์กรลับทำนองนี้ย่อมต้องแอบประกอบพิธีกรรมบางอย่าง นิกายวิญญาณที่หวังคืนชีพเทพมรณาก็ไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งพิธีกรรมเช่นนี้ก็มักไม่ขาดเครื่องเซ่นสังเวย”
“อา… ตอนนี้ผู้นำนิกายวิญญาณเป็นครึ่งเทพผู้มีฉายาว่า ‘จักรพรรดินีไร้สี’”
จักรพรรดินีไร้สี? หากนิกายวิญญาณกับโรงเรียนกุหลาบมีศักดิ์ทัดเทียมกัน จักรพรรดินีไร้สีก็คงเป็นเทวทูต… ลูเมี่ยนยกมือขึ้นกุมศีรษะ ไม่หลงเหลือพลังงานสำหรับวิเคราะห์สิ่งใดต่อ
ส่วนจินนาก็มองไปทางร้าน ‘ยาลับที่ราบสูง’ ด้วยความสงสัย
“เถ้าแก่คนเมื่อครู่เป็นชาวอินทิส ทำไมเขาถึงเข้าร่วมนิกายวิญญาณล่ะ?”
อุดมการณ์ของนิกายวิญญาณคือการขับไล่ผู้ล่าอาณานิคม สถาปนาจักรวรรดิไบลัมขึ้นใหม่ ซึ่งอินทิสเองก็เป็นหนึ่งในผู้ล่าอาณานิคมที่ยึดครองไบลัมตะวันตก
หากซาเรียนต์เป็นเพียงพลเมืองอย่างจินนาที่อาศัยอยู่ในกรุงทรีอาร์ ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการล่าอาณานิคมอย่างเป็นรูปธรรม การจะเข้าร่วมนิกายวิญญาณด้วยความเห็นใจก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เขาอาศัยอยู่บนทวีปใต้มานานนับสิบปีแล้ว กินดีมีสุขได้ทุกวันนี้ก็ด้วยฐานะชาวอินทิส แต่กลับเลือกต่อต้านสถานการณ์ที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง
ฟรังก้าพึมพำ
“ใครจะรู้ล่ะ ความเป็นไปได้มีถมเถ อย่างเช่น ถูกจับมาบังคับให้เปลี่ยนความเชื่อ ถูกควบคุมโดยอำนาจศาสตร์เร้นลับ หรือถูกล่อลวงด้วยผลประโยชน์ ถลำลึกลงไปทีละนิด จนกระทั่งกลายเป็นผู้ศรัทธาตัวจริง หรือเคยถูกผู้ศรัทธาเทพมรณาที่จิตใจดีงามช่วยไว้ จนเริ่มเปลี่ยนมุมมองไป”
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การที่นิกายวิญญาณให้คนจากทวีปเหนือโดยกำเนิดเปิดมาร้านขายยาลับบนที่ราบสูงดวงดาว ขายมัมมี่ เป็นสายลับ นับว่าแยบยลมากทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่ถูกสงสัยง่ายๆ”
เมื่อเห็นว่าลูเมี่ยนดูอ่อนเพลีย ฟรังก้าจึงไม่มัวสาธยาย รีบมองหาโรงแรมใกล้ๆ แล้วจองห้องพัก
จนกระทั่งลูเมี่ยนตื่นนอน ก็แลเห็นแสงอาทิตย์ส่องผ่านกระจกหน้าต่าง สาดลงบนใบหน้าฟรังก้ากับจินนาที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ แลเห็นท้องนภาสีฟ้าสดใสดุจดังผลึกแก้ว เห็นเมฆสูงๆ สีขาวโพลนดุจดังสำลี
ฟรังก้ากับจินนาต่างก็กำลังกินแป้งห่อเนื้อวัวกับเนื้อแกะโรยเครื่องเทศ พลางใช้ส้อมจิ้มหัวหอม มันฝรั่ง ข้าวโพด รวมถึงเนื้อสัตว์ปิ้งหลากหลายชนิดที่วางอยู่ตรงหน้า แกล้มด้วยเครื่องดื่มกลิ่นหอมข้าวโพด
“พวกคุณดูสนุกกันนะ” ลูเมี่ยนพลิกตัวนั่งพลางหัวเราะ
ฟรังก้าพูดขณะเคี้ยวตุ้ยๆ จนเสียงอู้อี้
“มาถึงที่ราบสูงดวงดาวทั้งที ธุระก็เสร็จแล้ว ต้องผ่อนคลายบ้างสิ”
“มันเรียกว่าอะไรแล้วนะ… หืม… เรียกว่า… อ่า… ช่างมันเถอะ พวกคุณเข้าใจความหมายอยู่แล้ว!”
เธอพยายามสรรหาคำพูดให้เข้ากับบริบท แต่ก็นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกเสียที สุดท้ายจึงล้มเลิกแล้วหันไปก้มหน้ากินต่อ
ส่วนจินนาก็ชี้ไปทางขวามือ
“พวกเราซื้อมื้อกลางวันมาเผื่อคุณด้วยนะ”
เป็นชิ้นเนื้อวัวทอดราดซอสสีแดง ส่งกลิ่นหอมเหล้าอ่อนๆ
เขาค้นพบตั้งแต่คราวก่อนแล้วว่า คนท้องถิ่นที่พูดภาษาอินทิสได้ มีน้อยกว่าที่พูดไม่ได้ มิหนำซ้ำ คนที่ ‘พูดได้’ ก็ยังจำกัดอยู่เพียงพอฟังออก พอสื่อสารได้เบื้องต้นเท่านั้น
ฟรังก้ากลืนแป้งห่อเนื้อในปาก ดื่มน้ำข้าวโพดร้อนๆ แล้วพูดต่อ
“ภาษากายคือภาษาสากล”
จินนาอดขำไม่ได้ พร้อมกับช่วยเสริม
“ฟรังก้าใช้ภาษากายสื่อสารได้ดีจนฉันบรรยายไม่ถูกเลยล่ะ แถมยังเลียนแบบเสียงหมู เสียงวัว หรือเสียงแกะเพื่อบอกพ่อค้าแม่ค้าที่ไม่เข้าใจภาษาอินทิสได้ด้วย ว่าต้องการเนื้อชนิดไหน”
“แต่ขุนนางที่นี่ผิดจากที่ฉันจินตนาการไว้ลิบลับ พวกเขาดูเหมือนคนทวีปเหนือมากกว่าคนในชาติเดียวกัน”
ทั้งสามพักผ่อนหย่อนใจไปพลางกินมื้อกลางวัน พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ประหนึ่งมาท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
…………
กลางดึก เขตตลาดคนซื่อ ท่าเรือริสต์ ภายในอาคารร้างที่ลูเมี่ยนเคยเผา
ฟรังก้าที่กังวลว่า การเลื่อนลำดับในอพาร์ตเมนต์อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ จนผู้อยู่อาศัยใกล้เคียงมีปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ จึงย่อมทำตามคำแนะนำของลูเมี่ยน โดยการเลือกดื่มโอสถในอาคารปลอดคน
เธอสร้างกำแพงวิญญาณอย่างชำนาญ แล้วหยิบเถ้ากระดูกมัมมี่ที่ลูเมี่ยนช่วยเผาออกมา
ลูเมี่ยนกับจินนายืนอยู่ห่างออกไปไม่มาก มองฟรังก้าผสมยาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเงยหน้ากระดกดื่มลงไป
หลังจากผ่านความเงียบสงัดชั่วครู่ ใบหน้าของฟรังก้าก็บิดเบี้ยวประหนึ่งกำลังเจ็บปวดรวดร้าว
ถัดมา ผมสีเชือกป่านที่รวบหางม้าไว้ ก็พลันหลุดออกจากสายรัด ลอยขึ้นด้วยพลังงานที่มองไม่เห็น คลี่แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง
เส้นผมเหล่านี้ยิ่งหนาแน่นขึ้น จำนวนมากขึ้น ยาวขึ้น เลือนรางขึ้นในพริบตา จนเติมเต็มมิติที่ถูกห่อหุ้มด้วยกำแพงวิญญาณ ประหนึ่งป่าดงดิบที่ประกอบจากผมเส้นบางๆ
จินนาที่เป็นสักขีพยาน ได้ตระหนักถึงความมหัศจรรย์ระคนแปลกประหลาดของโอสถอีกครั้ง
เนื่องจากถูกเส้นผมบดบัง เธอกับลูเมี่ยนจึงมองไม่เห็นร่างฟรังก้า ทำได้เพียงอดทนรอให้ความผิดปกติหายไปเอง
อาจเพียงไม่กี่สิบวินาที หรืออาจเกินสองนาทีถัดมา ในที่สุดทั้งสองก็พบว่าเส้นผมยาวๆ สีเชือกป่านเริ่มจางหาย เหลือเพียงส่วนน้อยหดกลับเข้าสู่ร่างฟรังก้า
ฟรังก้าหันข้างด้วยความดีใจ ใช้นัยน์ตาสีทะเลสาบมองสองสหายแล้วกล่าว
“ถือว่าราบรื่นดี”
“ถัดจากนี้ ถ้าต้องเลื่อนลำดับอีก ก็จะลำบากยุ่งยากมาก”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง จินนารู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเสื้อเชิ้ตสตรีลวดลายดอกไม้ รวมถึงกางเกงขายาวสีครีมที่ฟรังก้าชอบสวม ดูเข้ากันกับเจ้าตัวอย่างน่าประหลาด ช่วยเน้นย้ำความงดงามบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูด กระทั่งเธอที่เป็นสตรีด้วยกัน ก็ยังมองจนหน้าแดงก่ำ หูร้อนผ่าว ส่วนลูเมี่ยนก็รู้สึกร้อนวูบวาบ พลางเกิดปฏิกิริยาแปลกๆ โดยไม่จำเป็น
หลังจากฟรังก้าใช้เวลาปรับตัวกับพลังของนางมารสุขสมอยู่สักพัก ลูเมี่ยนกับจินนาก็เริ่มสงบใจลงได้ ตระหนักว่าความรู้สึกของตนค่อยๆ กลับเป็นปกติ
เก็บข้าวของเสร็จสรรพ ยกเลิกกำแพงวิญญาณเรียบร้อย ฟรังก้าก็เดินยิ้มๆ มายืนอยู่หน้าทั้งสอง ดวงตาเปล่งประกายสดใส ราวกับสะท้อนแสงในทะเลสาบ
“รวมๆ แล้วมีอะไรพัฒนาขึ้นบ้าง” ลูเมี่ยนถามโดยไม่เกรงใจ
จำเป็นต้องทราบสถานการณ์เบื้องต้น เพื่อจะได้ร่วมมือกันในวันข้างหน้า!
ฟรังก้ากลอกตาแล้วพูดยิ้มๆ
“ลองเดาดูสิ”
“ผมไม่ใช่นางมารสักหน่อย จะเดาได้ยังไง” เสียงของลูเมี่ยนเพิ่งจะเงียบ ก็พลันขมวดคิ้วกะทันหัน
เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าขากับร่างกายตน ถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นพันรอบหลายชั้น!
เปลวไฟสีแดงฉานพวยพุ่งจากภายในร่างลูเมี่ยน แผดเผาสสารประหลาดเหล่านั้น
เขากับจินนาเพิ่งจะสังเกตเห็นด้ายบางๆ ที่ถูกย้อมเป็นสีแดง ดูคล้ายกับใยแมงมุมโปร่งใส
“ตอนนี้รู้หรือยัง?” ฟรังก้าหัวเราะในคอ แล้วถามลูเมี่ยนกับจินนาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “อยากลองอันอื่นด้วยไหม?”
“ไม่เอา!”
“ไม่จำเป็น”
ทั้งจินนาและลูเมี่ยนต่างก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงรีบปฏิเสธเป็นเสียงเดียว
ฟรังก้าหัวเราะแล้วพูดต่อ
“ไม่อยากลองจริงหรือ? ฉันสามารถทำให้พวกเธอได้ลิ้มรสความสุขสุดยอดของจริง ได้ด้วยการสัมผัสเบาๆ เท่านั้น”
“บัดซบ!” จินนาผงะถอยหลังหนึ่งก้าว พลางสบถตามนิสัย
ลูเมี่ยนมองหน้าฟรังก้า แต่ดูไม่ออกว่าเพื่อนคนนี้กำลังล้อเล่น หรือคิดอะไรบางอย่างจริงๆ
อา… เป้าหมายคงเป็นจินนา… แต่ก็อาจใช้การสัมผัสเบาๆ เพื่อทำให้เราเขิน… ขณะลูเมี่ยนครุ่นคิด ฟรังก้าก็พูดด้วยใบหน้าขึงขัง
“นอกจากสองอย่างที่ฉันพูดไป ประสิทธิภาพของ ‘เพลิงทมิฬ’ ‘น้ำแข็ง’ ‘คำสาป’ รวมถึง ‘เวทมนตร์กระจก’ ก็ล้วนสูงขึ้น ซ้ำยังนำมาผสมผสานกันได้แล้ว เช่นการใช้กระจกเพื่อล็อกเป้า แล้วใช้ ‘เพลิงทมิฬ’ เพื่อบรรลุคำสาป ไม่ใช่แค่นั้น นอกจาก ‘กระจกเงาตัวแทน’ กับ ‘ไม้กายาสิทธิ์ตัวแทน’ แล้ว ฉันยังมีเวทมนตร์ที่สามารถป้องกันความเสียหายร้ายแรงถึงชีวิต แถมยังสามารถฟื้นฟูเบื้องต้น”
“พลังเกี่ยวกับนักลอบสังหารและนักกระตุ้นก็ถูกยกระดับด้วยเหมือนกัน”
เธอเล่าอย่างกระชับ เพียงเกริ่นถึงภาพรวมเบื้องต้นโดยไม่เจาะลึกรายละเอียด
ลูเมี่ยนผงกศีรษะ ย้อนนึกถึงสิ่งที่ฟรังก้าแสดงให้เห็น แล้วถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ยังมีพลังที่คล้ายการยั่วยวนด้วยไหม?”
ฟรังก้ายิ้ม แต่ไม่ตอบ
หลังจากจินนาสังเกตอย่างละเอียดสักพัก เธอก็ได้ข้อสรุปใหม่ จึงชี้ไปทางฟรังก้าแล้วเอ่ยปาก
“เธอสวยขึ้น!”
โครงหน้ากับองค์ประกอบโดยรวมไม่เหลือข้อบกพร่องที่เด่นชัดแล้ว ทั้งวาจาท่าทางดูคล้ายกับเปล่งรัศมีตลอดเวลา เป็นความงามอันสูงสง่า ร่าเริง และไม่เก็บซ่อน
“จริงหรือ?” ฟรังก้าเองก็ดูจะประหลาดใจมาก
ลูเมี่ยนยกมือลูบคางอย่างอดไม่ได้
เมื่อถึงตอนที่ ‘มาดามดาบซ่อนแขน’ เลื่อนจากลำดับ 5 ไปเป็น 4 เธอยังจะเลือก ‘อัศวินเลือดเหล็ก’ อยู่ไหม?
ระหว่างทางกลับโรงแรมระกาทอง หลังบอกลาฟรังก้ากับจินนา เด็กหนุ่มก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งได้ จึงกดเสียงถาม
“เทอร์มีโพลอส พรถัดจากผู้ถือพันธสัญญาชื่อว่าอะไร”
เทอร์มีโพลอสยังคงเงียบ ไม่ตอบโต้
ลูเมี่ยนจึงเย้ยหยันทันที
“ช่างเถอะ ไว้ฉันได้เจอหลวงพ่อเมื่อไร หมอนั่นจะเป็นฝ่ายบอกเอง”
แม้เด็กหนุ่มจะไม่ค่อยมั่นใจนัก ว่าจะจับกิโยม·เบเนต์ได้อยู่หมัด แต่ในเวลาแบบนี้จำเป็นต้องทำตัวมั่นใจเข้าไว้
…………
วันในคำทำนายใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว
ย่านเจ้าหญิงสีชาด ทางแยกถนนกำแพงเมืองกับถนนเศวตอาชา
ลูเมี่ยนในเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ กางเกงขายาวสีน้ำตาล รองเท้าหนังไร้สายรัด กระโดดลงจากรถม้าสาธารณะอย่างคล่องแคล่ว เงยหน้ามองไปยังย่านตรงหน้าที่ดูเหมือนจะยังไม่ตื่นดี
……………………………………………………..