ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 320 มัมมี่
ตอนที่ 320 มัมมี่
ไม่ว่าจะฝูงวัว แกะ หรือม้าที่ถูกไล่ต้อน บุรุษผิวคล้ำที่สวมหมวกสักหลาด สวมเสื้อคลุมยาวหนาสีฟ้าหรือสีแดง สตรีท้องถิ่นที่สวมกระโปรงชั้นๆ สีสันสดใส อาหารประเภทข้าวโพดหลากชนิด อาคารสีขาวหลายหลัง ร้านขายหนังสัตว์ ร้านขายสิ่งทอ ทั้งหมดคือทิวทัศน์ที่จินนากับฟรังก้าเห็นจนลายตา ภายในใจรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่
ท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บ ฟรังก้าหลบรถม้าไม้สี่ล้อที่ถูกลากจูงโดยวัวขนยาว แล้วหันไปพูดกับลูเมี่ยนและจินนา
“เงียบกันทำไม? มาคุยเกี่ยวกับตำนานท้องถิ่นกันเถอะ”
เดินไปเงียบๆ จะมีความหมายอะไร?
ลูเมี่ยนนิ่งไปสักพักแล้วเปิดปาก
“ผมไม่รู้จักเลย”
จินนาตอบตามน้ำด้วยความละอายใจ
“ฉันก็ไม่รู้จักเหมือนกัน”
เธอเคยได้ยินเพียงตำนานรักของฟาโรห์กับราชินี รวมถึงตำนานนักผจญภัยที่ค้นพบสมบัติในป่าฝน
“หืม…” ฟรังก้าโบกมือขวาแล้วพูด “ฉันก็รู้จักไม่มากเหมือนกัน”
ไม่มากนี่เท่าไร? ลูเมี่ยนมิได้ถามต่อ เพียงนำสหายทั้งสองเข้าไปในร้านยาที่ชื่อ ‘ยาลับที่ราบสูง’
สวมเสื้อนอกสีน้ำเงินขลิบทอง เจ้าของร้านชาวอินทิสนามว่าซาเรียนต์·เอ็นปาญาจำลูเมี่ยนได้ทันที ทั้งสีผมและใบหน้าของเด็กหนุ่มล้วนโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเพิ่งพบกันเมื่อไม่กี่วันก่อน
ซาเรียนต์มองฟรังก้าสลับกับจินนาอย่างถี่ถ้วน แล้วจึงยิ้มให้ลูเมี่ยนด้วยความกระตือรือร้น
“คราวนี้อยากได้อะไรหรือครับ?”
ลูเมี่ยนที่พลังวิญญาณถูกสูบไปมากจนวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย ตอบเข้าประเด็นทันที
“เถ้ากระดูกมัมมี่ของแท้ ผมอยากเห็นมัมมี่!”
ซาเรียนต์กะพริบตาโดยไม่ถามถึงเหตุผล
ในฐานะผู้ขายเถ้ากระดูกมัมมี่มานาน เขาย่อมทราบดีว่าของพรรค์นี้ไม่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพบนเตียง หากคิดจะขายเพื่อสรรพคุณ ก็ต้องผสมยาลับแรงๆ บางชนิดเข้าไป แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมิได้ถามเจาะจงว่า ‘เถ้ากระดูกมัมมี่ของแท้ใช้ได้ผลจริงหรือ’ เขาก็ยินดีจะไม่พูดถึงมัน
ยิ่งไปกว่านั้น ซาเรียนต์ยังสงสัยว่า ชายหนึ่งหญิงสองตรงนี้ต้องการซื้อมัมมี่ทั้งตัวเพื่อนำไปขายต่อเก็งกำไร ซึ่งนี่ถือเป็นช่องทางธุรกิจ
เขาปิดประตูร้านชั่วคราว นำลูเมี่ยน ฟรังก้า จินนาเข้าไปไปในคลังด้านหลังที่เก็บสมุนไพรทั่วไป พาลงบันไดแคบๆ จนถึงด้านล่าง ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูห้องใต้ดิน
เขาหันกลับมามองพวกลูเมี่ยน ถามเพื่อยืนยันให้แน่ใจ
“อยากดูมันจริงๆ ใช่ไหม”
นี่ดูไม่เหมือนความระแวง แต่คล้ายการตักเตือน
“แน่นอน” ลูเมี่ยนตอบไม่ลังเล
ขณะพูด ตาก็มองประตูไม้สีดำทะมึนของห้องใต้ดิน
บนแผ่นไม้มีสัญลักษณ์ลึกลับบิดเบี้ยว วาดด้วยสีเขียวเทาสลับกับขาวซีด
บางสัญลักษณ์ดูเหมือนหัวกะโหลกย่อส่วน บางสัญลักษณ์เหมือนแขน บางสัญลักษณ์เหมือนเถาวัลย์พันเกี่ยว บางสัญลักษณ์ประกอบจากสามเหลี่ยมหัวกลับจำนวนมาก
รายล้อมสัญลักษณ์เหล่านี้ยังมีเส้นบางๆ สีเดียวกัน ซึ่งยื่นออกไปทุกทิศทาง ฝังลงบนผนัง พื้น และเพดาน
เมื่อซาเรียนต์หยิบกุญแจทองคำออกมา ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย เตรียมจะไขเปิดประตู ฟรังก้ากดเสียงต่ำพูดกับลูเมี่ยนและจินนา
“สัญลักษณ์เร้นลับพวกนี้ น่าจะเป็นขอบเขตของมรณา”
“มีความหมายยังไง” จินนาถามด้วยความไม่เข้าใจ
ฟรังก้าส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกัน ตามปกติแล้ว นี่ควรเป็นส่วนหนึ่งของอาคมพิธีกรรมบางชนิด แต่อาคมพิธีกรรมที่ปราศจากแหล่งพลังงาน ไม่สามารถทำงานได้ตลอดไป”
“เท่าที่ฉันทราบ วิหารใหญ่ของศาสนาจารีตจะมีกลไกที่คล้ายกันอยู่ มากน้อยแตกต่างกันไป โดยสิ่งที่คอยขับเคลื่อนให้อาคมพิธีกรรมทำงานได้ตลอดเวลา คือสาวกที่เข้ามาสวดมนต์ในทุกวัน แต่ละคนจะถวายวิญญาณ ถวายพลังชีวิตในปริมาณน้อยมาก แต่เมื่อสะสมมากเข้าก็กลายเป็นเพียงพอ”
“ที่นี่ก็คงมีแหล่งพลังงานสำหรับรักษาอาคมพิธีกรรมเหมือนกัน” ลูเมี่ยนพูดกับฟรังก้ายิ้มๆ “คุณควรดีใจนะ ถ้ามองในแง่นี้ มีโอกาสสูงทีเดียวที่มัมมี่จะเป็นของแท้”
ฟรังก้าถอนหายใจแผ่วเบา
“ของปลอมที่นี่คงไม่เยอะเท่าทรีอาร์หรอก”
เธอถามด้วยความสงสัยเล็กๆ
“ทำไมคุณต้องลากเรามาดูมัมมี่ของจริงด้วยล่ะ ฉันสามารถทำนายพิสูจน์ได้เลยว่าเถ้ากระดูกเป็นของแท้หรือปลอม”
“เพื่อเปิดประสบการณ์ไง” ลูเมี่ยนตอบหน้านิ่ง
ไม่รอให้ฟรังก้าสบถ เด็กหนุ่มเสริมต่อ
“ถ้าผมขอซื้อเถ้ากระดูกมัมมี่เลย เจ้าของร้านคงขายของปลอมให้เรา แล้วพอคุณทำนายจนความแตก คุณว่าผมควรพังตู้ให้หมดร้านเลย หรืออัดเขาชุดใหญ่ดีล่ะ? การต่อสู้ฆ่าแกงกัน มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ”
ลูเมี่ยนยืมคำพูดติดปากโอลัวร์มาใช้
แน่นอน เด็กหนุ่มยังไม่เคยเอ่ยถึงผลข้างเคียงด้านลบที่เกิดจากพันธสัญญาสามฉบับ ซึ่งมีดังนี้ ท่อนแขนบวมเน่าจะทำให้เขาอยากบีบคอเป้าหมายเป็นพักๆ ตั๊กแตนหน้าคนจะทำให้เขาเกลียดชังมนุษย์ที่ใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเก่า เกราะซ่อนเงาจะทำให้บางครั้งเขารู้สึกเหมือนถูกชีวิตกักขังไว้ จนอยากดิ้นรนหาทางออกจากพันธนาการ
ไม่แน่ใจว่าเป็นอิทธิพลจาก ‘สักขีพยาน’ อย่างมิสเตอร์ฟูล หรืออิทธิพลจากการติดสินบนกันแน่ ผลข้างเคียงด้านลบทั้งสามชนิดจึงค่อนข้างเบา ลูเมี่ยนสามารถควบคุมได้ไม่ยากเย็นหากมีสมาธิ แต่เมื่อรวมกันแล้ว บางครั้งบางคราวก็อาจเผลอไผลคิดอะไรพิเรนทร์ๆ บ้าง
ฟรังก้ากับจินนาส่งเสียงดูแคลนพร้อมกัน
มีแต่ ‘นักล่า’ เท่านั้นที่ชอบต่อสู้ฆ่าแกง!
ขณะเดียวกัน ซาเรียนต์ที่ง่วนอยู่กับการไขประตูซ้ายขวา ในที่สุดก็เปิดประตูไม้สีดำที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ลึกลับสำเร็จ
ลูเมี่ยนเห็นตะเกียงน้ำมันหลายดวงทอดยาวไปตามทางเดินใต้ดิน พวกมันฝังอยู่ในผนังราวกับไม่เคยถูกดับเลยสักครั้ง
แสงสีเขียวเทาส่ายไหวแผ่วเบา ฟรังก้ากับที่เหลือเดินตามเถ้าแก่ร้านยาลับเข้าไปในโถงทางเดินด้านหลังประตู
แม้บรรยากาศจะสว่างโร่ แต่กลับมอบความรู้สึกเหมือนก้าวเข้าไปในความมืดมิดทีละน้อย
อุณหภูมิที่เย็นอยู่แล้ว ราวกับลดลงไปอีกหลายองศา
ซาเรียนต์เดินไปข้างหน้าเจ็ดแปดเมตร ผ่านหน้าประตูหินสีเทาที่ปิดสนิทเรียงรายหลายบาน หยุดลงหน้าห้องกึ่งกลางทางเดิน
ประตูหินรอบข้าง รวมถึงผนังทั้งสองฝั่ง ต่างก็มีสัญลักษณ์ลึกลับคล้ายคลึงประตูห้องใต้ดิน
ซาเรียนต์ผลักประตูหินตรงหน้าเปิดออก เผยให้เห็นห้องสุสานขนาดเล็ก
โลงศพหินทรงมนุษย์ ลวดลายสีสันสดใสบนพื้นหลังทองคำ มอบกลิ่นอายความหรูหรา กำลังนอนนิ่งอยู่กลางห้องสุสาน
“นี่คือมัมมี่เมื่อห้าศตวรรษก่อน” ซาเรียนต์แนะนำไปพลางเข้าใกล้โลงศพ จากนั้นก็ดันฝาโลงลง
“เขาดูไม่กลัวเราแย่งมัมมี่ไปเลยนะ…” ลูเมี่ยนพึมพำ
ฟรังก้าหัวเราะในคอ
“คงกำลังดูถูกเราอยู่น่ะ”
จินนามิได้ร่วมวงสนทนา เพียงจ้องเข้าไปในโลกศพหินทองคำด้วยความสงสัยระคนหวาดกลัว
ในนั้นมีศพพันด้วยผ้าสีน้ำตาลเหลืองนอนอยู่ ปากของมันเผยอเล็กน้อย
เมื่ออยู่ต่างถิ่น ฟรังก้าไม่ค่อยสนใจภาพลักษณ์ตัวเอง รีบหยิบกระจกเงาออกมา ลงมือทำนายต่อหน้าซาเรียนต์ทันที
ประกายตาของซาเรียนต์เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปกติในเวลาอันสั้น ประหนึ่งเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้หลายครั้งแล้ว
เพียงครู่เดียว เสียงแหบแห้งพร้อมกับเสียงน้ำ ดังออกจากกระจกเงาของฟรังก้า
“มัมมี่ของจริง แต่ไม่โบราณ”
ฟรังก้าเงยหน้าทันที จ้องตาซาเรียนต์เถ้าแก่ร้านยาลับ
ซาเรียนต์ยิ้มแหยๆ อย่างกระอักกระอ่วน
“เมื่อสักครู่ผมโกหก นี่ไม่ใช่มัมมี่เมื่อห้าศตวรรษก่อน ความจริงแล้วเพิ่งถูกทำขึ้นมาสักสองสามสัปดาห์ก่อนนี่เอง แล้วถูกส่งมายังร้านเรา แต่ยังไงก็ตาม มันผ่านกระบวนการทำมัมมี่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ระยะเวลาก็นานเพียงพอให้เกิดผล ความแตกต่างเพียงจุดเดียวกับมัมมี่โบราณคือ มันไม่ได้ถูกวางในห้องสุสานนานขนาดนั้น”
‘มัมมี่โบราณ’ ที่เพิ่งออกจากเตาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน? ลูเมี่ยนมองซาเรียนต์พลางถามเสียงเย็น
“พวกคุณล่าคนเป็นมาทำมัมมี่หรือ”
ซาเรียนต์ส่ายหัวแผ่วเบา
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย บนทวีปใต้มีคนตายนับไม่ถ้วนทุกวัน ขอแค่จ่ายเงินสักหน่อยก็ซื้อศพสดได้แล้ว ใช้ทุนน้อยกว่าการจ้างคนไปไล่ฆ่าคนเป็นหลายเท่า ถ้าลงมือเองก็ยิ่งกินเวลานาน”
เขาเผลอแจกแจงข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีออกมา
หลังจากฟังเจ้าของร้านยาลับอธิบาย ความรู้สึกที่จินนามีต่อมัมมี่ก็แปรเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง
นี่คือคนที่เพิ่งตายไม่เกินสองสามปี
ศพของเขากำลังถูกวางในร้าน เพื่อขายเป็นสินค้า
แม้ว่ามัมมี่อายุเพียงสองสัปดาห์จะใช้การได้ เพียงพอต่อการเป็นวัตถุดิบเสริม แต่ฟรังก้าอยากได้ของที่ดีกว่านี้
หญิงสาวถอนสายตาจากมัมมี่ใหม่เอี่ยมด้วยความเสียดาย แล้วเอ่ยถามซาเรียนต์
“มีที่เก่ากว่านี้ไหม”
ซาเรียนต์งึมงำอยู่สองสามวินาที ก่อนจะถามเสียงค่อย
“อายุปีกว่าพอได้ไหมครับ”
นั่นคือมัมมี่ ‘เก่าแก่’ ที่สุดในห้องใต้ดินแล้ว
ฟรังก้าถอนใจอย่างไม่มีทางเลือก
“ก็ได้”
ซาเรียนต์พาทั้งสามไปอีกห้องสุสานด้วยท่าทีผิดหวังเล็กๆ
ทีแรกเขาคิดว่าพวกลูเมี่ยนจะซื้อมัมมี่ทั้งตัวกลับไปขายต่อ จึงพามาดูตัวที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ตอนนี้อีกฝ่ายแสดงเป็นนัยๆ ว่าอยากได้แค่บางส่วน
มัมมี่สีน้ำตาลเหลืองอายุปีกว่า สภาพขาดวิ่นไปมากแล้ว ไม่เพียงจะไม่มีท่อนล่างใต้ลำตัว กระทั่งหน้าอกกับท้องก็ยังแหว่งโหว่จนดูน่ากลัว
หลังจากฟรังก้าใช้วิชาทำนายยืนยันของแท้ ซาเรียนต์ก็ถามด้วยซ้ำเสียงที่กระตือรือร้นน้อยลง
“เอาเท่าไร”
“ห้าสิบกรัม” ฟรังก้าอยากเก็บสำรองไว้มากหน่อย
ซาเรียนต์คำนวณครู่หนึ่งแล้วตอบ
“ห้าร้อยเฟลคิน”
ฟรังก้าจ่ายเงินทันที มองดูซาเรียนต์หยิบค้อนเหล็กกับมีดสั้นออกจากที่ใดสักแห่ง แล้วลงมือสับเฉาะด้วยมาดของคนงานเหมือง จนกระทั่งตัดแขนมัมมี่ออกมาได้เกือบครึ่งท่อน
จินนามองด้วยความตะลึง สำหรับเธอแล้ว นี่ถือว่าโหดร้ายป่าเถื่อนพอตัว
เธอเคยเห็นแก๊งอันธพาลยิงกัน เคยฆ่าคนด้วยมือตัวเอง แต่ไม่เคยเห็นใครทำกับร่างกายมนุษย์ประหนึ่งสินค้าราคาถูกมาก่อน
ฟรังก้าถอนหายใจเงียบ ฝืนกดความรู้สึกมากมายลงก้นบึ้งหัวใจ
นี่คือด้านโหดร้ายของโลกเหนือธรรมชาติ ด้านมืดของระบบโอสถ แต่หากนำไปเทียบกับ ‘พร’ สิ่งนี้จะถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ความดีงาม
หลังจากรับแขนมัมมี่เกือบครึ่งท่อนมา ฟรังก้าก็พาจินนาเดินออกจากห้องสุสานโดยไม่พูดไม่จา ลูเมี่ยนกับซาเรียนต์เดินตามหลังไม่ห่าง
ทั้งสี่เดินกลับได้ไม่ถึงสามเมตร ตะเกียงน้ำมันก๊าดบนทางเดินก็พร้อมใจกันหรี่ลง แสงสว่างหม่นลงหลายระดับ
ซาเรียนต์หันข้างด้วยอาการตกตะลึง สีหน้าแปรเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง
……………………………………………………..