ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 309 เรียกคืนความมั่นใจ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 309 เรียกคืนความมั่นใจ
ตอนที่ 309 เรียกคืนความมั่นใจ
ฟรังก้าย่อมต้องมองออกว่าลูเมี่ยนคิดอย่างไร มีเจตนาเช่นไร ไม่อย่างนั้นโอสถ ‘นักกระตุ้น’ ของเธอจะถือว่ากินเข้าไปเสียของ แต่เธอก็พอใจมากที่ลูเมี่ยนไม่เคยเสียเปรียบในการสื่อสาร และหวังให้เขารักษาจุดแข็งนี้ต่อไป
“เข้ามาสิ” ฟรังก้าหลบทางให้ลูเมี่ยนเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น
ตอนนี้ บนโต๊ะกลางวางกล่องต่างๆ ซึ่งบรรจุวัตถุดิบโอสถ เช่น ‘หัวใจนกพรานผึ้งคอมาร’
เพียงแค่เห็นสิ่งเหล่านี้ ลูเมี่ยนก็รู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างในใจถูกกระตุ้น อยากจะกลืนพวกมันลงท้องให้รู้แล้วรู้รอด
โชคดีที่อิทธิพลไม่รุนแรงนัก ก็เหมือนคนที่หิวมาครึ่งวันเห็นพ่อครัวกำลังย่างเนื้อแกะอยู่
ความสนใจของจินนา กลับไปจดจ่ออยู่กับวัตถุดิบเหล่านั้นได้สักพักแล้ว ขณะตามองชามกระเบื้องเคลือบสองหูที่รายล้อมด้วยวัตถุดิบ ในใจกำลังบังเกิดความรู้สึกชวนฝันเหมือนตอนก่อนกินโอสถนักลอบสังหาร
นี่มันเหมือนกับเตรียมจะชงค็อกเทลหรือต้มซุปมากกว่า มิใช่กำลังปรุงโอสถ!
ไม่มีกลิ่นอายของศาสตร์เร้นลับเลยสักนิด!
จินนากระแอมแห้ง แล้วใช้กระบอกตวงเทน้ำบริสุทธิ์ 100 มิลลิลิตรลงในชามซุป ตามด้วยใส่หัวใจนกพรานผึ้งคอมาร กับถุงพิษผู้เร้นกายในเงาลงไปตามลำดับ
เสียงปุดปุดดังขึ้น วัตถุดิบหลักสองชนิดที่ลอยอยู่ในน้ำบริสุทธิ์ ขยับเข้าใกล้แล้วเกาะติดกัน
นี่สินะ ตัวอย่างของกฎการรวมตัวของตะกอนพลัง… คนทั่วไปคงมองข้ามโดยไม่ได้คิดอะไร… ลูเมี่ยนสังเกตเงียบๆ อย่างตั้งใจ
ส่วนฟรังก้าชักกริชเงินพิธีกรรมอย่างระมัดระวัง แล้วสร้างกำแพงวิญญาณล้อมรอบห้องนั่งเล่น
หัวใจรังผึ้งและถุงพิษสีเขียวมรกตเริ่มละลายพร้อมกัน ย้อมน้ำบริสุทธิ์ในชามเคลือบให้เป็นสีดำเงางาม
จินนาใส่ท่อเสียงของนรกพรานผึ้งคอมาร น้ำดอกลำโพงสีน้ำเงิน 5 หยด และผงแหนแดง 10 กรัม ลงไปตามลำดับ สุดท้ายก็โยนวอลนัทที่ยังไม่ปอกเปลือกลงไปหนึ่งลูก
เห็นวอลนัทลูกดังกล่าวหายวับไปกับตา ประหนึ่งถูกกลืนหายไปกับน้ำเหล็กสีแดงฉาน จินนาอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าประหวั่น
จะกินมันเข้าไปได้จริงหรือ?
“ไม่เลว เหมือนกับโอสถนักกระตุ้นที่ฉันเคยปรุงเปี๊ยบ” ฟรังก้าชมพลางยิ้มอย่างผ่อนคลาย
จะต่างกันได้ยังไง? ก็แค่การผสมโอสถง่ายๆ … ลูเมี่ยนแดกดันในใจสองสามคำ
ฟรังก้าโบกมือ พูดต่อด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องห่วง โอสถลำดับ 8 ถึงจะกินเข้าไปตรงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ยิ่งเธอย่อยโอสถนักลอบสังหารเสร็จแล้วด้วย”
จินนาติดเชื้อความมั่นใจนี้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ
โฮ่… ใช้พลังกระตุ้นสินะ กำลังสวมบทบาทนักกระตุ้นอยู่หรือไง… ลูเมี่ยนเข้าใจเจตนาของฟรังก้า แต่มิได้เปิดโปง
จินนาปรับสภาพ ระงับใจ ยกชามซุปสองหูขึ้นแล้วนำไปแนบริมฝีปาก
จ้องมองโอสถสีดำสนิท ส่องประกาย ผุดฟองอากาศเล็กๆ ดุจดังความปรารถนาและเจตนาร้ายที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจทุกคนอยู่สักพัก จินนาเงยหน้าขึ้น ดื่มของเหลวในชามเคลือบสีขาวจนหมด
เธอสัมผัสถึงความเจ็บแปลบ จากปากไปถึงหลอดอาหาร แผ่ซ่านไปยังสมองกับส่วนอื่นของร่างกาย
ความเจ็บแปลบดังกล่าวทำให้เธอตื่นเต้นผิดวิสัย ในห้วงความคิดเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ นานา รวมถึงโศกนาฏกรรมโรงงานเคมีโกลด์ไวร์ระเบิด เธอมีมุมมองใหม่ต่อพวกมัน เข้าใจเจตนาและความคิดของบุคคลในเหตุการณ์ได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ตระหนักถึงเจตนาร้ายที่ทั้งประสบความสำเร็จและยังมิได้ลงมือทำ
เพียงพริบตา จินนาเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกลียด เปี่ยมด้วยแรงกระหายที่อยากทำลายคนเหล่านั้น หรือสิ่งเหล่านั้น เกิดแรงกระตุ้นที่อยากปล่อยตัวปล่อยใจ อยากระบายมันออกมา
เธอจดจำคำเตือนที่ฟรังก้าพร่ำบอก ไม่ยอมให้ความโกรธเกลียด หรือแรงกระหายเหล่านั้นครอบงำความคิด เพียงกำหมัดแน่น ปักหลักยืนอย่างสงบนิ่ง
เงาของหญิงสาวดูเข้มขึ้นเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลอ่อนดูยาวขึ้นเล็กน้อย
ผ่านไปสิบกว่าวินาที ความเจ็บแปลบเริ่มบรรเทาลง จินนากลับมาตระหนักถึงร่างกายตัวเองอีกครั้ง
ค่อนข้างง่ายเลย… ตอนที่เรากินโอสถลำดับต่ำแล้วเกือบตาย ส่วนใหญ่เป็นฝีมือมลทินชะตากรรมสินะ… ลูเมี่ยนอดรำพันไม่ได้
ไม่นานจินนาก็เรียกสติกลับมาได้ ขยับมือเท้า พิจารณาการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
“อา… ร่างกายถูกยกระดับชัดเจน ความสามารถใหม่มีเพียง ‘การกระตุ้น’ แค่อย่างเดียว…”
“แต่การกระตุ้นมิใช่แค่พลัง มันยังมอบความสามารถในการหยั่งถึงอารมณ์ ความปรารถนา และเจตนาร้ายของคนรอบข้างให้ด้วย ช่วยยกระดับการคิดวิเคราะห์ หึ… ไว้มีโอกาสฉันจะแสดงให้เห็น ชาร์ลจะได้เลิกล้อเลียนสติปัญญาของฉันสักที…”
“ต่อให้ไม่พูดอะไรเลย ลำพังการใช้พลัง ‘กระตุ้น’ เฉยๆ ก็ทำให้ฉันดูน่าเชื่อถือ ดูเป็นมิตรมากขึ้น และทำให้คนรอบข้างเกิดความรู้สึกดีๆ ได้ง่าย”
“หากใช้พลังกระตุ้นร่วมกับคำพูดอย่างเหมาะสม จะสามารถกระตุ้นเป้าหมายให้เกิดความคิดหรือความปรารถนาบางอย่างภายในใจ โน้มน้าวให้พวกเขาตัดสินใจตามความต้องการของฉัน…”
หลังจากทำความเคยชินในเวลาสั้นๆ จินนามั่นใจว่าฝีมือการต่อสู้ของตนไม่ถูกยกระดับมากนัก แต่แลกมากับพลังที่ช่วยรับมือในสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
“เป็นยังไงบ้าง? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีปัญหาหรอก” ฟรังก้าถามพลางยิ้มละไม โดยไม่ปิดบังความภาคภูมิใจของตน
ระหว่างที่รอยดำเป็นเส้นยังไม่หายไปจากดวงตาสีน้ำเงินของจินนา หญิงสาวถอนหายใจแล้วกล่าว
“แต่เมื่อกี้ฉันกลัวจริงๆ นี่”
“ลำดับต่ำก็ยังง่ายแบบนี้แหละ ไว้เลื่อนเป็นลำดับ 7 เมื่อไรก็ต้องระวังตัวบ้างแล้ว” ฟรังก้าเตือนเป็นพิเศษ ป้องกันมิให้จินนาย่ามใจกับอันตรายของโอสถ
จินนาพยักหน้า พูดกับฟรังก้า
“รวมครั้งนี้ด้วย ฉันเป็นหนี้เธอสามหมื่นเฟลคิน ไว้จะค่อยๆ ใช้คืนเป็นงวดๆ นะ”
เธอนับรวมโอสถนักลอบสังหารก่อนหน้านี้ไปด้วย
เมื่อคืนฟรังก้าได้คุยเรื่องนี้กับจินนาแล้ว โดยตั้งใจจะยกหนี้ให้เลย อย่างไรเสีย สูตรโอสถกับข้อมูลเหมืองหินหุบเขาก็ยังนำไปขายต่อได้ แต่เมื่อได้เห็นท่าทีหนักแน่นของจินนา เธอจึงไตร่ตรองสักพักแล้วตัดสินใจรับไว้
ฟรังก้าตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม
“ไม่ต้องรีบหรอกน่า ค่อยๆ คืนก็ได้ ผ่อนสักยี่สิบสามสิบปีไปเลย”
ลูเมี่ยนได้ยินแล้วอด ‘หึ’ ไม่ได้ ก่อนจะหันไปหาจินนา
“ได้เงินค่าชดเชยจากคดีโรงงานเคมีโกลด์ไวร์หรือยัง?”
“อิมเรกับวาเลนไทน์บอกว่า กระบวนการทางกฎหมายจบลงแล้ว ไว้ประมูลขายทรัพย์สินเสร็จเมื่อไร ก็จะทยอยจ่ายเงินทันที คงภายในสองสัปดาห์นี้แหละ” จินนาไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลที่ลูเมี่ยนยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด “ฉันกับยูเลียนคงได้รับคนละหกพันเฟลคิน พอใช้หนี้ครอบครัวหมดก็จะนำมาแบ่งกัน… ใจจริงฉันไม่อยากได้หรอก แต่พี่คงไม่ยอมแน่”
ลูเมี่ยนพยักหน้าเบาๆ แล้วถามต่อ
“สืบเนื่องจากอิทธิพลของคดีโรงงานเคมีโกลด์ไวร์ระเบิด ศาลได้ตัดสินชี้ขาดออกมาแล้ว แต่เจ้าของโรงงานยังประวิงเวลาอยู่… บัดซบ! มันกำลังย้ายทรัพย์สินอยู่หรือไง?” จินนาเล่าด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ถ้างั้น… พวกเรารีบไปเยี่ยมบรรดาครอบครัวที่รอเงินชดเชยกันเถอะ เธอใช้พลังกระตุ้น ส่วนฉันใช้การจุดประกาย ผลัดกันลงมือ ปลุกระดมให้พวกเขามารวมตัวกันที่บ้านเจ้าของโรงงานนั่น เพื่อเรียกร้องเงินค่าชดเชย”
“ทั้งได้ช่วยเหลือพวกเขา แล้วก็เป็นโอกาสให้พวกเราย่อยโอสถ”
“เจ้าของโรงงานจ้างบอดี้การ์ดติดอาวุธไว้หลายคน แถมยังสนิทสนมกับตำรวจในโรงพักอีก… พวกชาวบ้านที่ไปเรียกร้องจะเดือดร้อนเอาได้นะ เดิมทีพวกเขาก็โชคร้ายมากพออยู่แล้ว” จินนาพูดด้วยสีหน้าเจือความกังวล
ลูเมี่ยนเลิกคิ้ว
“ศาลตัดสินไปแล้ว จึงสมเหตุสมผลแล้วที่พวกชาวบ้านจะรวมตัวเรียกร้องเงินค่าชดเชย… ถ้าไอ้ตัวไหนกล้ายิง ฉันจะทำให้มันยิงปืนไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่พวกเราอยู่ด้วย ชาวบ้านจะปลอดภัยแน่”
“อา… เธอไปบอกพวกผู้ชำระไว้ก่อนก็ได้ ทางนั้นต้องเข้าใจแน่”
จินนาเลิกเถียง ครุ่นคิดหลายตลบแล้วจึงพูด
“บัดซบ! คุณกำลังยุยงฉัน!”
แม้จะโวยวาย แต่เธอก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของลูเมี่ยน จึงตัดสินใจรวบรวมข้อมูลโดยเร็ว เพื่อสืบให้รู้ว่าเจ้าของโรงงานกำลังพักอยู่แถวไหน
ขณะเดียวกัน เธอยังนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง
“ฉันกลายเป็นนักกระตุ้นแล้ว ต้องกลับไปหาผู้ว่าจ้างคนนั้นอีกครั้ง นี่คือเงื่อนไขที่ทางผู้ชำระมอบให้… ฟรังก้า ชุมนุมศาสตร์เร้นลับครั้งหน้าจัดเมื่อไร?”
ฟรังก้าพูดด้วยเสียงไม่พอใจ
“สุดสัปดาห์หน้า”
“การติดต่อกับผู้ว่าจ้างคืองานที่มีความเสี่ยงสูง แต่พวกผู้ชำระกลับจ่ายล่วงหน้าด้วยหนึ่งในวัตถุดิบหลักโอสถนักกระตุ้นเท่านั้น… พวกมันกำลังเอาเปรียบเธอที่ยังไม่ค่อยประสา ถ้าเป็นฉันคงเรียกค่าตอบแทนมากกว่านี้แน่”
กระตุ้นกันเป็นประจำเลยนะ… ลูเมี่ยนหัวเราะในใจเงียบกัน
ฟรังก้ากับจินนาเริ่มง่วนอยู่กับการเก็บกวาดโต๊ะกลาง ส่วนเด็กหนุ่มนั่งนิ่งบนโซฟาเดี่ยว ไม่ไหวติง ดูน่ารำคาญไม่เบา
ผ่านไปสักพัก จินนาเดินมาข้างๆ พลางย่อตัวลงต่ำ
ลูเมี่ยนหันมองไปด้วยความประหลาดใจอยู่ในที
จินนารวบผม ยิ้มมุมปาก หัวเราะในคอแล้วพูด
“ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้ว ที่คุณมาดูฉันดื่มโอสถ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการล้อมจับกิโยม·เบเนต์”
เธอยิ้มอย่างร่าเริง แฝงการหยอกเย้าเล็กน้อย แม้จะไม่ได้แต่งหน้า แต่กลับทำให้ลูเมี่ยนนึกถึงสมัยที่ได้เจอ ‘นางพญา’ ครั้งแรกที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบ จินนาเหยียดตัวตรง ยังคงมีรอยยิ้มติดแต้มอยู่ แล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำ พลางทิ้งคำถามไว้ลอยๆ
“แค่ยอมรับว่าเราเป็นเพื่อนกัน ยอมรับว่าคุณห่วงใยเพื่อนฝูง มันยากนักหรือไง?”
…………
ระหว่างทางกลับคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ลูเมี่ยนไตร่ตรองถึงปัญหาในการสวมบทบาทเป็นนักวางเพลิง
เขาใกล้จะย่อยโอสถได้เบื้องต้นแล้ว จึงหวังอย่างยิ่งที่จะเพิ่มรูปแบบการสวมบทบาท
“ถึงแม้หลักการคือการจุดไฟให้กับจิตใจและสังคม แต่ก็ต้องไม่ลืมจุดไฟวัตถุด้วย ไม่ลืมบรรลุแก่นแท้อย่างการวางเพลิง”
“จะมีใครให้เราเผาบ้าง…”
เพียงพริบตาที่ความคิดกะพริบวาบ ลูเมี่ยนเห็นบารอนบรินิแยร์
หัวหน้าหน่วยแก๊งที่มักจะเลียนแบบเกอร์มัน·สแปร์โรว์รายนี้ ปราศจากบุคลิกเยือกเย็นและมาดสุภาพบุรุษในยามปกติไป สีหน้าแววตาเผยความกระวนกระวายเจือร้อนรนขณะก้าวเร็วๆ ไปบนถนนใหญ่ตลาด คอยเหลียวซ้ายแลขวารอบข้างเป็นระยะ
ลูเมี่ยนจงใจมองอยู่นานหลายวินาที บารอนบรินิแยร์กลับไม่รู้สึกตัวเลย
เด็กหนุ่มนำความสงสัยกลับไปยังคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ถามไถ่ซาโกตาที่เคยติดตามบารอนบรินิแยร์
“นายพอจะรู้ไหมว่าบรินิแยร์เป็นอะไร เมื่อสักครู่ฉันเห็นเขากระวนกระวายมาก”
ซาโกตาผู้เงียบขรึม มองผ่านหน้าต่างกระจกร้านกาแฟแล้วตอบคำถาม
“ลูกนอกสมรสของบารอนบรินิแยร์หายตัวไปครับ”
ลูกนอกสมรส? หายตัวไป? ลูเมี่ยนพลันนึกถึงเด็กชายที่บารอนบรินิแยร์เคยไปรับจากสถานีรถไฟไอน้ำซูสิต
…………………………………………….
.