ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 299 ตีความ
ตอนที่ 299 ตีความ
ลูเมี่ยนรอการถอดรหัสความฝันมาสักระยะแล้ว โดยหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับคำใบ้เพียงพอ ก่อนจะไป ‘พบ’ อธิการโบสถ์กิโยม·เบเนต์อีกครั้ง
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เด็กหนุ่มจะได้ ‘สอบถาม’ เป้าหมายได้ตรงประเด็นมากขึ้น
ครั้งนี้ หลังจากที่มาดามเมจิกเชี่ยนจับไหล่ สิ่งที่เขาเห็นมิใช่แผ่นสีซ้อนทับกันอย่างหนาแน่น มิใช่สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด
ทีแรก เขารู้สึกเหมือนมีแสงดาวระยิบระยับ ก่อนจะพบว่าตนอยู่ในอุโมงค์มืดอันบิดเบี้ยวและลึกลับ ทั้งกายใจส่งสัญญาณความยุ่งเหยิง บอกไม่ได้ว่ากำลังเดินหน้า ถอยหลัง ลอยขึ้นหรือดิ่งลง
สภาวะดังกล่าวดำเนินต่อไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ลูเมี่ยนบอกไม่ได้ว่านานแค่ไหน ราวกับสูญเสียการรับรู้ด้านเวลาไปชั่วคราว
เมื่อเด็กหนุ่มกลับเป็นปกติและลืมตาอีกครั้ง เขาแม้กระทั่งสงสัยว่าวินาทีก่อนหน้านี้ ตนยังอยู่ที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย และวินาทีถัดมาก็ถึงจุดหมายแล้ว
ทิวทัศน์เบื้องหน้าคือผืนป่าดงดิบที่เกือบบดบังท้องฟ้า ใจกลางพื้นที่โล่งซึ่งรายล้อมด้วยต้นไม้ยักษ์ตั้งตระหง่าน คือกระท่อมนายพรานสีน้ำตาลอ่อน
“เข้าไปข้างในสิ” เสียงของมาดามเมจิกเชี่ยนดังแว่วข้างหูลูเมี่ยน แต่เด็กหนุ่มไม่เห็นร่างของครึ่งเทพรายนี้
ทำตามคำแนะนำ เขาก้าวเดิน เหยียบปลิงมากมายที่คลานเข้ามาใกล้ เดินผ่านแมลงพิษหลากชนิด ซึ่งทั้งบินอยู่กลางอากาศและคลานบนผิวต้นไม้ใบหญ้า จนกระทั่งมาถึงด้านหน้ากระท่อมนายพราน แล้วผลักประตูไม้ที่เปิดแง้มเข้าไป
ด้านในเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือ โดยมีโต๊ะไม้วางอยู่ตรงกลาง ประหนึ่งอยู่คนละโลกกับป่าดงดิบโดยรอบ คนละโลกกับกระท่อมนายพรานสีน้ำตาลอ่อน
ใครบางคนกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ สวมเนื้อนอกสีขาว เสื้อนอกไม่ติดกระดุม หลังพิงพนักเก้าอี้ ทั้งคนเหมือนถูกบดบังด้วยหมอกทึบ ทำให้ดูพร่าจาง ลูเมี่ยนเห็นหน้าไม่ชัด สามารถแยกแยะได้เพียงเสื้อผ้า ตำแหน่งของอวัยวะ และเพศ
“นั่งลงสิ” อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงล่องลอยที่แฝงเสน่ห์เล็กๆ
“สวัสดีครับ” ลูเมี่ยนคำนับด้วยความสุภาพ จากนั้นก็นั่งลง “ผมต้องเรียกคุณว่าอะไรหรือ?”
บุคคลดังกล่าวคิดสักครู่แล้วตอบกลับมา
กวี? ลูเมี่ยนไม่เข้าใจความหมายของโค้ดเนม แต่ก็เลือกที่จะเคารพ
“สวัสดีครับ มิสเตอร์กวี”
กวีผู้นั้นพยักหน้าแผ่วเบา
“เมจิกเชี่ยนเล่าความฝันและข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ผมฟังแล้ว แต่ก็อยากได้ยินจากปากคุณอีกครั้ง”
เรียกเมจิกเชี่ยนตรงๆ เลยหรือ… คนนี้ก็สมาชิกชุมนุมทาโรต์? ผู้ถือไพ่อาร์คาน่าใหญ่? ลูเมี่ยนคาดเดาพลางจดจ้องกวีตรงหน้าอีกครั้ง
จากเค้าโครงที่เห็นท่ามกลางหมอกหนาทึบ เด็กหนุ่มเริ่มเก็บรายละเอียดได้มากขึ้น
ผมดำยาวกว่าคนทั่วไป ดูเหมือนศิลปินตัวจริง นัยน์ตาสีมรกต แววตาไม่ค่อยคม ใบหน้าค่อนข้างเรียว รูปร่างไม่เตี้ย ท่านั่งไม่ค่อยถูกระเบียบ ดูเป็นคนง่ายๆ …
องค์ประกอบเหล่านี้ผสมผสานกับหมอกหนาทึบ ทำให้มิสเตอร์กวีดูเหมือนมาจากส่วนลึกของความฝัน
“ได้ครับ” ลูเมี่ยนขานรับคำพูดอีกฝ่าย
เขาเริ่มเล่าฝันร้ายเกี่ยวกับหมู่บ้านกอร์ตู และเสริมด้วยร่องรอยต่างๆ ที่พบในซากปรักหักพัง รวมถึงข้อมูลจำนวนมากที่สืบมาได้ในช่วงเดือนนี้
เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา แม้จะยังมีอารมณ์หวั่นไหวอยู่บ้างขณะระลึกถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ก็ไม่รุนแรงเท่าเมื่อก่อน ตลอดทั้งกระบวนการ เขาหายใจลึกๆ เพียงหนึ่งครั้ง
ระหว่างที่ลูเมี่ยนเล่าไป เขาเห็นว่ามิสเตอร์กวีที่พิงพนักอยู่นั้น ได้ประสานมือไว้บนหน้าอก ดวงตาสีเขียวคมชัดกว่าเมื่อครู่พอสมควร
วินาทีถัดมา ลูเมี่ยนเห็นแมลงคลานเข้าออกตรงขอบเบ้าตาของอีกฝ่าย
แมลงเหล่านั้นโปร่งใสสลับทึบแสง เหมือนมีวงแหวนเรียงรายอยู่บนหลัง
ฉากดังกล่าวทำเอาลูเมี่ยนเกือบลืมเล่าต่อ ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดไร้หัวที่ ‘จเร’ โอลเซ่นสร้างขึ้น ในใจพลันตกตะลึงพรึงเพริดอย่างมิอาจเลี่ยง
เด็กหนุ่มตั้งสติและบังคับให้ตัวเองละเลยแมลงประหลาดที่คลานเข้าไปในเบ้าตา เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาที่อยากพูดให้ครบถ้วน
หลังจากเล่าจบ มิสเตอร์กวีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“เรามาเริ่มจากอันที่ง่ายที่สุดกันก่อน จอมเวทที่ตายในสุสาน”
นี่มิใช่สัญลักษณ์ที่สื่อว่า โอลัวร์กลายเป็นคนโปรดของชะตากรรม จนในที่สุดก็จบชีวิตลงหรอกหรือ? ลูเมี่ยนยังไม่ทันได้ถามออกไป มิสเตอร์กวีก็เหมือนจะอ่านใจออก เป็นฝ่ายอธิบายออกมาเอง
“นี่เป็นสัญลักษณ์สองชั้นตามสูตรสำเร็จ ก็ตามชื่อเลย มันแฝงความหมายไว้ถึงสองชั้น”
“ชั้นแรก จอมเวทคนนั้นคือสัญลักษณ์ของพลังแห่งชะตากรรม หรือที่เราเรียกว่ามลทิน และยังแทนเทอร์มีโพลอสด้วย ส่วนโลงศพสื่อถึง ‘ความตาย’ … ดังนั้นภาพรวมขององค์ประกอบนี้คือ ‘พลังชะตากรรมที่ถูกผนึกไว้จนเสื่อมมนต์ขลัง’ โดยที่ตัวสุสานสื่อถึง ‘ผนึก’”
“ในความฝัน เราจะเห็นว่าจอมเวทตายไปอย่างแท้จริงแล้ว ไม่เคยออกจากสุสานเลย ซึ่งสอดคล้องกับสถานะของผนึกในตัวคุณ”
“สำหรับชั้นที่สอง โอลัวร์พี่สาวคุณก็ได้รับพรจากชะตากรรมเช่นกัน และยังอาจเป็นหนึ่งในคนโปรดในแง่หนึ่งจึงถือเป็นตัวแทนพลังชะตากรรม อีกทั้งเธอยังเสียชีวิตไปแล้ว”
“ทั้งสองชั้นซ้อนทับกันผ่านแกนกลางของ ‘พลังชะตากรรม’ ทำให้ง่ายที่ผู้ตีความจะมองข้ามชั้นใดชั้นหนึ่งไป”
อย่างนี้นี่เอง… ลูเมี่ยนที่อารมณ์หม่นหมองลงทุกขณะ ถูกมิสเตอร์กวีชักจูงใจ จนเข้าใจแก่นของตำนานจอมเวทในแง่มุมใหม่
มิสเตอร์กวียังคงนั่งท่าเดิม แต่ไม่มีแมลงประหลาดคลานเข้าออกเบ้าตาอีกต่อไป
“เมื่อไขปริศนาเชิงสัญลักษณ์ของจอมเวทที่ตายไปได้แล้ว คำตอบของ ‘นกฮูก’ และ ‘ตัวคุณอีกคนหนึ่ง’ จึงเริ่มปรากฏขึ้นมา”
“ตัวคุณอีกคนคือสัญลักษณ์ของบุคลิกที่เปลี่ยนไปเพราะมลทิน และยังหมายถึงการที่เทอร์มีโพลอสพยายามรบกวนความคิดคุณ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง… หากสื่อถึงความหมายแรกเพียงอย่างเดียว ตัวคุณอีกคนหนึ่งก็ไม่ควรออกจากสุสานได้”
“นกฮูกสามารถเข้าออกสุสานจอมเวทได้อย่างอิสระ แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘ผนึก’ … ในทำนองเดียวกันก็ยังแสดงถึงลักษณะเฉพาะ เช่น คอยจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของคุณอยู่ตลอด ไม่ปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญ เอาแต่เฝ้าอยู่ข้างศพจอมเวท”
“เมื่อนำไปผนวกกับการตีความ ‘จอมเวท’ ของเรา… นกฮูกจะสื่อถึงอีกหนึ่งคนโปรดของชะตากรรม มีหน้าที่คอยจับตามองสถานะของคุณ โดยมีท่าทีคลุมเครือต่อศพจอมเวท มิได้แสดงการปกป้องคุ้มครองตามสมควร และมิได้ช่วยเหลือในพิธีเสด็จเยือนของเทวทูต”
“การที่มันไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘ผนึก’ คงหมายถึง มันอาศัยอยู่บนโลกความจริง คอยสื่อสารกับเทอร์มีโพลอสผ่านวิธีการบางอย่าง ในประเด็นนี้ผมยังไม่กล้ายืนยัน ดังนั้นคุณอย่าเพิ่งมองข้ามความเป็นไปได้อื่น”
ที่แท้นกฮูกก็คือสัญลักษณ์ของ ‘ผู้ทนทุกข์’ นั่น… เรานึกว่าแทนตัวเองหรือโอลัวร์มาตลอด… ลูเมี่ยนรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ผิดหวังอยู่บ้าง
ขณะมิสเตอร์กวีเว้นวรรคชั่วคราว เด็กหนุ่มยิงคำถาม
“แท่นบูชาใต้ดินมีอยู่จริง แต่ออร่าของ ‘ผู้ทนทุกข์’ ในความฝันสื่อถึงอะไรครับ?”
“ชั้นแรก มันคือสัญลักษณ์ว่าเคยมีพลังชะตากรรมดำรงอยู่ที่นั่น แต่หากมีเพียงชั้นเดียว มันก็ไม่ควรปรากฏในรูปแบบของออร่าผู้ทนทุกข์” มิสเตอร์กวีใช้เวลาสักพักก่อนจะตีความต่อ “ชั้นที่สอง หากนกฮูกที่คอยเฝ้าดูคุณคือตัวแทน ‘คนโปรดของชะตากรรม’ และอยู่ลำดับผู้ทนทุกข์ นั่นจะเท่ากับว่า มันไม่อยากให้มีใครเข้าใกล้แท่นบูชาของชะตากรรม… นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของพลังชะตากรรม”
“นอกจากนี้ ในเหตุการณ์ที่ออร่าผู้ทนทุกข์ลงมือทำร้าย จะเห็นได้ว่าคุณบาดเจ็บน้อยกว่าใคร นี่อาจสื่อว่าผู้ทนทุกข์คนนั้นไม่ต้องการฆ่าคุณ ซ้ำยังช่วยปกป้องคุณในระดับหนึ่ง ซึ่งให้ผลคล้ายกับ ‘การบำบัดจิต’ ที่คุณประสบในกรุงทรีอาร์”
ผู้ทนทุกข์นั่นวางแผนหักหลังเทอร์มีโพลอสมาตั้งแต่แรก? อา… ก่อนที่เจตนาจะถูกเปิดโปง เขาคงยอมร่วมมือกับเทอร์มีโพลอสทำเรื่องต่างๆ พอเป็นพิธีไปก่อน… เทอร์มีโพลอสพยายามสร้างอิทธิพลโน้มน้าวเราหลายครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จเลย นี่คือเหตุผลงั้นหรือ? ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะเห็นใจเทวทูตชะตากรรมที่ถูกผนึกในร่างตน
มิสเตอร์กวีพูดต่อ
“ผมสงสัยว่าสัญลักษณ์นี้ยังมีอีกชั้นหนึ่ง โดยสื่อว่าในหมู่บ้านกอร์ตูมี ‘ผู้ทนทุกข์’ ตัวจริงตามความหมายตัวอักษร มิใช่ผู้ทนทุกข์ในแง่ศาสตร์เร้นลับ”
ผู้ทนทุกข์ตัวจริง… ลูเมี่ยนได้ยินแล้วก็ต้องตะลึง
เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความคิด แต่หาคำตอบที่ถูกต้องไม่ได้
มิสเตอร์กวีเองก็ไม่ค่อยแน่ใจในประเด็นดังกล่าว จึงมิอาจได้อธิบายลงลึก แต่หันไปตีความสัญลักษณ์ที่ลูเมี่ยนกำลังสนใจที่สุดแทน
“ไม่ว่ากิ้งก่าเอลฟ์น้อยจะเคยปรากฏตัวบนโลกความจริงหรือไม่ ความหมายเชิงสัญลักษณ์ในฝันของมันก็ชัดเจนมาก”
“ประการแรก มันแสดงความโหยหาต่อสุสาน แสดงความรักที่จะเข้าออกสุสานเหล่านั้น แต่กลับมิได้เข้าไปในสุสานที่มีศพจอมเวท สื่อได้ว่ามันสังกัดฝักฝ่ายอื่น มีความเชื่อมโยงกับพลังชะตากรรมในระดับหนึ่ง แต่ไม่เหมือนกันเลย เพียงใช้สิ่งนี้เพื่อมองหาและเก็บเกี่ยวผลผลิตจากชะตากรรมมากกว่า”
อีกฝ่ายหนึ่ง… ลูเมี่ยนนึกถึงกิ้งก่าโปร่งใสที่ปรากฏตัวในเหตุการณ์พฤกษาเงา
มิสเตอร์กวีขยับหลังให้ตั้งตรงกว่าเดิม
“ประการที่สอง มันสื่อถึงมลทินซ่อนเร้น และการเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว”
“จากความฝันทั้งหมด มีเพียงสองคนที่กิ้งก่าเอลฟ์น้อยคลานออกจากปาก คนแรกคือโอลัวร์พี่สาวคุณ ส่วนคนที่สองคือรองอธิการโบสถ์ มิเชล·การีกู สำหรับคนหลัง ภาพจำในชีวิตจริงเขาเป็นอย่างไร?”
ลูเมี่ยนคิดสักพักก่อนจะตอบ
“ก็คล้ายๆ ในความฝัน แต่ไม่ถึงขนาดนั้น”
“เขาเป็นสาวกสุริยันเจิดจรัสที่ค่อนข้างเคร่ง แต่เนื่องจากถูกกิโยม·เบเนต์กีดกัน จึงหมกมุ่นอยู่แต่กับการจัดเทศนาหรือฟังคำสารภาพบาป โดยในภายหลัง อาการของเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สนใจสิ่งอื่นเลย…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนชะงักไปทันที
เขานึกถึงอีกคนที่มีกิ้งก่าเอลฟ์น้อยคลานออกจากปากเช่นกัน โอลัวร์
เธอเพิกเฉยการเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือถึง ‘เฮล่า’ มิใช่หรือ?
มิสเตอร์กวีพยักหน้าแผ่วเบา
“โอลัวร์พี่สาวคุณก็คงมีอาการแบบเดียวกัน”
“ประการที่สาม กิ้งก่าเอลฟ์น้อยคือสัญลักษณ์ของฝ่ายหรือองค์ซ่อนเร้นที่ไม่ต้องการเห็นเทวทูตแห่งชะตากรรมเสด็จเยือนโลก มันคือสัญลักษณ์ของผู้ทำลาย”
เมื่อเห็นลูเมี่ยนทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจ มิสเตอร์กวีอธิบายเพิ่มเติม
“หากมิใช่ว่า คนที่ทำให้คุณหมดสติไปคือคนที่มีกิ้งก่าเอลฟ์น้อยคลานออกจากปาก และพาคุณไปยังสถานที่ประกอบพิธีกรรมสุดท้าย ทำให้คุณกลายเป็นภาชนะ เกรงว่าพิธีสถิตร่างคงมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่านี้”
“คุณลองคิดตามดู ในพิธีดังกล่าว หากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณมิใช่โอลัวร์ แต่เป็นคนอื่น เธอจะมีสติชั่วขณะแล้วผลักคุณออกจากแท่นบูชาได้หรือ?”
……………………………………………….
.