ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 288 แนะนำตัว
ตอนที่ 288 แนะนำตัว
ในกรุงทรีอาร์มีคนใส่ ‘ตาปลอม’ ไม่มากไม่น้อย แต่สำหรับคนที่ดัดแปลงใบหน้าหนึ่งในสี่ส่วนเพื่อติดกลไกตาปลอมเช่นนี้ ทั้งจินนาและฟรังก้าต่างไม่เคยพบเจอ
แต่พอนึกได้ว่าอีกฝ่ายคงเป็นนักบวชของศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ ทั้งคู่ก็เริ่มมองเป็นเรื่องปกติ
การหลงใหลและบูชาเครื่องจักร คือลักษณะเด่นของคนพวกนั้น!
นักบวชผู้สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวเหมือนช่างหิน ในมือถือโคมไฟคาร์ไบด์ บรรจงก้าวเข้ามาในอุโมงค์ ตาปลอมสีมรกตที่รายล้อมด้วยเฟืองและสปริงจำนวนมาก ดูราวกับมีชีวิตชีวา บางคราวก็มองไปทางซ้าย บางคราวก็มองขึ้น กวาดสายตาไปรอบๆ
ฟรังก้าดึงจินนาแผ่วเบา ส่งสัญญาณให้เธอเลิกชะโงกมองอุโมงค์ รีบถอนสายตากลับมา เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้
ทั้งสองหลบลึกเข้าไปในกำบังมากขึ้น ซ่อนตัวอยู่ตรงตำแหน่งที่แสงจากโคมไฟคาร์ไบด์ส่องไม่ถึง
นักบวชของเทพจักรกลไอน้ำที่สวมชุดคลุมยาวสีเทา แต่ไม่ได้สวมฮู้ด เดินตรงเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ตรวจสอบรอบด้านไปพร้อมกับเข้าใกล้ส่วนลึกสุดของเหมืองหิน หรือก็คือจุดที่เกิดการพังทลายและถูกฝังกลบไปแล้ว
อาศัยพลังของนักลอบสังหาร และการปกป้องจากความมืดและเงา จินนากับฟรังก้าจึงไม่ถูกพบเห็น พวกเธอรอจนกระทั่งนักบวชรูปนั้นไปไกลจากทางออกอุโมงค์ แล้วจึงแอบชะโงกหัวออกมามองตามหลัง
นักบวชที่ถือโคมไฟคาร์ไบด์หยุดอยู่ข้างๆ จุดที่พังถล่ม ยื่นมือขวาที่สะท้อนแสงโลหะสีเหล็กออกไป สัมผัสกับก้อนหินที่ยื่นออกมา
เกิดเสียงดังกุกกักทันที เหมือนมีเฟืองยักษ์หลายตัวกำลังขบเข้าหากันและหมุนช้าๆ
ผนังหินแตกออก มีโซ่โลหะหลายเส้นยื่นออกจากด้านหลังหินแต่ละก้อน
หินเหล่านี้จึงเบ่งบานประหนึ่งบุปผา เผยให้เห็นถ้ำมืดๆ ที่ดูลึกลับ
อาศัยแสงจากโคมไฟคาร์ไบด์ในมือนักบวช และสายตาดุจดังนกอินทรีของนักลอบสังหาร ฟรังก้ากับจินนามองเห็นหมอกสีขาวจางลอยอยู่ในถ้ำ และเห็นแขนขาฝังอยู่ตามผนังถ้ำ
แขนของมนุษย์ ขาของมนุษย์!
บางส่วนยังใหม่เอี่ยม บางส่วนเหี่ยวแห้งไปแล้ว แต่ทั้งหมดไม่มีร่องรอยเน่าเปื่อย
จินนากับฟรังก้าอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน เห็นความประหลาดใจและความกลัวในระดับที่ต่างกัน แต่มีอยู่จริงในดวงตาของกันและกัน
เมื่อนักบวชรูปนั้นเดินเข้าไปในถ้ำและสะกิดกลไกบางอย่าง บรรดาโซ่โลหะก็คลายตัวพร้อมกัน ปล่อยให้ก้อนหินกลับสู่ตำแหน่งเดิม ประกอบกลับเป็นผนังหินอีกครั้ง เหลือเพียงรอยแตกเล็กน้อยที่ดูเหมือนเป็นเครื่องหมายการพังทลาย
อย่างนี้นี่เอง… เรามีอคติ เชื่อมาตลอดว่าที่นี่พังถล่มลงมา จึงไม่ได้สงสัยรอยแตกเหล่านั้น… ฟรังก้าเข้าใจในทันใด รู้ถึงสาเหตุที่เธอกับจินนาไม่พบสิ่งผิดปกติ
หญิงสาวดึงแขนของจินนาเบาๆ
“ตอนนี้กลับออกไปก่อน แล้วหาโอกาสมาสำรวจใหม่ทีหลัง”
ในเมื่อพบปัญหาแล้ว รู้วิธีเปิดถ้ำลับแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับนักบวชของเทพจักรกลไอน้ำรูปนั้น ไว้ค่อยย้อนกลับมาใหม่เมื่อไรก็ได้!
จินนาพยักหน้าเบาๆ หมุน ‘แหวนลงทัณฑ์’ บนนิ้วมือ ย่อตัวลง ตามฟรังก้าออกจากที่ซ่อน เดินกลับไปทางอุโมงค์จนถึงประตูใหญ่ของเหมืองหินหุบเขาลึก
เมื่อเห็นเธอกำลังจะเปิดประตูออกไป ฟรังก้ารีบห้ามเสียงเบา
“ไม่ต้องรีบ”
“ทำไม?” จินนาสงสัยเต็มหน้า
ฟรังก้าเหยียดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว ยิ้มพลางอธิบาย
“มีนักบวชเข้ามาแค่คนเดียวก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าที่เหมืองหินจะมีนักบวชแค่รูปเดียว”
“ไม่แน่ว่านักบวชคนเมื่อครู่อาจทิ้งเพื่อนไว้ข้างนอกสักสองคน ป้องกันไม่ให้นักล่าค่าหัวและนักสืบเอกชนบุกเข้ามา”
“ถ้าเราออกไปทั้งอย่างนี้ อาจกลายเป็นการเผยตัวและถูกโจมตีเอาได้!”
“แถมคนเฝ้าประตูก็อาจจะตื่นแล้ว”
จินนารู้สึกละอายใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง
“เข้าใจแล้ว”
ฟรังก้ารีบปลอบใจทันที
“ของแบบนี้ต้องมาจากประสบการณ์ ตอนนี้เธอรู้แล้ว ต่อไปก็จะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก”
ฟรังก้าพูดไปพลางหยิบกระจกขนาดเท่าฝ่ามือยื่นให้จินนา
“ถือไว้ให้หน่อย ฉันจะออกไปสำรวจเส้นทาง”
“ถ้าฉันถูกโจมตี เธอก็ถือกระจกบานนี้วิ่งหนีไปทันที ซ่อนตัวในความมืดหน้าประตู ย่องไปให้ถึงทางออกหุบเขาลึก”
จินนาเดาได้ว่าฟรังก้าจะใช้ ‘กระจกตัวแทน’ จึงไม่เสียเวลา ตอบตกลงในทันที
หลังจากเตรียมพร้อมแล้ว ฟรังก้าแง้มประตูไม้หนักของเหมืองหินหุบเขาลึกด้วยความระมัดระวัง
ข้างนอกมีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องกับเสียงกบเรียก ไม่มีเสียงอื่น
ประตูเปิดกว้างทีละนิด ฟรังก้ารีบออกไป ซ่อนตัวอยู่ในความมืดยามราตรีที่แสงจันทร์สีแดงเรื่อไม่อาจส่องถึง
จินนากำกระจกแน่น จิตใจตึงเครียดสูง พร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ
หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที ฟรังก้าย้อนกลับมาที่ประตู พูดเสียงเบาว่า
“ออกมาได้แล้ว ไม่มีนักบวชคนอื่น”
จินนาถอนหายใจไร้เสียง รีบออกไป ปิดประตูไม้อีกครั้งโดยไม่ทำให้เกิดเสียง
ขณะที่ทั้งสองเตรียมออกจากเหมืองหินหุบเขาลึก พวกเธอมองไปยัง ‘กระท่อม’ บนผนังหินพร้อมกัน เห็นยามหลับสนิท แต่ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฟรังก้าเพ่งพินิจอยู่หลายวินาที พบรอยบวมแดงใต้หูคนเฝ้าประตูจากระยะไกลพอสมควร
“เขาถูกโจมตี ตอนนี้สลบไม่ใช่เพราะยา แต่เพราะถูกทำร้าย…” ฟรังก้าขมวดคิ้ว บอกสิ่งที่ตัวเองสังเกตเห็น
จินนานึกถึงนักบวชที่ใส่ตาปลอมกลไกเมื่อครู่ ชี้ไปที่ประตูไม้ของเหมืองหินแล้วพูดว่า
“ถูกคนข้างในทำให้สลบ?”
ฟรังก้าพยักหน้าเบาๆ
“คงอย่างนั้น ดูเหมือนเขาก็ไม่อยากให้ยามจับได้ว่าตัวเองเข้าไปในเหมือง”
“หึหึ… ยามน่าจะยังไม่พ้นฤทธิ์ยา ก็ถูกทำร้ายจนสลบไปอีกแล้ว”
จินนาได้ฟังแล้วก็หัวเราะ
“ตอนที่เราทำให้เขาสลบ บางทีเขาอาจจะไม่ได้นอนหลับ แต่ถูกคนอื่นทำให้หมดสติด้วยวิธีอื่นก่อนแล้ว”
“…” ฟรังก้าชะงักไปครู่หนึ่ง กล่าวด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้ง “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาก็น่าสงสารอยู่นะ”
ทุกกลุ่มไม่รู้ว่าคนก่อนหน้าได้ทำให้ยามสลบไปแล้ว ต่างเลือกใช้วิธีที่ตนเองถนัดมาจัดการ ดังนั้น ยามจึงสลบซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
จินนากับฟรังก้าไม่รอช้า รีบออกจากเหมืองหินหุบเขาลึกท่ามกลางความมืดมิดยามวิกาล
…………
ถนนใหญ่ตลาด คาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ลูเมี่ยนกลับมาที่ร้านกาแฟชั้นสอง สั่งไวน์องุ่นแดงมาแก้วหนึ่ง ละเมียดจิบอย่างไม่รีบร้อน
หลังจากผ่านไปสักพัก ลูอิสก็ขึ้นมา กระซิบข้างหูว่า
“ลูกพี่ ที่คาบาเร่ต์โรงโม่มีนักล่าค่าหัวมาก่อกวนสองสามคน ดูเหมือนจะอยากแบ่งผลประโยชน์”
หลังจากสมาชิกระดับสูงของแก๊งหนามพิษถูกกำจัด สมาชิกที่เหลือบางส่วนถูกตำรวจจับกุม บางส่วนหนีหัวซุกหัวซุน บางส่วนเข้าร่วมแก๊งอื่น บางส่วนเลือกหางานสุจริตทำ ส่วนธุรกิจทั้งหมดก็ถูกกลุ่มอิทธิพลต่างๆ เข้ามารับช่วงต่อในราคาต่ำ
พรรคซาฟาห์ได้แบ่งเค้กชิ้นใหญ่ที่สุดมา ทำให้มีกำลังคนไม่เพียงพอ ธุรกิจหลายแห่งถูกทิ้งร้าง เป็นครั้งคราวจึงมีคนเข้ามาก่อกวน ต้องการเติมเต็ม ‘ช่องว่าง’
ลูเมี่ยนหักนิ้วดังแกรก หัวเราะพลางพูดว่า
“นายส่งคนไปถามพวกเขา อยากเป็นศัตรูของฉัน หรืออยากเป็นหมาของฉัน”
เด็กหนุ่มพบว่าหลังจากได้เลื่อนลำดับเป็นนักวางเพลิง ตนชอบต่อสู้มากกว่าแต่ก่อน พอห่างหายจากการวิวาทไปนานก็เริ่มคันไม้คันมือ
นอกจากนี้ การริอ่านก่อกวนคาบาเร่ต์ที่เป็นของพรรคซาฟาห์ สื่อเป็นนัยว่าในกลุ่มของนักล่าค่าหัว อาจมีผู้วิเศษสักหนึ่งถึงสองคน
พอดีกับที่ลูเมี่ยนยังขาดตะกอนพลังเข้าคู่กับ ‘กิ่งพฤกษาเงา’ ของตน
ลูอิสตอบกลับอย่างกระตือรือร้น
“ครับ ลูกพี่!”
เขาหันตัวอย่างรวดเร็ว ลงไปชั้นล่างเพื่อจัดการให้ลูกน้องไป ‘สอบถาม’ ที่คาบาเร่ต์โรงโม่
ความจริงลูเมี่ยนใกล้ถึงกำหนดกลับโรงแรมระกาทองแล้ว เพื่อเขียนจดหมายรายงานมาดามเมจิกเชี่ยน แต่ก็ยังคงรอด้วยความอดทน
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ลูอิสก็พาชายคนหนึ่งขึ้นมาบนชั้นสอง
อีกฝ่ายอายุราวสามสิบ สวมชุดสูทราคาถูก หมวกสีดำ ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาล ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ สามารถแสดงเป็นตัวละครฝ่ายดีที่โรงละครกรงพิราบเก่าได้
ทันทีที่เขาเห็นลูเมี่ยน ก็หยักยิ้มมุมปาก ถอดหมวกแล้วรีบพูดว่า
“สายัณห์สวัสดิ์ครับลูกพี่”
“นายเป็นใคร” ลูเมี่ยนถามอย่างขบขัน
ชายคนนั้นตอบอย่างจริงจัง
“ลูกพี่ไม่ได้ให้ผมมาเป็นหมาของคุณหรอกหรือ?”
“…” แม้กระทั่งสมองและปฏิภาณไหวพริบของลูเมี่ยน ก็ยังต้องอึ้งไปชั่วขณะ
ที่เขาถามพวกนักล่าเงินรางวัลว่ายอมเป็นหมาหรือไม่ ก็แค่อยากจะกวนโมโห หาเรื่อง ‘คุยกัน’ อย่างไม่ค่อยสันติ
ผ่านไปสองสามวินาที ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ
“ให้นายมาเป็นหมา นายก็มาเป็นหมา?”
“นี่คือโอกาสของผม!” ชายคนนั้นไม่ละอายใจ กลับรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง “ผมเชื่อว่าการติดตามลูกพี่ จะทำให้ผมได้แสดงคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ต่อไปภายภาคหน้า ผมอาจมีโอกาสได้เป็นลูกน้องคนสนิทของคุณเลยก็ได้!”
อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว? ติ๋มกว่า ‘คนยักษ์’ ซิมงต์อีกนะเนี่ย… ลูเมี่ยนถามอย่างสนอกสนใจ
“ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะให้โอกาส”
ชายคนนั้นไม่ตอบในทันที แต่มองไปที่ลูอิสและซาโกตา สื่อเป็นนัยว่าให้พวกเขาออกไปก่อน
ลูเมี่ยนที่พร้อมต่อสู้อยู่แล้ว ย่อมไม่กลัวการถูกลอบสังหาร จึงบอกให้ลูอิสและซาโกตาออกจากร้านกาแฟไป
เขาจ้องหน้าอีกฝ่าย ยิ้มแล้วถาม
“ตอนนี้พูดได้แล้วสินะ”
ชายคนนั้นกระแอมแห้งเบาๆ แล้วพูด
“ผมชื่อลูกาโน·ทอสคาโน เป็นผู้วิเศษ”
“เส้นทางไหน ลำดับเท่าไร” ลูเมี่ยนเลิกคิ้ว
ลูกาโนยิ้มอีกครั้ง
“ผมเป็น ‘นักเพาะปลูก’ ลำดับ 9 ครับ”
เส้นทางของ ‘พระแม่ธรณี’? ลูเมี่ยนพยักหน้าครุ่นคิด
“เป็นคนเฟเนพ็อตหรือ?”
“ไม่ครับ ผมเป็นคนจากแคว้นไรสตัน” ลูกาโนหัวเราะ “ไม่กี่ปีก่อน ผมกับเพื่อนสองสามคนกลายเป็นนักล่าค่าหัว เป็นครั้งคราวไปเยือนเฟเนพ็อต จนได้รู้จักกับผู้วิเศษคนหนึ่ง ในภายหลังเขาเสียชีวิต ผมจึงได้รับมรดกมา”
คนบ้านเดียวกันนี่นา… หมอนั่นถูกนายฆ่า หรือเกิดปัญหาเองแล้วโชคลาภหล่นทับหัวนายกันแน่? ลูเมี่ยนส่งภาษากายให้ลูกาโนพูดต่อ
ลูกาโนหัวเราะในคอ
“ตอนนี้ผมมีความหวังที่จะเป็น ‘แพทย์’ ลำดับ 8 แต่ยังขาดเงินอีกพอสมควรสำหรับซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ ผมได้ยินเรื่องราวความสำเร็จของลูกพี่มา เดาได้ว่าคุณเป็นผู้วิเศษที่เก่งกาจ และยังทราบด้วยว่า พรรคซาฟาห์ตอนนี้กำลังขาดแคลนคน จึงอาศัยการก่อกวนเพื่อพบคุณ หวังจะได้เป็นผู้ช่วยของคุณ ช่วยคุณดูแลกิจการ หาเงินเล็กๆ น้อยๆ”
“‘แพทย์’ นับว่ามีประโยชน์มาก ไม่ว่าจะคนทั่วไปหรือผู้วิเศษ ก็ล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น”
………………………………………………..