ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 285 คำพังเพย
ตอนที่ 285 คำพังเพย
ซากศพของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ … ซากศพของเทพ… จะมีตะกอนพลังระดับ 0 ซ่อนอยู่ไหม? ไม่แปลกที่ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กจะฝันอยากเข้าไปในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่…
“แต่มันเกี่ยวอะไรกับเรา? เราเป็นเพียงลำดับ 7 แม้แต่ครึ่งเทพก็ยังไม่กล้าคิด ยังไม่เคยนึกถึงการเลื่อนเป็นลำดับ 6 ‘นักวางแผน’ ด้วยซ้ำ ตอนนี้คิดแต่จะย่อยโอสถ ‘นักวางเพลิง’ ให้ได้โดยเร็วเท่านั้น การมัวคิดเรื่องเพ้อฝัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเทพ มันก็แค่พฤติกรรมของคนที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ!”
“นอกจากนี้ ตามที่มาดามเมจิกเชี่ยนบอกมา ของพรรค์นั้นมักจะส่งอิทธิพลด้านลบเสมอ หึ! อิทธิพลด้านลบที่เกี่ยวข้องกับบารมีเทพ สามารถฆ่าเราได้ง่ายๆ เลย…”
ลูเมี่ยนผู้ครอบครองปัญญาศาสตร์เร้นลับระดับสูงจำนวนมาก ไม่ถูกการ์ดเนอร์·มาร์ตินยุยง เพียงหมุนเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว ในใจเหลือเพียงเสียงหัวเราะเย็นชา
เขามองการ์ดเนอร์·มาร์ติน ถามด้วยใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์
“ถ้าทรีอาร์ในยุคสมัยที่สี่มีซากศพของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ ทูดอร์จริง ไฉนศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสและเทพจักรกลไอน้ำถึงไม่เอามันไป แต่ทิ้งไว้ให้พวกเราชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กแทน?”
“ถึงแม้มีเพียง ‘นักล่า’ เท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้อย่างปลอดภัย แต่ด้วยทรัพยากรของพวกเขา การบ่มเพาะ ‘นักล่า’ ลำดับสูงก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา ยุคสมัยที่ห้าผ่านมานานกว่าหนึ่งพันสามร้อยปีแล้วด้วยซ้ำ”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินเงียบไปสองวินาทีก่อนจะตอบ
“ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ตีตรวนพวกเขาอยู่ โดยที่มันไม่ส่งผลกับเรา”
“สำหรับรายละเอียด ไว้พบทางเข้าทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่เมื่อไร ผมจะบอกพวกคุณอีกที”
ยังกับกำลังพูดว่า ‘ฉันก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน แต่เราควรลองดู’ เลยไม่ใช่หรือไง? อา… บอสอาจรู้สาเหตุจริง แต่กลัวพูดออกมาแล้วจะทำให้พวกเราตกใจ… ก็นะ คงบอกกับลูกน้องต่อหน้าที่ประชุมไม่ได้หรอกว่า เพราะใต้ดินเต็มไปด้วยอันตราย ซุกซ่อนสิ่งที่แม้แต่เทพก็มิอาจแก้ไข จนต้องสร้างทรีอาร์ทับลงบนซากปรักหักพังจากยุคสมัยที่สี่เพื่อผนึกไว้ ส่งผลให้สองศาสนจักรใหญ่ไม่กล้าเข้าไป… ในสภาวะที่มลทินยังไม่กัดกินจิตใจมากนัก หากได้ยินคำพูดพรรค์นั้น ใครมันจะกล้าลงไปใต้ดินอีก? ลูเมี่ยนพยายามควบคุมตัวเอง ไม่แสดงความ ‘เหนือ’ ออกมาทางแววตาและท่าทางแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับชาวชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กในห้องนี้ เด็กหนุ่มที่ทราบสถานการณ์ใต้ดินมาบ้าง เคยเห็น ‘ทะเลเพลิงล่องหน’ ‘พฤกษาเงา’ และ ‘เรื่องพิศวงในสุสาน’ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกเหนือกว่า
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ทราบว่า ‘ผู้การ’ การ์ดเนอร์·มาร์ตินและ ‘จเร’ โอลเซ่นมีข้อมูลของใต้ดินมากแค่ไหน
รายหลังซึ่งน่าจะเคยเข้าไปในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่ คงรู้ความลับมากกว่า
การ์ดเนอร์·มาร์ตินมิได้สานต่อหัวข้อ ‘จักรพรรดิโลหิต’ กับยุคสมัยที่สี่ แต่หันไปมองลูเมี่ยนแล้วพูด
“ช่วงนี้คุณอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม”
โฮ่… กำลังจะแจกสวัสดิการแรกเข้า? ลูเมี่ยนกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที พูดอย่างจริงใจเป็นพิเศษ
“ผมอยากได้สมบัติวิเศษพิสดารๆ เพื่อชดเชยจุดบกพร่องในพลังวิเศษของตัวเอง”
“หรือถ้าไม่มีสมบัติวิเศษ จะให้วัตถุดิบมหัศจรรย์ที่เกี่ยวข้องก็ไม่ติด ผมจะลองหา ‘ช่างฝีมือ’ มาทำเอง”
เด็กหนุ่มเกือบหลุดพูดศัพท์เฉพาะอย่าง ‘ตะกอนพลัง’ ออกมา แต่ไหวตัวทันและแสร้งอายเล็กน้อย เว้นวรรคชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ‘วัตถุดิบมหัศจรรย์’ แทน
แม้ในชุมนุมศาสตร์เร้นลับของทรีอาร์ คนจำนวนมากจะพูดคำว่า ‘ตะกอนพลัง’ กันเป็นปกติ แต่พวกเขามักใช้เพื่ออ้างถึงวัตถุดิบหลักของโอสถสองชนิดที่ผสานกันแล้ว
แน่นอน มีบางคนที่ค้นพบนานแล้วว่าผู้วิเศษก็เป็น ‘สัตว์วิเศษ’ ประเภทหนึ่ง ซึ่งจะมอบวัตถุดิบที่สามารถนำไปปรุงโอสถ และอาจรู้อย่างคลุมเครือว่านี่เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งของ ‘กฎความถาวรของตะกอนพลัง’
ในสถานการณ์ปกติ หากลูเมี่ยนพูดคำว่า ‘ตะกอนพลัง’ ออกมา ก็คงไม่สร้างความกังขามากนัก แต่ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับ ‘นักวางแผน’ จึงไม่ควรปล่อยให้อีกฝ่ายฉุกใจคิดแม้แต่น้อย
“เฮอะ! มาถึงก็หน้าด้านขอเลยหรือ?” อัลบัสที่นั่งไขว่ห้างเหยียดเท้า มองลูเมี่ยนพลางเยาะเย้ย
สีหน้าของเพอร์ซิวัล แว็งซองต์·ลอแรน และคนที่เหลือก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไร
พวกเขาสมัยเพิ่งเข้าร่วมชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ไม่มีใครกล้าเรียกร้องอะไรแบบนี้!
ลูเมี่ยนเหลือบมองอัลบัส หัวเราะเยาะหยันเต็มหน้าแล้วพูด
“ทำไมจะไม่กล้าขอล่ะ”
“ผมน่ะ ไม่ใช่พวกขยะที่คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับรางวัลแบบนี้หรอกนะ”
“ถ้าวันนี้องค์กรตกรางวัลผมสิบส่วน ในอนาคตจะตอบแทนกลับไปร้อยส่วนแน่นอน!”
ฉับพลันนั้น อัลบัสวางเท้าขวาที่พาดบนหัวเข่าซ้ายลง ดวงตาเพ่งมองเข้าไปในตาลูเมี่ยนปานประหนึ่งเปลวไฟเกรี้ยวกราด
ทั้งเบลคและเพอร์ซิวัลต่างก็แสดงท่าทีไม่พอใจเช่นกัน มีเพียงฟอสติโนเท่านั้นที่ยังคงรักษามาดของพ่อบ้านไม่เปลี่ยน
คำพูดของลูเมี่ยนเมื่อสักครู่ ไม่ต่างอะไรกับการเหมารวมด่าพวกเขา!
“พอแล้ว” การ์ดเนอร์·มาร์ตินห้ามมิให้อัลบัสตอบโต้ พลางพูดกับลูเมี่ยนด้วยรอยยิ้ม “ก็อย่างที่คุณเห็น ในฐานะ ‘ผู้การ’ ผมต้องยุติธรรม ถ้ามอบสมบัติวิเศษให้คุณตอนนี้เลย พวกเขาคงได้ประท้วงกันพอดี”
“ไม่ต้องห่วง พวกเราชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กมิใช่องค์กรตระหนี่ เมื่อคุณทำภารกิจสำเร็จไปสองสามครั้ง สั่งสมคะแนนผลงานได้มากพอ ผมจะนำสมบัติวิเศษสองสามชิ้นมาให้คุณเลือก”
“โดยก่อนหน้านั้น ในแต่ละภารกิจ ผมจะให้สมาชิกที่เข้าร่วมยืมสมบัติวิเศษที่เหมาะสมไปใช้งานชั่วคราว แล้วค่อยคืนหลังจบภารกิจ เพื่อช่วยยกระดับความปลอดภัยของสมาชิก ช่วยยกระดับอัตราความสำเร็จของภารกิจ”
ลูเมี่ยนพยักหน้า แสดงว่ายอมรับได้
เขาไม่ได้หวังตั้งแต่แรกแล้ว แค่คิดว่าลองเรียกร้องดูก็ไม่มีอะไรเสียหาย หากโชคดีเผอิญว่า ‘ผู้การ’ อารมณ์ดีแล้วตกปากรับคำ ก็ให้ถือเป็นบุญหล่นทับไป
การ์ดเนอร์·มาร์ตินใคร่ครวญอีกครั้งแล้วพูด
“ผมจะบอกเรเนว่า เงินที่คุณยืมไปก่อนหน้านี้ ให้ถือเป็นรางวัลจากผม หลังจากนี้คุณยังจะได้รับส่วนแบ่งจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อยอย่างครบถ้วนตามเดิม”
“ขอบคุณครับ ‘ผู้การ’” ลูเมี่ยนไม่ปิดบังความดีใจของตน
นี่เท่ากับว่าสวัสดิการแรกเข้าของเขา มีมูลค่าถึง 12,000 เฟลคิน ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ ค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับการเลื่อนลำดับเป็น ‘นักวางเพลิง’ ส่วนใหญ่มาจาก ‘เงินช่วยเหลือ’ โดยชุมนุมแสงเหนือและชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ส่วนตัวเขาเองควักเงินไม่ถึงหนึ่งในสามด้วยซ้ำ คำพูด ‘ขอบคุณ’ เมื่อสักครู่จึงจริงใจเป็นที่สุด
การ์ดเนอร์·มาร์ตินตัดเนื้อสเต๊กชิ้นหนึ่งที่สุกห้าส่วน เคี้ยวและกลืนลงคอ จากนั้นพูดว่า
“มีอะไรที่คุณอยากถามอีกไหม”
ลูเมี่ยนลองถามหยั่งเชิง
“ต้องทำอย่างไรผมถึงจะควบคุมโอสถนักวางเพลิงได้ในเวลาสั้นๆ”
เขากำลังทดสอบว่า ‘การสวมบทบาท’ เป็นความรู้ทั่วไปภายในชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กหรือไม่
การ์ดเนอร์·มาร์ตินหัวเราะ
“เป็นคำถามที่ดี”
“การควบคุมโอสถต้องเริ่มจากชื่อของโอสถ พยายามเข้าใกล้มัน เข้าใจมัน แสดงออกถึงมัน”
“นอกจากนี้ ผมยังมีอีกหนึ่งคำพังเพยต้องบอกกับคุณ: เปลวไฟแผดเผาผู้อื่นได้ ก็ทำร้ายคุณได้เช่นกัน”
ลูเมี่ยนตั้งใจฟังจนจบ ก็เข้าใจภาพรวมเบื้องต้นทันที
ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กปิดบัง ‘การสวมบทบาท’ และคำอธิบายที่ถูกต้องจากสมาชิกทั่วไป ใช้คำบรรยายที่คลุมเครือมากกว่า และแทนที่ด้วยข้อจำกัดจำพวก ‘ระเบียบ’ ‘คำเตือน’ หรือ ‘คำพังเพย’ ที่ไม่สมบูรณ์ เพื่อให้สมาชิกรู้ว่าทำแบบนี้ได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำได้
นี่จะช่วยให้สมาชิกทั่วไปหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้บางส่วน ช่วยให้พวกเขาค่อยๆ ‘ตรัสรู้’ เองระหว่างพยายามเข้าใกล้ชื่อของโอสถ เร่งการย่อยด้วยความเร็วช้าแตกต่างกัน แต่ไม่สามารถผลักดันให้พวกเขาสรุปกฎการสวมบทบาทที่เหมาะสมกับตัวเอง
หรือก็คือ พวกเขา ‘ควบคุม’ โอสถได้ง่ายกว่าผู้วิเศษเถื่อน เลื่อนลำดับในช่วงเวลาที่สั้นกว่า แต่นอกจากจะมี ‘พรสวรรค์’ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วใกล้เคียงกับ ‘การแสดง’ พวกเขาแทบไม่มีทางรู้จักผู้วิเศษ ‘การสวมบทบาท’ ได้เลย
ลูเมี่ยนสงสัยว่า ต้องเลื่อนไประดับ ‘นายทหาร’ ซึ่งเป็นเป้าหมายการบ่มเพาะของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กเสียก่อน ถึงจะได้เรียน ‘การสวมบทบาท’ ฉบับสมบูรณ์
เด็กหนุ่มเชื่อว่า องค์กรลับที่มีประวัติศาสตร์หลายร้อยปีอย่างชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก จะต้องรู้จัก ‘การสวมบทบาท’ แน่นอน
เปรียบเทียบกันแล้ว มาดามเมจิกเชี่ยนแห่ง ‘ชุมนุมทาโรต์’ ได้มอบความรู้ศาสตร์เร้นลับระดับสูงมากมายตั้งแต่ต้น รวมถึง ‘การสวมบทบาท’ ด้วย
ส่วนมิสเตอร์ K ลูเมี่ยนไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเขาศรัทธาแรงกล้าเกินไป ทุ่มเทกายใจให้กับการสวดวิงวอนและการทำงาน จนลืมสอน ‘การสวมบทบาท’ ให้ตน หรือเขาคิดว่าเมื่อแทรกซึมเข้าชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กได้แล้ว ก็จะได้เรียนเองโดยปริยาย รู้เร็วเกินไปจะทำให้ความแตกได้ง่าย
“ก็ตามชื่อนักวางเพลิง คุณต้องไปวางเพลิงไง! ลองไปเผารัฐสภาดูสิ เผาให้วอดวาย แค่นี้ก็จะควบคุมโอสถได้ในเวลาอันสั้นแล้ว” อัลบัสยุแหย่ลูเมี่ยนด้วยน้ำเสียงเหมือนคนชอบเห็นเรื่องวุ่นวายโดยไม่สนใจว่าจะลุกลามใหญ่โตเพียงใด
ลูเมี่ยนตอบกลับอย่างแดกดัน
“ผมเป็น ‘นักวางเพลิง’ ไม่ใช่ ‘คนร้ายวางเพลิง’ การวางเพลิงที่ไร้ความหมายมีแต่จะทำร้ายตัวเองเท่านั้น”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าไร้ความหมาย? ไฟที่ลุกโชนนั่นแหละคือความหมาย” อัลบัสหัวเราะเย็นชาในคอ
ลูเมี่ยนเดาะลิ้นทันที
“ดูท่าคงต้องทำให้ผมของคุณลุกเป็นไฟด้วยสินะ”
หลังจากทั้งสองสื่อสารแกมทะเลาะกันสักพัก การ์ดเนอร์·มาร์ตินก็ห้ามปรามการถกเถียงที่รังแต่จะเปล่าประโยชน์และใกล้เคียงการกัดกันนี้
ลูเมี่ยนเปลี่ยนหัวข้อ สอบถามความเข้าใจที่ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กมีต่อใต้ดิน
“วันก่อนผมลงไปสุสานใต้ดิน รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติที่นั่น แต่ก็ไม่พบปัญหาใดเลย… ‘ผู้การ’ พอจะรู้ไหมครับว่ามันมีอะไรอยู่?”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินมอง ‘จเร’ โอลเซ่นข้างๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างใคร่ครวญ
“แถวนั้นไม่เกี่ยวข้องกับงานของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กเรา คุณไม่จำเป็นต้องรู้”
“ตอนนี้ผมบอกคุณได้เพียงว่า อันตรายที่แฝงอยู่ในสุสาน ไม่น้อยไปกว่าทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่สักเท่าไร”
ลูเมี่ยนพยักหน้าเหมือนครุ่นคิด พลางลิ้มลองอาหารรสเลิศ สลับกับถามในหลายหัวข้อ
ระหว่างนั้น เด็กหนุ่มพบว่าแว็งซองต์·ลอแรนค่อนข้างเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดค่อยจา ส่วนเพอร์ซิวัลกับ ‘หัตถ์โลหิต’ เบลคต่างก็วางตัวเป็นมิตร สนทนาเก่ง แต่ก็สงวนท่าทีมาก แทบไม่เปิดเผยข้อมูลที่มีค่าเลย ส่วนฟอสติโนก็ดูจะถือตัวว่าเป็นพ่อบ้านมากกว่าสมาชิกแกนหลักขององค์กรลับ
มีเพียงหนุ่มผมแดงเข้มอย่างอัลบัสเท่านั้น แม้จะปากร้าย ชอบเสียดสี แต่คำพูดสองสามคำที่หลุดออกมา กลับให้ข้อคิดบางอย่างแก่ลูเมี่ยน
หลังจากผ่านสี่ทุ่ม เมื่อสิ้นสุดพิธีเข้าร่วม ลูเมี่ยนออกจากบ้านเลขที่ 11 ถนนน้ำพุเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะขึ้นรถม้าของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
พอรถม้าเพิ่งเคลื่อนออก เด็กหนุ่มก็ใจสั่นทันที รีบเงยหน้ามองเบาะฝั่งตรงข้าม
ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่ ไม่ใช่ใครนอกจากจเร ‘หมีหิว’ โอลเซ่น
ผู้ค้าที่ปลอมตัวเป็นสัตว์ประหลาดใต้ดิน!
…………………………………………………….
.