ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 278 ปรึกษา
ตอนที่ 278 ปรึกษา
มาดามที่สงสัยว่าถือไพ่ ‘จัสติส’ มิได้พูดต่อ แต่เปลี่ยนเป็นซูซี่แทน
“สภาพจิตใจของคุณดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว หากคุณต้องการ ฉันสามารถพาคุณเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง เพื่อลองปลุกความทรงจำที่ลืมเลือนไปแล้ว”
“ไม่มีปัญหาครับ” ลูเมี่ยนเอนหลังพิงพนักโซฟาและหลับตาลงด้วยความเต็มใจ
โดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มผล็อยหลับไป ไม่นานก็ได้เห็นหมู่บ้านกอร์ตูที่อาบไล้ด้วยแสงตะวัน ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขา โอบล้อมด้วยทุ่งหญ้าสูงสีเขียวขจี ฝูงแกะสีเทาขาวราวกับก้อนเมฆบางครั้งก็รวมตัวกัน บางคราวก็กระจัดกระจาย ประดับตกแต่งทิวทัศน์ที่เหมือนภาพวาดสีน้ำมันนี้
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นถูกนำเสนอเร็วๆ ในรูปแบบของนิทรรศการภาพ ลูเมี่ยนบางครั้งก็ดำดิ่งลงไป สัมผัสประสบการณ์โดยตรง บางครั้งก็แยกตัวออกมา มองอย่างเป็นกลางในฐานะผู้สังเกตการณ์
ตามเหตุการณ์ที่ดำเนินไป สภาพอากาศซึ่งแสดงถึงอารมณ์ของเขาก็ยิ่งมืดมัว ยิ่งมองไม่เห็นแสงแดด มีเพียงบางคราวที่ไร้หมอก เผยให้เห็นฟ้าสีครามสดใส
ความทรงจำเหล่านี้แทบไม่ต่างจากที่ลูเมี่ยนคาดเดาไว้ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนของปีก่อน หมู่บ้านก็เริ่มเกิดความผิดปกติทีละน้อย
ในช่วงแรก เขาไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งใกล้จะถึงปลายปี เขาจึงรู้สึกว่าปัญหาไม่เล็กเลย ในขณะที่โอลัวร์มักเพิกเฉยข้อสงสัยของเขา หรือพูดว่าจะตรวจสอบแต่ก็ไม่มีความคืบหน้า
หลังจากนั้นคือการจับจุดอ่อนของลูอิส·ลุนด์ บีบเอาข้อมูลจากเขา เมื่อเข้าสู่ปีใหม่ ชาวบ้านกอร์ตูเริ่มส่งสัญญาณผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลุ่มชาวบ้านที่ยังไม่ได้รับผลกระทบเริ่มตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล และเมื่อนั้น เอวา แรมงด์ นาโรคา และคนอื่นๆ จึงถูกปิดปาก
ในระหว่างนี้ ลูเมี่ยนที่พบว่าปงส์·เบเนต์กับลิ่วล้อกำลังฝังศพ พยายามเข้าไปแก้แค้น จนทำให้อันธพาลนั่นได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ร่างกายครึ่งล่าง แต่เขาคนเดียวยากที่จะต่อกรกับลิ่วล้อที่ลงมือเป็นกลุ่ม ท้ายที่สุดจึงต้องพบกับความพ่ายแพ้
เด็กหนุ่มเกือบถูกปงส์·เบเนต์ทำลาย แต่โอลัวร์เข้ามาห้ามทันเวลาและพาเขาออกไป
จนถึงตอนนี้ ลูเมี่ยนเพิ่งสังเกตเห็นว่าพี่สาวของตนก็ไม่ปกติเช่นกัน สงสัยว่าเธอคือหนึ่งในก๊วนของหลวงพ่อ แถมยังมีตำแหน่งสูงมาก
เธอเย็นชาและไม่แยแสเป็นส่วนใหญ่ แตกต่างจากพี่สาวในความทรงจำของลูเมี่ยนโดยสิ้นเชิง แต่บางครั้งบางคราวก็กลับสู่สภาพเดิม วิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของตนและอนาคตของน้องชาย พยายามหาความช่วยเหลือ
แต่เธอไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ตนสามารถอัญเชิญผู้ส่งสารของเฮล่า—รองประธานสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก ข้อมูลดังกล่าวในความฝัน คงมาจากเศษเสี้ยววิญญาณของเธอเป็นส่วนใหญ่
เหตุการณ์หลังจากนั้นก็คล้ายกับที่มาดามปัวริสเล่าไว้ โอลัวร์ขัดขวางเธอ อธิการโบสถ์กิโยม·เบเนต์นำกลุ่มผู้ได้รับพรจำนวนมากเข้าโจมตีปราสาทเจ้าเมือง ทำลายการจัดเตรียมของเธอ ทำให้เธอต้องยอมละทิ้ง ‘ดินแดน’ ที่บริหารมานาน และพาลูกน้องที่เหลือออกจากหมู่บ้านกอร์ตูไป
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ คุณนายปัวริสเล่าว่าเธอคลอดลูกเพียงคนเดียว ซึ่งพ่อของลูกคืออธิการโบสถ์ และเด็กคนนั้นเสียชีวิตระหว่างการถูกโจมตีปราสาท แต่โอลัวร์เคยเอ่ยถึงตอนที่อยู่ในสภาพ ‘คนโปรดของชะตากรรม’ ว่ามาดามรายนี้เคยคลอดลูกเองมาแล้วสองคน หนึ่งในนั้นสูญหายไปหลังจากปราสาทเจ้าเมืองถูกทำลาย
ในช่วงท้ายของความทรงจำ บุคคลที่ทำให้ลูเมี่ยนสลบและพาไปยังแท่นบูชามิใช่โอลัวร์ แต่เป็นมิเชล·การีกู รองอธิการโบสถ์ที่มีเอลฟ์น้อยคล้ายกิ้งก่าคลานออกจากปากในความฝัน
ลูเมี่ยนลืมตา บรรจงหายใจเข้าลึก
เด็กหนุ่มคาดการณ์เรื่องพวกนี้ไว้แล้ว แต่ความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมกับมัน ยังคงทำให้หายใจติดขัด:
หนุ่มน้อยคนหนึ่ง ซึ่งหลุดพ้นจากฝันร้ายของการเป็นเด็กเร่ร่อนได้เสียที ได้มีบ้านที่แท้จริงและอบอุ่น มีเพื่อนใหม่ มีความสุขในทุกวัน แม้แต่ตอนที่ถูกชาวบ้านกอร์ตูไล่กระทืบเพราะไปทำแสบเอาไว้ แต่สุดท้ายก็หนีรอดได้หวุดหวิด โดนชกมาสองสามหมัด เขาก็ยังรู้สึกร่าเริงบันเทิงใจ
แต่พอคิดว่าอยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกแสนนาน คนรอบข้างก็เริ่มทำตัวแปลกประหลาด ความผิดปกติที่ถูกค้นพบอย่างต่อเนื่อง ทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มหนักอึ้งและมืดมัวลงทุกที
เขาเริ่มหวาดกลัว เริ่มร้อนรนกระวนกระวาย เขาพยายามโน้มน้าวพี่สาวโอลัวร์และเพื่อนๆ อย่างแรมงด์กับเอวาให้ออกจากหมู่บ้านกอร์ตู ไปอาศัยอยู่ที่ดาลีแอชด้วยกัน แต่โอลัวร์กลับผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น
ท่ามกลางความหวาดกลัวและผิดหวัง เด็กหนุ่มได้เห็นความตายของเพื่อน ได้เห็นพี่สาวที่ตนไว้ใจและให้ความสำคัญที่สุด ก็ผิดปกติไปกับเขาด้วย
ในวินาทีดังกล่าว เขารู้สึกเหมือนจิตใจจมลงสู่ห้วงลึกไร้ก้นอันมืดดำ เหมือนย้อนกลับไปยังตอนที่ปู่เพิ่งเสียชีวิต เพิ่งเริ่มต้นการเป็นเด็กเร่ร่อน เต็มไปด้วยความกลัว ไร้ที่พึ่งพิง เศร้าโศก และเจ็บปวด
แต่สิ่งที่แตกต่างจากตอนนั้นคือ มันมีความสิ้นหวังเพิ่มเข้ามา
หากโอลัวร์ไม่ตื่นขึ้นมาเป็นครั้งคราว คอยมอบความหวังอันริบหรี่ เขาคงไม่อาจอดทนจนถึงตอนจบ
แม้จะย้อนมองประสบการณ์ในช่วงสองสามเดือนนั้นด้วยสภาพจิตใจปัจจุบัน ลูเมี่ยนก็ยังรู้สึกว่ามันเกินกว่าที่หัวใจจะทนรับไหว คล้ายกับถูกจองจำในกรงขังสีเทาหม่นหมอง ไม่ว่าจะดิ้นรนไปทางซ้ายขวาอย่างไร ก็หนีออกไปไม่ได้ มันทั้งอึดอัด คับแคบ กดดัน เจ็บปวด และสิ้นหวังเหลือเกิน
ฟู่… ฟู่… หลังจากหายใจลึกๆ สองสามหน ลูเมี่ยนก็กลับมาสงบ และกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“เหมือนกับที่ผมคาดการณ์ไว้”
ชิ้นส่วนของปริศนาที่ยังหลงเหลือ อยู่นอกเหนือเหตุการณ์ที่เด็กหนุ่มเคยเผชิญด้วยตัวเอง ต้องได้มาจากการตีความสัญลักษณ์ในความฝัน หรือการหาหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ให้เจอ
ซูซี่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณรับมือกับมันได้ทั้งหมด และกล้าเผชิญหน้ากับอดีต นี่แสดงให้เห็นว่าปัญหาทางใจของคุณทุเลาลงมากแล้ว ที่เหลือคือการเยียวยาและปรองดองกับตัวเอง”
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด การบำบัดจิตของเราคงเหลืออีกเพียงครั้งเดียว หลังจากที่คุณพบตัวอธิการโบสถ์กิโยม·เบเนต์และได้พูดคุยกับเขา ฉันต้องประเมินสภาพจิตใจและภาวะทางจิตของคุณอีกครั้ง เพื่อทำการบำบัดขั้นสุดท้าย”
“ขอบคุณครับ มาดามซูซี่ ขอบคุณครับ…” ลูเมี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ “มาดามจัสติส”
สุภาพสตรีที่อยู่ในสภาวะ ‘ล่องหนทางใจ’ มิได้โต้แย้ง เพียงกล่าวยิ้มๆ
“การที่เหลือคิวรักษาอีกแค่ครั้งเดียว มิได้เท่ากับว่าเราจะไม่ได้ติดต่อกันอีก หลังจากนี้เราอาจต้องรบกวนคุณในบางเรื่อง”
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ผมเป็นแค่ลำดับ 7 คงจะช่วยอะไรพวกคุณไม่ได้มากนักหรอก”
“อย่าดูถูกใครง่ายๆ” สุภาพสตรียิ้มตอบ “มนุษย์คนละคน ทำคนละสิ่ง ก็ได้ผลคนละอย่าง”
ลูเมี่ยนพยักหน้าตอบ
“เข้าใจแล้วครับ”
เด็กหนุ่มครุ่นคิดและรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“มาดามทั้งสอง ในตอนท้ายของหายนะที่หมู่บ้านกอร์ตู พี่สาวได้ผลักผมออกมา พร้อมกับบอกใบ้ถึงสมุดบันทึกของเธอ ด้วยความเข้าใจในธรรมชาติมนุษย์ของพวกคุณ คิดว่าสมุดบันทึกเล่มดังกล่าวซ่อนปัญหาแบบใดไว้ และซ่อนอยู่ที่ใดครับ?”
สำหรับสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ แม้ลูเมี่ยนจะยังไม่เข้าใจในหลายส่วน หรือบางส่วนก็ยังกำกวม แต่เขาอ่านเนื้อหาโดยรวมซ้ำหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดเลย
ซูซี่ตอบกลับมาทันที
“ในสมุดบันทึกเหล่านั้น คงไม่มีข้อมูลหรือคำใบ้ที่โอลัวร์ทิ้งเอาไว้โดยเจตนา ไม่เช่นนั้น เมื่อเธอฟื้นสติเป็นครั้งคราว ก็ต้องบอกคุณตรงๆ หรือเตือนคุณอย่างอ้อมๆ แล้ว”
ลูเมี่ยนพยักหน้าเชื่องช้า เห็นด้วยกับคำอธิบายนี้ มันเหมือนกับที่โอลัวร์สามารถอัญเชิญผู้ส่งสารของเฮล่าได้ แต่กลับไม่ยอมทำ
ซูซี่พูดต่อ
“ฉันคิดว่าในสมุดบันทึกมีเนื้อหาที่เธอเคยคิดว่าปกติ แต่ภายหลังพบว่าเป็นปัญหา ดังนั้น การแยกแยะเพียงผิวเผินจึงยากที่จะค้นพบความผิดปกติ”
ก็ว่าทำไม อ่านมาตั้งนานแต่ยังคว้าน้ำเหลวอยู่… ลูเมี่ยนถามท่าทีกระตือรือร้น
“แล้วต้องแยกแยะปัญหาอย่างไร?”
ผู้ถือไพ่ ‘จัสติส’ เอ่ยเหมือนกำลังครุ่นคิด:
“ในเมื่อคุณได้เห็นภาพรวมของความทรงจำแล้ว และยืนยันว่าความผิดปกติน่าจะเริ่มในช่วงพฤษภาคมถึงมิถุนายนปีก่อน งั้นก็ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจุดอ้างอิงในการค้นหา”
“หากต้นตอคือโอลัวร์จริงๆ ก่อนหน้านั้นเธอต้องเคยสัมผัสกับบางสิ่ง ได้รับมลทินบางอย่างมา ดังนั้น คุณควรใส่ใจกับบันทึกในช่วงหกเดือนก่อนจะเกิดความผิดปกติ อาจช่วยให้พบเบาะแสสำคัญของการเปลี่ยนแปลง”
“นอกจากนี้ บันทึกในช่วงสามเดือนสุดท้ายอาจสะท้อนถึงเจตจำนงที่แท้จริงของโอลัวร์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของปราสาทในใจเธอ”
“หากคุณคิดจะศึกษาสมุดบันทึก ระยะเวลาทั้งสองช่วงที่กล่าวไป มีแนวโน้มสูงสุดที่พบปัญหา”
มกราคมถึงมิถุนายนปีที่แล้ว มกราคมถึงมีนาคมปีนี้… ลูเมี่ยนจดจำคำชี้แนะของมาดามจัสติสจนขึ้นใจ
เนื่องจากสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ครอบคลุมระยะเวลาถึงห้าปีกว่า การตีกรอบขอบเขตของเนื้อหาที่น่าสงสัย จึงช่วยประหยัดเวลาและพลังงานของลูเมี่ยนได้มากโข
หากเน้นอ่านเนื้อหาจากทั้งสองช่วงเวลาเป็นหลัก ความเหนื่อยยากของเด็กหนุ่มจะลดลงเก้าในสิบส่วน ช่วยให้วิเคราะห์ใคร่ครวญได้อย่างมีทิศทางมากขึ้น
หลังจากไตร่ตรองสักพัก ลูเมี่ยนกล่าวขอบคุณอีกครั้งด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณครับ มาดามซูซี่ ขอบคุณครับ มาดามจัสติส”
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพัก การบำบัดจิตคราวนี้ก็ถือเป็นอันยุติลง ลูเมี่ยนดื่มกาแฟเอสเปรสโซที่เหลือจนหมด ลุกขึ้นยืนแล้วออกจากร้านกาแฟเมสัน รอรถม้าสาธารณะอยู่ริมทาง
ขณะนี้ในทรีอาร์ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือไกลออกไป เมฆดำกำลังก่อตัวท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ส่วนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ท้องนภาเป็นสีฟ้าสดใส เมฆสีขาวบริสุทธิ์ย้อมด้วยประกายทองคำอร่ามตา
…………
ถนนเสื้อนอกขาว บ้านเลขที่ 3 อพาร์ตเมนต์ 601
ฟรังก้าพูดกับจินนา
“เราจะออกไปร่วมงานชุมนุมกัน”
“ชุมนุมอะไร” จินนาที่ยังไม่ได้แต่งหน้าสโมกกี้อาย ไถ่ถามด้วยความสงสัย
ฟรังก้าไม่ค่อยชวนเธอไปร่วมงานแบบนี้สักเท่าไร
ฟรังก้าหัวเราะ
“ชุมนุมศาสตร์เร้นลับ”
“ตอนนี้เธอย่อยโอสถ ‘นักลอบสังหาร’ หมดแล้ว ต้องพิจารณาเลื่อนลำดับไปเป็น ‘นักกระตุ้น’ … การเรียนรู้วิธีรวบรวมวัสดุและข่าวกรองจากชุมนุมศาสตร์เร้นลับเพื่อหาเงินและทรัพยากร คือบทเรียนสำคัญที่ผู้วิเศษเถื่อนทุกคนต้องเคยผ่าน”
“เลื่อนลำดับ…” จินนาดูงุนงงเล็กน้อย
คำศัพท์นี้ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับเธอ
ฟรังก้าพูดด้วยสีหน้าขึงขัง
“มีคนใหญ่คนโตเคยบอกฉันว่า ในอนาคตอันใกล้ สาวกเทพมารจะเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง หายนะที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับก็เช่นกัน”
“ถ้าเธออยากปกป้องตัวเอง ปกป้องพี่ชาย ปกป้องคนที่เธออยากปกป้อง ก็ต้องเดินบนเส้นทางสู่การเป็นเทพ ทีละก้าว แล้วแข็งแกร่งขึ้น”
จินนาเงียบไปสองสามวินาที แล้วพูดว่า
“ตกลง”
“งั้นเราไปกันเถอะ” ฟรังก้ายิ้มอีกครั้ง
จินนาลังเลเล็กน้อย
“ชวนชาร์ลไปด้วยกันไหม? อย่างเขาก็ควรต้องร่วมชุมนุมศาสตร์เร้นลับเหมือนกัน”
“…” สีหน้าของฟรังก้าเปลี่ยนไปทันที
…………………………………………………
.