ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 269 ชาวหมู่เกาะ
ตอนที่ 269 ชาวหมู่เกาะ
“ตกลง” ลูเมี่ยนพยักหน้าให้ผู้จัดการเรเน
หลังจากกินมื้อเย็นซึ่งประกอบด้วยซี่โครงแกะย่างฟอยล์ ไข่คนรวมมิตร พายไส้แยม และนกพิราบผัดหัวหอมสับ ลูเมี่ยนเช็ดปากด้วยผ้า ลุกขึ้นยืน เดินไปยังระเบียงร้านกาแฟ มองดูถนนใหญ่ตลาดที่เข้าสู่ยามค่ำคืนแล้ว
โคมไฟแก๊สริมถนนส่องแสงสีเหลืองสลัว มอบแสงสว่างแก่รถม้าและคนเดินถนน
ยามนี้ผู้คนทยอยเดินเข้าคาบาเร่ต์ลมเอื่อยเพื่อร่วมงานเฉลิมฉลอง
ว่ากันตามตรง ลูเมี่ยนชอบดื่มที่บาร์ใต้ดินของโรงแรมระกาทองมากกว่า เพราะรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากกว่า
ตามความคิดของเด็กหนุ่ม ลูกค้าคาบาเร่ต์ลมเอื่อยปล่อยเนื้อปล่อยตัวเกินไป ไม่ใส่ใจสภาพครอบครัว ไม่คิดถึงอนาคตตัวเอง เพียงแค่อยากมึนเมาไปกับเหล้า ความงาม การเต้นรำ และการตะโกนโหวกเหวก ในขณะที่ลูกค้าประจำส่วนใหญ่ของบาร์ใต้ดินคือผู้เช่าโรงแรมระกาทอง กว่าจะเลิกงานกลับมาถึงก็สามสี่ทุ่มไปแล้ว และต้องเข้านอนก่อนตีหนึ่ง พวกเขาเพียงดื่มเหล้า ร้องเพลง คุยโม้โอ้อวด และเต้นรำอย่างไร้ทิศทาง ส่วนใหญ่เพื่อใช้เวลาสักสองสามชั่วโมงหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเอง
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะกล้าเผชิญหน้ากับงานหนักๆ ในวันถัดไป จึงจะมีความหวังกับวันใหม่ที่ย่างกรายเข้ามา
ดุจดังตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ต้องเติมเชื้อเพลิงตามเวลา เพื่อต่ออายุการส่องแสงไปเรื่อยๆ
ลูเมี่ยนมองดูถนนใหญ่ตลาดอยู่สักพัก ไม่นานก็เห็นร่างที่คุ้นตา
ชาร์ลีผู้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีน้ำเงิน พาดเสื้อนอกไว้ตรงข้อพับแขน กำลังชกต่อยอยู่กับใครบางคนริมถนน
“โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ…” ลูเมี่ยนยิ้ม พลางพึมพำ ‘ศัพท์’ ที่เริ่มนิยมใช้กันในช่วงไม่กี่ปีหลัง
เด็กหนุ่มใช้มือขวาจับราวระเบียง กระโดดจากชั้นสองลงมายังริมถนนใหญ่ตลาดอย่างคล่องแคล่ว แล้วรีบเข้าไปใกล้การชกต่อยของชาร์ลี
เขาไม่ได้เข้าไปห้ามหรือช่วยชาร์ลี เพียงยืนดูอย่างสนอกสนใจ
คู่ต่อสู้ของชาร์ลีเป็นชายรูปร่างผอมบาง ผิวคล้ำแดด อายุไม่มาก ราวๆ ยี่สิบสี่ยี่สิบห้าเท่านั้น
เบ้าตาจมลึก ดวงตาค่อนข้างดำ ริมฝีปากหนา ผมหยักศกสีดำ บ่งบอกถึงเชื้อสายชาวหมู่เกาะทะเลหมอก แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมชาติแล้ว หน้าตาของเขาถือว่าหล่อเหลาพอสมควร
“ไอ้ขี้โกง! ไอ้ชาติชั่ว!” ชาร์ลีด่าทอขณะต่อสู้
ชายชาวหมู่เกาะสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน มีปากกาเสียบอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อหน้าอก เขาหลบหลีกไปพลางอธิบายว่า
“ฉันไม่ได้อยากให้มันเกิด ฉันก็โดนหลอกมาเหมือนกัน!”
“ไอ้ระยำเอ๊ย!” ชาร์ลีเตะไปที แต่พลาดเป้า
ทั้งสองชกกันอย่างไร้ทรงจนหอบเหนื่อย แล้วเกือบจะหยุดพักพร้อมกัน ชะลอท่าทีลงในเวลาเดียวกัน
จนถึงตอนนี้ ชาร์ลีเพิ่งสังเกตเห็นว่าลูเมี่ยนยืนดูอยู่ กำลังมองมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ชาร์ล ไอ้เวรนี่คือโมไนต์! ไอ้ขี้โกงคนนั้น! มันโกงเงินฉันไปสิบเฟลคิน เกือบทำให้ฉันอดตาย!” ชาร์ลีพูดด้วยสีหน้าปีติยินดี รีบอธิบายตัวตนของชายชาวหมู่เกาะตรงหน้า “สุริยันจงเจริญ! พระองค์ช่วยดลบันดาลให้ฉันเจอมันวันนี้!”
ชายชาวหมู่เกาะที่ชาร์ลีเคยสาปส่งสินะ? ลูเมี่ยนหัวเราะเบาๆ
“เรื่องนี้นายก็มีส่วนผิดนะ ลืมคำกล่าวนั่นแล้วหรือไง? อย่าไว้ใจชาวหมู่เกาะเป็นอันขาด”
“ฉันเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นเพื่อน” ชาร์ลีบ่นอย่างหดหู่
ทำไมถึงซื่อบื้อขนาดนี้? ทีตอนโกหกคนอื่นล่ะคล่องนัก… คนหัวอ่อนแบบนาย คงไม่แคล้วถูกพวกคิดไม่ซื่อหลอกขึ้นเตียง สุดท้ายก็ไม่ได้รับความรักหรือเงินทอง… อา… ก็เคยโดยมาแล้วนี่นะ… ลูเมี่ยนรำพันในใจสองสามประโยค ก่อนจะหันไปมองชาวหมู่เกาะที่ชื่อโมไนต์
โมไนต์แสดงรอยยิ้มพินอบพิเทา
“ตอนนั้นผมตั้งใจจะช่วยหางานให้ชาร์ลีจริงๆ แต่กลายเป็นถูกหลอกจนเสียเงินไปหมดเหมือนกัน”
“ผมอายจนไม่กล้าสู้หน้าชาร์ลี ก็เลยย้ายออกจากโรงแรมระกาทองไปเงียบๆ”
เขาอธิบายไปพลางหยิบปึกธนบัตรออกจากกระเป๋ากางเกง นับธนบัตรห้าเฟลคินออกมาสามใบ ยื่นให้ชาร์ลี
“ครั้งนี้ที่ฉันกลับมาเขตตลาดก็เพราะตั้งใจจะมาคืนเงินให้นาย พร้อมทั้งดอกเบี้ย”
ชาร์ลีตรวจความถูกต้องของธนบัตรทั้งสามใบใต้แสงไฟถนน อารมณ์ของเขาสงบลงมากแล้ว จึงถามด้วยความสงสัย
“นายก็โดนหลอกเหมือนกัน?”
ตั้งแต่รู้จักโมไนต์จนกระทั่งอีกฝ่ายย้ายออกไป ชาร์ลีเห็นแต่หมอนี่ไปหลอกคนอื่น ไม่เคยเห็นเขาเสียเปรียบใคร ทำตัวสมกับเป็นชาวหมู่เกาะ
“ไม่ใช่แค่โดนหลอก แต่โดนหลอกถึงสองครั้ง”
“ครั้งแรกฉันไปเจอกับคนกลุ่มหนึ่ง บอกว่าคาบาเร่ต์ ‘แกะดำ’ ในเขตหอดูดาวต้องการขยายกิจการ จึงปล่อยหุ้นบางส่วนออกมาให้คนทั่วไปจองซื้อ แตกเป็นหุ้นเล็กราคาแค่สองร้อยเฟลคิน”
“พวกนายคงรู้ดีว่าคาบาเร่ต์ทำเงินขนาดไหน ฉันอดใจไม่ไหว นำเงินเก็บไปลงทุนจนหมด แต่ใบจองซื้อหุ้นที่ได้มากลับเป็นของปลอม!”
“ฉันไปหาคนพวกนั้นเพื่อขอความกระจ่าง แล้วก็โดนหลอกเป็นครั้งที่สอง”
คาบาเร่ต์ ‘แกะดำ’ … หนังตาของลูเมี่ยนกระตุกเล็กน้อยโดยไม่ทันตั้งตัว
ฟิซพ่อค้าล้มละลายผู้พักอยู่ห้อง 401 ของโรงแรมระกาทอง เคยถูกทิมมอนส์เจ้าของคาบาเร่ต์ ‘แกะดำ’ โกงไป 100,000 เฟลคิน เขาอยากให้ลูเมี่ยนช่วยทวงเงินคืน แต่ลูเมี่ยนลงพื้นที่สืบดูและสอบถามหลายคนแล้ว พบว่าเป็นคาบาเร่ต์ที่มีกฎระเบียบแปลกประหลาด อีกทั้งยังมีเครือข่ายผู้มีอิทธิพลหนาแน่น ตัวคาบาเร่ต์เองก็ดูจะมีศักยภาพไม่น้อย เด็กหนุ่มจึงปฏิเสธงานไป
ตอนนี้เขาได้พบอีกหนึ่งเหยื่อของคาบาเร่ต์ ‘แกะดำ’
“นายถูกพวกมันหลอกมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมยังถูกหลอกซ้ำอีก?” ชาร์ลีเชื่อว่าตนไม่มีทางโง่ขนาดนั้นแน่
โมไนต์ไอแห้งเบาๆ สองที
“พวกเขาแสดงตัวอย่างเปิดเผยว่าเป็นแก๊งต้มตุ๋น และจะไม่คืนเงินให้ฉันสักริกต์เดียว แถมยังบอกด้วยว่า ถึงจะไปแจ้งตำรวจก็เปล่าประโยชน์ แต่ถ้าฉันมีพรสวรรค์ ทางนั้นถามว่าฉันเต็มใจจะเรียนวิชาต้มตุ๋นกับพวกเขาไหม เพื่อไปหลอกคนอื่นต่อ ชดเชยเงินที่เสียไปกลับคืนมา”
“แต่พอเอาเข้าจริง สิ่งที่พวกเขาสอน ฉันรู้อยู่ก่อนแล้วทั้งนั้น มีแค่ของสิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องใหม่”
“ของอะไร?” ชาร์ลีถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเคย
วินาทีถัดมา โมไนต์หยิบแว่นตาขาเดียวออกจากกระเป๋ากางเกงอีกข้าง
จากนั้นก็สวมลงบนตาขวาอย่างเป็นธรรมชาติ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากที่โมไนต์สวมแว่นตาขาเดียวลงไป ลูเมี่ยนพลันรู้สึกอย่างเลือนรางว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ราวกับว่า ‘นักแสดง’ กำลังสวมบทบาทอื่น
โมไนต์ที่สวมแว่นตาขาเดียวข้างขวา อมยิ้มตรงมุมปาก พลางมองชาร์ลีครู่หนึ่ง แล้วจึงผินหน้ามองลูเมี่ยน สายตากวาดจากใบหน้าไล่ลงมาถึงหน้าอก จนมาหยุดที่มือทั้งสองข้าง
ลูเมี่ยนรู้สึกประหม่าอย่างไร้สาเหตุ แต่ก็สัมผัสถึงอันตรายไม่ได้
โมไนต์พูดพร้อมรอยยิ้ม
“คุณคือชาร์ลผู้ประดิษฐ์เครื่องวัดความโง่สินะ”
“ใช่” ลูเมี่ยนไม่ปฏิเสธ แต่เพิ่มความระมัดระวัง
โมไนต์บีบแว่นตาขาเดียวบนตาขวาเบาๆ
“ชอบแกล้งคนด้วยสินะ”
“อยากได้แว่นตาขาเดียวนี่ไหม? มันไม่มีประโยชน์กับผมหรอก สู้นำไปแลกเป็นเงินสดดีกว่า แต่สำหรับคุณน่ะ สามารถใช้มันปลอมตัวเป็นคนของคาบาเร่ต์ ‘แกะดำ’ แล้วไปหาเงินที่นั่นได้เป็นกอบเป็นกำ”
แกคิดว่าฉันโง่นักหรือไง? ลูเมี่ยนปฏิเสธข้อเสนอของโมไนต์โดยไม่ลังเล
“พอดีไม่มีรสนิยมชอบสวมแว่นตาขาเดียว”
เขาสงสัยกฎประหลาดๆ ของคาบาเร่ต์ ‘แกะดำ’ มาตลอด จึงระแวงสถานที่แห่งนั้นอยู่บ้าง
โมไนต์ถอนสายตากลับด้วยท่าทีผิดหวังเล็กๆ ก่อนจะถอดแว่นออกแล้วพูดกับชาร์ลี
“ฉันคืนเงินต้นกับดอกเบี้ยให้นายหมดแล้ว ต่อไปถ้ามีอะไร ก็มาหาฉันได้ที่คาบาเร่ต์ ‘แกะดำ’”
ชาร์ลีส่งเสียง ‘หึ’ อย่างดูแคลน
เขายังสงสัยด้วยว่า โมไนต์มาที่นี่เพื่อหลอกเอาเงินตนเพิ่ม
หลังจากที่ชายชาวหมู่เกาะเดินพ้นถนนใหญ่ตลาด ลูเมี่ยนหันไปมองชาร์ลีแวบหนึ่ง
“รักษาระยะห่างจากหมอนั่นเอาไว้ ไม่งั้นนายอาจได้เผชิญสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับซูซานน่า·มาติส”
ประโยคหลังเป็นการหลอกชาร์ลี ส่วนใหญ่เพื่อขู่ให้กลัว ป้องกันไม่ให้เขาละเลยคำเตือน
ชาร์ลีสะดุ้งเฮือกทันที ไม่แม้แต่จะถามไถ่เหตุผล รีบพยักหน้าหงึกหงัก
“ต…ตกลง!”
…………
จินนามิได้ถามถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายมาทางเดียวกัน เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดว่า
“คุณเคยรู้สึกเหมือนทุกสิ่งล้วนไร้ความหมาย รู้สึกหลงทาง ไร้แรงบันดาลใจบ้างไหม?”
“แน่นอน” ลูเมี่ยนมองถนนเบื้องหน้า ตอบเหมือนไม่ใส่ใจ “คุณต้องค้นหาความหมายใหม่ของชีวิต ต้องรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร”
จินนาเงียบไปอีกครั้ง ผ่านไปสักพักจึงถาม
“คุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างไหม… เหมือนว่าในตัวมีภาพมายาแตกสลายไปกะทันหัน แล้วก็เหมือนมีดวงดาวลึกลับปรากฏขึ้นรอบตัว มีดาวใหญ่น้อยส่องแสงระยิบระยับ”
“ไม่เคย” ลูเมี่ยนครุ่นคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนตอบ
ความรู้สึกเมื่อภาพมายาแตกสลายกะทันหัน เขาเคยมี ทุกครั้งที่โอสถย่อยสลายหมด ก็จะรู้สึกแบบนั้น แต่อะไรที่ว่าดวงดาวลึกลับ อะไรที่ว่าดาวใหญ่ดาวเล็ก เขาไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย
จินนาไม่พูดต่อ ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดหาความหมายของปรากฏการณ์ หรือกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่กันแน่
ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็มาถึงอพาร์ตเมนต์บ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว ห้อง 601
ฟรังก้ากลับมาถึงแล้ว กำลังมองทั้งสองเดินเข้ามาพร้อมกันด้วยสายตาระแวง
ฟรังก้ายังไม่ทันได้ถาม จินนาก็เล่าเรื่อง ‘ภาพมายาแตกสลาย ดวงดาวลึกลับปรากฏ’ อีกรอบ
ฟรังก้าชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความดีใจ
“โอสถ ‘นักลอบสังหาร’ ของเธอย่อยสมบูรณ์แล้ว!”
“การลอบสังหารสส. ท่ามกลางผู้คนมากมาย ท่ามกลางการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ช่วยให้เธอย่อยโอสถได้ดีทีเดียว”
“นี่เป็นอาการของโอสถย่อยสมบูรณ์?” ลูเมี่ยนมิได้ปิดบังความประหลาดใจหรือสงสัย
ทำไมเรามีแค่ช่วงแรก แต่ไม่มีช่วงหลัง?
ฟรังก้ามองเด็กหนุ่มอย่างระแวงสงสัย
“คุณไม่เคยประสบ? แล้วเลื่อนลำดับได้ยังไง?”
รอยประทับบนตัวเราไม่เพียงช่วยผนึกเทอร์มีโพลอส แต่ยังปิดกั้นการรับรู้ทางศาสตร์เร้นลับบางอย่างด้วย? นั่นสินะ รอยประทับนี้อยู่บนตัวเรา ไม่มีทางที่มันจะไม่ส่งผลกระทบ… ลูเมี่ยนเริ่มคาดเดาได้คร่าวๆ จึงตอบแบบขอไปที
“ก็แค่มันไม่ชัดเจน”
ฟรังก้าผู้ใส่ใจหญิงสาวคู่ควงมากกว่า มิได้ถามเซ้าซี้ เพียงกลับมาถามจินนาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ตอนนี้สรุปหลักในการสวมบทบาทได้แล้วใช่ไหม?”
“หลักในการสวมบทบาท?” จินนาทวนคำอย่างใคร่ครวญ “หลังจบการลอบสังหาร ฉันก็เริ่มเข้าใจในหลายสิ่ง… อา… การลอบสังหารต้องนำชีวิตตัวเองวางไว้บนตาชั่งด้วย การลอบสังหารคือการลงทัณฑ์สุดท้าย เป็นหายนะที่มอบให้พวกอาชญากร…”
หลังจากพูดคุยถกเถียงกับจินนาเกี่ยวกับ ‘การสวมบทบาท’ และหลักการสวมบทบาทอย่างเอาจริงเอาจังสักพัก ฟรังก้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีลูเมี่ยนอยู่ด้วย
“แล้วคุณมีธุระอะไร?” เธอหันไปหาเพื่อนชายที่นั่งอยู่บนโซฟาแล้ว
ลูเมี่ยนมองจินนาเหลือบหนึ่ง สื่อเป็นนัยว่าต้องการคุยกันส่วนตัว
จินนาเข้าใจทันที จึงอ้างว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนแขก
ลูเมี่ยนเริ่มพูดกับฟรังก้าด้วยเสียงเบา
“คุณคิดว่า ‘เฮล่า’ เป็นคนยังไง”
………………………………………………..