ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 268 ความเป็นไปได้
ตอนที่ 268 ความเป็นไปได้
เมื่อได้ยินเทอร์มีโพลอสย้อนถาม ลูเมี่ยนถึงกับตกตะลึง
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสงสัยเลยว่า การที่ฟลามงอาศัยอยู่ในโรงแรมระกาทองนานถึงเพียงนี้ โดยไม่ถูกวิญญาณมงต์ซูรีสังหารเสียที จะมีความผิดปกติซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ในสายตาของลูเมี่ยน ญาติสายตรงและภรรยาของฟลามงถูกฆ่าตายหมดแล้ว การที่จะถึงคราวของฟลามงเป็นแค่เรื่องของเวลาเร็วหรือช้าเท่านั้น และจาก ‘บันทึกของเหยื่อ’ ที่เขาได้อ่านเจอขณะเยี่ยมชม ‘ห้องสมุดหนังสือเก่า’ ในสำนักงานใหญ่ของนิตยสาร ‘สื่อวิญญาณ’ เมื่อคราวก่อน มีกรณีที่พบวิญญาณมงต์ซูรีแล้วอยู่ต่อได้อีกถึงสิบเอ็ดเดือนเต็มก่อนจะถูกสังหาร ถึงกรณีของฟลามงจะพบได้ยาก แต่ก็มิใช่ว่าไม่เคยเกิดมาก่อน
แต่แล้วในชั่วพริบตา ลูเมี่ยนก็นึกถึงรายละเอียดผิดปกติอย่างหนึ่งในเรื่องนี้ขึ้นมา:
เหยื่อรายอื่นถูกวิญญาณมงต์ซูรีสังหารภายในปีเดียวกัน ขณะที่ฟลามงพบวิญญาณมงต์ซูรีเมื่อปีก่อน แต่ยังมีชีวิตรอดมาจนถึงปีใหม่ภายใต้การคุ้มครองของนักบวช
จริงอยู่ หากนับจากตอนที่เขาพบวิญญาณมงต์ซูรี จนถึงตอนที่เขียนจดหมายลาตายและแขวนคอตัวเอง จะยังไม่ถึงหนึ่งปีเต็ม แต่เมื่อเทียบกับรายอื่นแล้ว กรณีของฟลามงมีเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือการ ‘ข้ามปี’
“แร่ ‘เลือดธรณี’ ช่วยปกป้องฟลามง จนวิญญาณมงต์ซูรีต้องเลื่อนการลงมือออกไปหนแล้วหนเล่า ไม่สามารถรักษามาตรฐานเดิมของตัวเองไว้ได้?” ลูเมี่ยนถามเทอร์มีโพลอสด้วยน้ำเสียงค่อนไปทางแผ่วเบา
นี่คือเทวทูตตัวจริง แม้จะถูกผนึกอย่างสมบูรณ์แบบจนไม่อาจแผ่อำนาจออกมา แต่ลำพังสายตา วิสัยทัศน์ และคุณลักษณะของพระองค์ ก็เพียงพอที่จะมองทะลุความจริงของหลายสิ่งได้อย่างกระจ่าง
เทอร์มีโพลอสตอบด้วยเสียงอันน่าเกรงขาม
“มันทำให้วิญญาณมงต์ซูรีหวาดกลัวและรังเกียจ แต่ไม่มีพลังอำนาจใด”
“สำหรับเจ้า มันอาจเป็นกุญแจดอกหนึ่งก็ได้”
“กุญแจ?” ลูเมี่ยนเชื่อมโยงไปถึงหลายสิ่งในทันที “กุญแจสำหรับไขเข้าห้องลับสักแห่งในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่?”
เทอร์มีโพลอสกล่าวด้วยเสียงก้องกังวานผิดปกติ
“เจ้าจะต้องเข้าไปในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่แน่นอน ภายในนั้นมีทั้งหายนะและโอกาสรออยู่”
“แทนที่จะนั่งรออย่างเฉื่อยชา ไม่สู้ลองไปสำรวจให้กระจ่างเสีย และเตรียมพร้อมให้ดียิ่งขึ้นตามข้อมูลที่ได้รับจากการสำรวจแต่ละครั้ง”
“หางของแกโผล่เร็วไปหน่อยนะ” ลูเมี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ “อยากให้ฉันตายไวขึ้นสินะ? จากนั้นก็อาศัยความพิเศษของใต้ดินช่วยบดบังสัญญาณการพังทลายของผนึก เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะหลุดออกมาอย่างปลอดภัย โดยไม่ถูกเทวทูตกับนักบุญล้อมโจมตี”
เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า กระทั่ง ‘พฤกษาเงา’ ก็ยังไม่อาจหยั่งรากลึกลงไปในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่ ลูเมี่ยนก็เลิกฝันถึงการสำรวจใต้ดินทันที
กล่าวจบ โดยไม่รอให้เทอร์มีโพลอสตอบ เด็กหนุ่มออกจากห้อง แวะเข้าห้องน้ำใกล้ๆ เพื่อชะล้างเครื่องสำอางเร้นลับ
หลังกำจัดภัยซ่อนเร้นแล้ว ลูเมี่ยนนั่งลงตรงโต๊ะไม้ แล้วเริ่มเขียนจดหมาย
เรื่องของฟลามงและแร่ ‘เลือดธรณี’ มีความผิดปกติชัดเจน ไม่ว่าเทอร์มีโพลอสจะพูดอย่างไร ก็ไม่ควรเชื่อทั้งหมด จำเป็นต้องขอคำแนะนำจากมาดามเมจิกเชี่ยนสักหน่อย!
หากโง่เขลาเบาปัญญานัก หลงเชื่อคำพูดของเทวทูตแห่งเทพมารอย่างสนิทใจ ไม่ช้าก็เร็วคงได้เสียท่าครั้งใหญ่ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตของตัวเอง!
เสียงของเทอร์มีโพลอสดังก้องอีกครั้ง
“‘เมจิกเชี่ยน’ แห่ง ‘ชุมนุมทาโรต์’ คนนั้น ไว้ใจได้จริงหรือ”
“พวกนั้นเลือกผนึกข้าไว้ในร่างเจ้า แทนที่จะหาทางกำจัดให้สิ้นซาก… ไม่คิดบ้างหรือว่าทางนั้นวางแผนหลอกใช้เจ้าไปทำเรื่องไม่ดีในอนาคต”
“พวกเขาจับเจ้าโยนใส่ใจกลางพายุแห่งเมืองหลวง แต่กลับไม่สนใจไยดีเจ้าเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะถามไถ่ ไม่คิดบ้างหรือว่านี่เป็นปัญหา? การอธิบายว่าทำไปเพราะอยากฝึกฝนเจ้า สำหรับข้าแล้วฟังไม่ขึ้นเลย”
ลูเมี่ยนยิ้ม แล้วถอนหายใจ
“ก่อนหน้านี้ แกเคยหลอกลวงหรือยุยงใครด้วยตัวเองบ้างไหม? หรือเอาแต่พึ่งพาแต่พลังวิเศษเพียงอย่างเดียว?”
“อยากให้ฉันไปซื้อหนังสือ ‘วาทศิลป์แห่งการโน้มน้าว’ มาสักเล่มไหม เปิดอ่านทุกวัน เผื่อว่าจะเข้าหัวแกบ้าง”
“ขอบอกเอาไว้เลยนะ ตั้งแต่อายุสิบกว่า ฉันก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อีกแล้ว… ควรพึ่งพาใคร ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู และใครที่ต้องระวังตัว ฉันรู้จักแยกแยะเป็นอย่างดี”
เทอร์มีโพลอสไม่พูดต่อ ราวกับกำลังพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าควรศึกษาวาทศิลป์ติดตัวไว้ดีหรือไม่
ลูเมี่ยนลงมือเขียนจดหมายถึงมาดามเมจิกเชี่ยน ไม่นานก็เสร็จสมบูรณ์ แล้วส่งมันไปพร้อมกับแร่ ‘เลือดธรณี’ ผ่านตุ๊กตาผู้ส่งสารที่เขาอัญเชิญมา
เพียงครู่เดียว มาดามเมจิกเชี่ยนก็ตอบกลับมา พร้อมส่งตัวอย่างแร่คืนมาด้วย
“ดีใจที่เธอรอบคอบและมีสติ มิได้เชื่อคำพูดของเทอร์มีโพลอสไปทั้งหมด”
“แต่ที่เจ้านั่นพูดมาก็มีส่วนถูก แร่ชิ้นนี้ไม่มีอำนาจในตัวเอง เพียงแฝงกลิ่นอายและคุณสมบัติบางอย่างที่ไม่ทราบต้นตอ แต่ก็จางหายไปเกือบหมดแล้ว แทบไม่สร้างประโยชน์อันใดให้เธอ เพียงแต่ฉันเห็นว่า ในอนาคตช่วงเวลาหนึ่ง มันจะนำพาเธอไปพบเจอกับบางสิ่ง ซึ่งเป็นได้ทั้งดีและร้าย ตอนนี้ภาพรวมยังดูวุ่นวาย ฉันยังตีความแบบแม่นยำไม่ได้”
“จุดที่เทอร์มีโพลอสจงใจชี้นำเธอผิดๆ ก็คือ โชคชะตาที่จะเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องเกิดภายในทรีอาร์ใต้ดินยุคสมัยที่สี่เสมอไป สามารถเป็นส่วนใดของใต้ดินก็ได้”
“ถัดจากนี้ไป ถ้าเธอเตรียมตัวพร้อมแล้ว และอยากลองดูว่าจะพบเจอสิ่งใดบ้าง ก็ให้นำมันติดตัวลงไปใต้ดินทุกครั้ง แต่ถ้ายังไม่อยากเสี่ยง ก็อย่าลืมวางมันไว้ในห้อง”
“สำหรับเรื่องที่ฉันเคยพูดไว้เมื่อคราวก่อน เกี่ยวกับการตีความองค์ประกอบสัญลักษณ์ในความฝัน ตอนนี้มีความคืบหน้าแล้ว เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าเขาถนัดเรื่องแบบนี้มาก ไว้สะสางงานเสร็จเมื่อไร ฉันจะพาเธอไปพบเขา…”
เปลวไฟสีแดงฉานพลันลุกโชนจากมือของลูเมี่ยนที่กำลังถือจดหมาย แผดเผากระดาษในอุ้งมือให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
จากคำพูดของมาดามเมจิกเชี่ยนและเทอร์มีโพลอสรวมกัน เด็กหนุ่มได้ข้อสรุปว่า แร่เลือดธรณีตรงหน้าตน สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในทรีอาร์ใต้ดินที่ใดสักแห่ง ซึ่งอาจนำมาซึ่งโอกาสพิเศษ หรืออาจฝังเขาไว้ใต้ดินตลอดกาล
ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเสี่ยง… ลูเมี่ยนพึมพำเงียบ เขาตระหนักถึงขีดความสามารถของตนในเวลานี้อย่างแจ่มชัด
ตอนที่ได้เป็นลำดับ 7 ‘นักวางเพลิง’ ไม่ว่าจะสู้ประชิดหรือโจมตีระยะไกล ไม่ว่าจะหมัดมวยหรือเวทมนตร์ เขาก็ไม่มีจุดอ่อนอีกต่อไป หลุดพ้นจากกรอบของคนธรรมดาอย่างแท้จริง เพียงแต่เส้นทาง ‘นักล่า’ ชัดเจนว่าเน้นไปที่การต่อสู้ใน ‘วิถีปกติ’ มากกว่า ยังขาดความสามารถเชิงพิสดาร รวมถึงวิธีรับมือกับของพรรค์นั้น ในขณะที่ทรีอาร์ใต้ดิน หลากหลายพื้นที่โด่งดังในด้านความอัศจรรย์พันลึก
ลูเมี่ยนวางแผนไว้แล้วว่า ตนจะรอให้ย่อยโอสถ ‘นักวางเพลิง’ ไปถึงระดับหนึ่งก่อน และเมื่อได้รับพร ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ ก็ค่อยพิจารณาตามข้อมูลของทรีอาร์ใต้ดินที่รวบรวมมาได้ ว่าควรจะนำแร่เลือดธรณีไปเดินสำรวจสักรอบหนึ่งดีไหม
หากก่อนถึงตอนนั้น สามารถนำ ‘กิ่งพฤกษาเงา’ มาทำเป็นสมบัติวิเศษได้ก็ยิ่งดี
ลูเมี่ยนรวบรวมความคิด พาตัวอย่างแร่ชิ้นดังกล่าวมายังถนนเสื้อนอกขาว ซ่อนมันไว้ในบ้านลับของตน
ขณะที่แสงแดดยามบ่ายยังไม่จางหาย เด็กหนุ่มเปิดอ่านสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ ผสมผสานกับคำสอนของฟรังก้าและประสบการณ์การใช้เวทไฟของตน แล้ววิเคราะห์ทีละย่อหน้า เพื่อมองหาปัญหา
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ลูเมี่ยนอ่านถึงส่วนเขียนเกี่ยวกับการอัญเชิญ ‘สัตว์โลกวิญญาณ’ และการทำสัญญา
เขานึกถึง ‘เจ้ากระดาษขาว’ สัตว์พันธสัญญาของโอลัวร์พี่สาวขึ้นมาทันที
สิ่งมีชีวิตเปราะบางจากโลกวิญญาณนั่น สามารถรองรับพลังบางอย่างของผู้ทำสัญญาได้
“ไม่รู้ว่าพันธสัญญาระหว่าง ‘เจ้ากระดาษขาว’ กับโอลัวร์ถูกยกเลิกไปหรือยัง… ตามเนื้อหาในบันทึก หากไม่ประกอบพิธีกรรมบางอย่าง ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายไปอย่างสมบูรณ์เท่านั้น พันธสัญญาจึงจะถูกยกเลิก”
“น่าเสียดายที่สัตว์พันธสัญญาอัญเชิญได้เฉพาะเจ้าของเท่านั้น ไม่เหมือนผู้ส่งสารที่ใครก็อัญเชิญได้ ไม่อย่างนั้นเราคงได้ใช้ ‘เจ้ากระดาษขาว’ เพื่อตรวจสอบว่าโอลัวร์ตายอย่างสมบูรณ์หรือยัง…”
“หืม… บางทีในตัว ‘เจ้ากระดาษขาว’ อาจมีข้อมูลที่โอลัวร์ทิ้งไว้ก็ได้…”
ขณะที่ลูเมี่ยนใคร่ครวญ ความคิดของเด็กหนุ่มก็เบนไปสู่อีกหนึ่งปัญหา ซึ่งตนไม่เคยสังเกตมาก่อน
“มีบางช่วงที่โอลัวร์ได้สติกลับมา สามารถตัดแปะหนังสือเล็กปกฟ้ากับเราได้ สร้างเป็นจดหมายขอความช่วยเหลือส่งถึงทางการ… ในเมื่อปฏิกิริยาแรกของพี่ในความฝันคือการอัญเชิญผู้ส่งสารของ ‘เฮล่า’ รองประธาน ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ เพื่อขอความเห็น แล้วเหตุใดพี่ถึงไม่อัญเชิญผู้ส่งสารของ ‘เฮล่า’ ในตอนที่รู้สึกตัวเป็นครั้งคราว เพื่อแจ้งสถานการณ์อันยากลำบากที่ตนกำลังเผชิญให้มาดาม ‘เฮล่า’ รับรู้?”
ในจดหมายตอบกลับฉบับแรกสุดจากมาดาม ‘เฮล่า’ ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่เคยทราบปัญหาในหมู่บ้านกอร์ตูมาก่อน
“ทำไมโอลัวร์ถึงไม่ทำแบบนั้น ถูกอะไรตีกรอบไว้?”
“หรือว่า… พี่เคยอัญเชิญผู้ส่งสารจริง และ ‘เฮล่า’ โกหกเรา!”
ลูเมี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาที่ความทรงจำขาดหายไปบางส่วน ไม่อาจไขปริศนาได้ทันทีว่าปัญหาอยู่กับฝั่งใด
ตอนนี้เขายังไม่สงสัย ‘เฮล่า’ มากนัก โดยเชื่อว่าคงมีเหตุผลอื่น
เพราะต้องไม่ลืมว่า ผู้ส่งสารของ ‘เฮล่า’ รู้จักบ้านของเด็กหนุ่มเป็นอย่างดี หากสตรีผู้นี้มีเอี่ยวกับหายนะในหมู่บ้านกอร์ตูจริง และเป็นบทบาทที่ไม่สะอาดสะอ้าน เธอคงอยากกำจัด ‘ผู้รอดชีวิต’ คนสุดท้ายให้สิ้นซาก ไม่ทิ้งภัยซ่อนเร้นเอาไว้เบื้องหลัง แต่ตลอดมาเธอไม่เพียงแต่ไม่พยายามลงมือ แต่กลับมอบความรู้และคำแนะนำอย่างเป็นมิตร
เป็นเวลาหนึ่งวินาที ลูเมี่ยนนึกอยากจะเขียนคำถามเมื่อครู่ส่งไปถึง ‘เฮล่า’ โดยตรง เพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองเช่นไร แต่สุดท้ายก็ข่มใจตัวเองไว้ เพราะเกรงว่าหากทำลงไป อาจเป็นการเปิดโปงเรื่องราวจนนำไปสู่บทสรุปที่ไม่ดี
เขาอยากไปคุยกับฟรังก้าก่อน เพื่อฟังความเห็นของพวกพ้องที่เป็นทั้งสมาชิก ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ และ ‘ชุมนุมทาโรต์’ รายนี้ว่า เธอประเมิน ‘เฮล่า’ ไว้อย่างไร
หากฟรังก้ามองว่า ‘เฮล่า’ คู่ควรแก่ความไว้วางใจ และเคยเล่าเรื่องของ ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ ให้ไพ่ใหญ่ของเธอฟังก่อนหน้านี้แล้ว ลูเมี่ยนจะขอให้มาดามเมจิกเชี่ยนช่วย ‘จับตาดู’ ตนไว้ล่วงหน้า แล้วจึงเขียนจดหมายไปถาม ‘เฮล่า’
เด็กหนุ่มฝืนข่มใจให้สงบลง และศึกษาสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ต่อไป จนกระทั่งถึงยามเย็น จึงออกจากถนนเสื้อนอกขาว มุ่งหน้าไปยังถนนใหญ่ตลาด และเข้าไปในคาบาเร่ต์ลมเอื่อยของตัวเอง
“สายัณห์สวัสดิ์ครับลูกพี่!” เสียงทักทายดังมาจากทุกทิศทาง ลูเมี่ยนพยักหน้ารับแผ่วเบา พาลูอิสกับซาโกตาขึ้นชั้นสอง
ยังไม่ทันจะได้นั่งดี เรเน ผู้จัดการคาบาเร่ต์ก็เดินเข้ามาหา
ชายวัยกลางคนผอมแห้งรายนี้วางมือทาบหน้าอก คำนับแล้วกล่าว
“มิสเตอร์ชาร์ล มิสเตอร์มาร์ตินให้คุณไปพบเขาที่ถนนน้ำพุ ตอนสิบโมงเช้าวันพรุ่งนี้ครับ”
บอสใหญ่เรียกหาเรา? ลูเมี่ยนทั้งประหลาดใจและดีใจ
สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือ การ์ดเนอร์·มาร์ตินส่งคนมาตามเขา ทั้งที่ช่วงก่อนหน้านี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนความดีใจก็มาจาก ‘โอกาส’ ที่จะได้ใกล้ชิดกับการ์ดเนอร์·มาร์ติน โอกาสในการสร้างความไว้วางใจ จนกระทั่งได้เข้าร่วม ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’
……………………………………………..