ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 266 สุสานใต้ดิน
ตอนที่ 266 สุสานใต้ดิน
ที่ด้านนอกกองบัญชาการตำรวจเขตตลาด ลูเมี่ยนซึ่งปลอมตัวง่ายๆ ด้วยแว่นส่องความลับ ก้าวขึ้นรถม้าที่มีภาพวาดดอกโกฐสอเทศ
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไปสองนายในชุดสีดำนั่งเคียงข้างกัน ตรงหน้าเท้าวางหีบอัฐิสีเข้มสามใบ ซึ่งมีชื่อของผู้ตายเขียนด้วยหมึกเรืองแสง
เมื่อลูเมี่ยนนั่งลงฝั่งตรงข้าม รถม้าตำรวจก็เริ่มเคลื่อนตัวออก ตำรวจคนที่อายุมากกว่าเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง
“คุณมีความสัมพันธ์แบบใดกับพวกเขา ทำไมถึงมาร่วมพิธีศพ?”
เขาจำได้ว่าในบรรดาผู้ตายทั้งสาม สองคนไม่มีญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง ส่วนอีกคนแม้จะยังมีญาติห่างๆ อยู่บ้าง แต่พอได้ยินชื่อฟลามงก็พากันหวาดกลัว ไม่เพียงแต่ไม่ยอมมารับอัฐิและข้าวของเครื่องใช้ กระทั่งจะยอมรับว่าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดหรือแต่งงานก็ยังดูลังเล
ลูเมี่ยนตอบเสียงเรียบ
“ผมเป็นเจ้าของบ้านเช่าของพวกเขา”
“แค่เจ้าของบ้านเช่า?” ตำรวจที่อายุมากกว่า ทำหน้าไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
“คุณตำรวจ เจ้าของบ้านเช่าก็คนเหมือนกัน มีความรู้สึกเหมือนกันนะครับ!” ลูเมี่ยนตอบติดตลก “ผมกับพวกเขาเคยดื่มด้วยกันบ้าง หรือไม่ก็คุยกันบ่อย แค่ช่วยนำอัฐิไปส่งที่สุสานใต้ดินไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย”
ตำรวจที่อายุน้อยกว่ามองออกไปนอกหน้าต่าง แสดงท่าทีไม่อยากคุยเล่น ส่วนฝั่งที่อายุมากกว่าดูแล้วเป็นคนช่างจ้อ
“ดูจากหน้าตา คุณยังอายุไม่มากสินะ ในเมื่อทำธุรกิจโรงแรมหรืออพาร์ตเมนต์ในเขตตลาด ต้องจำไว้ว่าห้ามเกิดความผูกพันกับผู้เช่าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจถูกโกงหรือไม่ก็ต้องเสียใจ พอเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เข้าก็กลายเป็นคนตายด้าน”
หลังจากลูเมี่ยนพูดส่งๆ ไปสองสามประโยค ตำรวจคนเดิมก็ถามกลับ
“ฟลามงยังมีข้าวของเครื่องใช้เหลืออยู่ ไม่มีญาติคนไหนอยากรับไปเลย คุณเอาไหม? ถ้าไม่เอาเราจะจัดการเอง”
“ไว้กลับจากสุสานใต้ดินแล้วผมจะไปดู” ลูเมี่ยนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าไร
ระหว่างเดินทางจากเขตตลาดไปยังจัตุรัสแดนชำระในเขตหอดูดาว ตำรวจที่อายุมากกว่าพยายามชวนคุยตลอด ถ้าไม่ชวนลูเมี่ยนคุยก็ไปก่อกวนเพื่อนร่วมงาน ไม่เคยหยุดพักแม้เพียงชั่วขณะ
ในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย หลังจากอุ้มอัฐิของรูเอลลงจากรถม้า แม้แต่ลูเมี่ยนที่เป็นคนคุยเก่งก็ยังรู้สึกว่าหูของตนได้พักสักที
ผู้ดูแลสุสานที่ออกมาต้อนรับ เป็นหน้าเดิมที่ลูเมี่ยนเคยเห็นมาก่อน
อายุราวสามสิบปลายๆ รูปร่างปานกลาง ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย หนวดเคราหนา หางตาเชิดเล็กน้อย สวมกางเกงขายาวสีเหลือง เสื้อเชิ้ตสีขาว คลุมด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำเงิน
“เคนดัลล์ ทำไมถึงเป็นคุณอีกแล้ว” ตำรวจที่อายุมากกว่าทักทายด้วยรอยยิ้ม
เคนดัลล์ถือโคมไฟคาร์ไบด์ที่ยังไม่ได้จุด ยิ้มตอบว่า
“โรแบร์ ได้ยินว่าคุณจะมา ผมเลยเลื่อนนัดอื่นๆ ออกไปเพื่อมารอคุณโดยเฉพาะ”
ผู้ดูแลสุสานพูดไปพลางมองลูเมี่ยนสองสามหน พร้อมกับเน้นย้ำว่า
“ไม่ลืมเตรียมเทียนสีขาวมาใช่ไหม”
“ลืมอะไรก็ได้ แต่ไม่มีทางลืมเจ้านี่แน่!” โรแบร์ซึ่งอุ้มหีบอัฐิของฟลามง ล้วงหยิบเทียนสีขาวสามเล่มออกจากกระเป๋าเสื้ออย่างยากลำบาก แล้วโยนให้เพื่อนร่วมงานของตนกับลูเมี่ยนคนละเล่ม
เมื่อเห็นว่าทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว เคนดัลล์ก็จุดโคมไฟคาร์ไบด์ หันหลังกลับ นำทางพวกเขาเดินลงบันไดหิน 138 ขั้นอย่างไม่รีบร้อน
ระหว่างทาง พวกเขาผ่านประตูไม้หนักๆ ที่สลักตราศักดิ์สิทธิ์สองแผ่นใหญ่ ผ่านทางเดินอันเงียบเชียบจนได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ
สำหรับลูเมี่ยน สภาพแวดล้อมมืดสลัวเช่นนี้มิใช่ของแปลกใหม่ ในทางกลับกัน ตำรวจที่อายุน้อยกว่ากลับเริ่มเครียด จนกอดหีบอัฐิของนางมิเชลไว้แน่น เพื่อให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
หลังจากผ่านถนนกว้างที่มีโคมไฟแก๊สหลายดวง คณะสี่คนก็มาถึงทางเข้าสุสานใต้ดิน
ประตูหินขนาดมหึมาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและถูกดัดแปลงโดยฝีมือมนุษย์ ตั้งตระหง่านอย่างเงียบสงบท่ามกลางแสงไฟสลัว สองฝั่งเต็มไปด้วยภาพนูนต่ำรูปกะโหลกศีรษะ แขนกระดูก ดอกทานตะวัน และองค์ประกอบของไอน้ำ ด้านหลังคือความมืดมิดที่ราวกับแสงส่องทะลุผ่านไม่ได้
ด้านบนประตูมีคำจารึกเป็นภาษาอินทิสสองบรรทัด
“หยุด!”
“ข้างหน้าคือจักรวรรดิแห่งความตาย!”
แม้จะไม่ได้เพิ่งเคยเห็น แต่ลูเมี่ยนยังคงรู้สึกหนักอึ้งเมื่อได้อ่าน
แตกต่างจากความอยากรู้อยากเห็นปนสงสัยเมื่อในอดีต ตอนนี้เขารับรู้ได้อย่างแท้จริง ถึงน้ำหนักของคำเตือนและบรรยากาศเหล่านี้
ใต้ดินทรีอาร์มีหลายสิ่งถูกฝังเอาไว้ เต็มไปด้วยอันตรายเพียงพอที่จะบดขยี้ทั้งเมืองหลวงไปพร้อมกับอินทิส รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงทรีอาร์ในยุคสมัยที่สี่ พฤกษาเงา และเปลวไฟที่มองไม่เห็น ดังนั้น สุสานใต้ดินแห่งนี้ก็คงไม่ปลอดอันตรายไปเสียทีเดียว!
ตามคำพูดของ ‘ผู้วิงวอนความลับ’ ออสตา·ทรูเอล นักท่องเที่ยวที่ถือเทียนสีขาวเข้าไปในสุสานใต้ดิน ดูคล้ายเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งแสวงหาการปกป้องจากองค์ซ่อนเร้น
สถานที่อันตรายแบบนี้กลับเปิดให้สาธารณชนเข้าชม ลูเมี่ยนสงสัยว่ามันคงเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมอันตรายบางอย่างใต้ดิน เฉกเช่นการสร้างเมืองใหม่ทับลงบนทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่
เคนดัลล์หันกลับมา พูดกับพวกลูเมี่ยน
“จุดเทียนได้เลย ก่อนออกจากสุสานใต้ดิน อย่าให้มันดับเด็ดขาด”
“ถ้าหลงทางกับผม ไม่ต้องตื่นตระหนก ให้หาป้ายบอกเส้นทาง ถ้าหาป้ายไม่เจอ ก็ให้มองเส้นสีดำบนเพดาน เดินตามมันไปเรื่อยๆ ก็จะออกมาได้”
อาศัยโคมไฟคาร์ไบด์ในมือเคนดัลล์ ลูเมี่ยนกับอีกสองตำรวจต่างก็จุดเทียนสีขาวของตน จนพวกมันส่องแสงสีเหลืองอมส้ม
ท่ามกลางเปลวเทียนทั้งสี่ที่กะพริบไหวแผ่วเบา เคนดัลล์ดับโคมไฟคาร์ไบด์ แล้วเดินผ่านประตูหินบานใหญ่ เข้าไปในจักรวรรดิแห่งความตายนั่น
ลูเมี่ยนรีบตามไปไม่ห่าง โดยใช้มือข้างหนึ่งอุ้มหีบอัฐิ ส่วนอีกข้างถือเทียนสีขาว
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมากะทันหัน
ความหนาวเย็นมิได้มาจากโดยรอบ แต่เกิดจากก้นบึ้งหัวใจโดยตรง ทำให้ขนทั่วร่างลุกชันทีละเส้น
พร้อมกันนั้น ในใจของลูเมี่ยนตึงเครียดฉับพลัน รู้สึกเหมือนมีสายตาจากรอบข้าง จับจ้องมองตนอย่างเงียบงัน
อาศัยแสงเทียนในมือ เด็กหนุ่มมองไปทางขวา เห็นผนังหินที่มีช่องหลุมขุดเจาะไว้หลายแห่ง ในแต่ละหลุมมีศพขาวโพลนเบียดเสียดอยู่
หัวกะโหลกตาลึกไร้เนื้อหนังเหล่านั้น ดูคล้ายกำลังรุมจ้องเขาอย่างพร้อมหน้า โดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึกใด
ลูเมี่ยนมิได้ก้มหน้าลง เพียงเพ่งมองกระดูกเหล่านั้นอย่างละเอียด พบว่าความรู้สึกประหลาดที่ถูกจ้องมอง ไม่ได้ได้มาจากพวกมัน และไม่ได้จางหายไปไหน
ด้วยสัญชาตญาณ เด็กหนุ่มอยากเปิดเนตรวิญญาณเพื่อตรวจสอบ
แต่ตอนนี้เขาเป็นคนละคนกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึงทรีอาร์ หลังจากผ่านเหตุการณ์มาไม่น้อย ก็เข้าใจคำเตือนมากมายที่เขียนด้วยเลือดและน้ำตาของคนรุ่นก่อน
อย่ามองในสิ่งที่ไม่ควรมอง… ในเมื่อมันยังไม่ทำร้ายเรา ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาต้นตอความผิดปกติ… ลูเมี่ยนรำพันในใจสองประโยค แล้วหันไปมองตำรวจข้างๆ
ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ตระหนักถึงความผิดปกติใดเลย เพียงเดินตามเคนดัลล์ผู้ดูแลสุสานไปเรื่อยๆ
ลูเมี่ยนจึงสงสัยว่า ประสบการณ์เมื่อสักครู่อาจเป็น ‘การเปลี่ยนแปลงทางพลังวิญญาณ’ หลังจากที่ตนเลื่อนลำดับเป็นนักวางเพลิง
ถ้าไม่รู้สึกจะดีกว่านะ… เด็กหนุ่มอดทอดถอนใจไม่ได้
เนื่องจากถูกจับจ้องด้วยสายตาหลายคู่ ผิวของเขาจึงเริ่มมีตุ่มเม็ดเล็กผุดขึ้นหนาแน่น
เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองอย่างระมัดระวัง ก็พบเส้นสีดำที่ค่อนข้างหนา วาดอยู่บนเพดานสุสาน พร้อมกับลูกศรชี้ไปยังประตูทางออก
ทุกย่างก้าวที่เดินไป ลูเมี่ยนพบว่าสองข้างทางเต็มไปด้วยโครงกระดูก บางส่วนอยู่ในหลุมบนผนังหิน บางส่วนกองอยู่ริมทาง บางศพยังสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บางศพไม่เพียงจะไม่เหลือของใช้ติดตัว กระทั่งกะโหลกก็ยังมีเชื้อราสีเขียวเข้มปกคลุม อากาศฟุ้งไปด้วยกลิ่นเน่าเปื่อยจางๆ
สุสานใต้ดินแบ่งออกเป็นห้องฝังศพหลายห้อง แต่ละห้องมีชื่อของตัวเอง เพื่อช่วยให้ผู้มาไว้อาลัยหาโครงกระดูกง่ายขึ้น
หลังจากที่พวกลูเมี่ยนตามเคนดัลล์ผ่าน ‘ห้องฝังศพเล็ก’ กับ ‘ห้องฝังศพเสาอนุสรณ์’ ก็พบว่าด้านหน้ามีเปลวเทียนสีเหลืองอมส้มเพิ่มขึ้นมาหลายสิบดวงกะทันหัน
บางครั้งพวกมันรวมตัวเหมือนหิ่งห้อยยามราตรี บางคราวก็เหมือนสายวารีที่ประกอบจากแสงดาวสลัวๆ
ลูเมี่ยนมองแบบไม่ใส่ใจ ไม่นานก็ได้เห็นเจ้าสาวสวมผ้าคลุมหน้าสีขาว ใส่ชุดแต่งงานสีบริสุทธิ์ โดยด้านข้างเป็นเจ้าบ่าวในชุดสูทหางนกสีดำ มีดอกไม้และผ้าเช็ดหน้าเสียบกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอก ล้อมรอบพวกเขาคือกลุ่มหนุ่มสาวราวสามสิบสี่สิบ ต่างถือเทียนสีขาวสุกสว่างในมือ พูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“พวกนั้นกำลังทำอะไร” ลูเมี่ยนไม่ปิดบังความสงสัย
เคนดัลล์ส่งเสียง ‘ฮึ’ แล้วอธิบาย
“เป็นส่วนหนึ่งของพิธีแต่งงาน”
“ตั้งแต่ปีก่อน คู่แต่งงานใหม่จะพาแขกที่เป็นคนหนุ่มสาวลงมายังสุสานใต้ดิน เดินไปท่ามกลางเหล่าผู้วายชนม์ กลายเป็นพิธีแต่งงานที่นิยมในกรุงทรีอาร์… พวกคนหนุ่มสาวนี่นะ… ชอบจังเลยไอ้การท้าความกล้า แถมยังนำความกล้าของตนไปข่มคนอื่นอย่างภูมิอกภูมิใจ ผมเคยเห็นแขกคนหนึ่งจงใจเก็บกระดูกแขนขึ้นมา แล้วนำไปตบบ่าของเจ้าบ่าวเจ้าสาว ทำเอาตกตะลึงพรึงเพริดจนเกือบจะเป็นลมไปทั้งคู่”
พวกคนทรีอาร์นี่นะ… ลูเมี่ยนส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว
หลังจากผ่านคนกลุ่มนี้ไปไม่นาน ทั้งสี่ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ณ ‘ห้องฝังศพตะเกียงสุสาน’
ใจกลางห้องเป็นฐานสีดำ บนฐานตั้งแท่นหินสี่เหลี่ยมปลายแหลมทาสีขาว วาดลวดลาย ‘ตราศักดิ์สิทธิ์สุริยัน’
ปลายยอดของแท่งหินมีตะเกียงน้ำมันทรงโบราณวางอยู่ ซึ่งดับไปนานมากแล้ว บนผนังและพื้นโดยรอบเต็มไปด้วยโครงกระดูก หีบอัฐิ และขวดน้ำตาจำนวนมาก
จากหลายที่เข้ามาข้างใน ลูเมี่ยนเพิ่งจะนึกถึงปัญหา
“แล้วครอบครัวของฟลามงอยู่แถวไหน?”
เด็กหนุ่มอยากให้ฟลามงได้นอนหลับเคียงข้างภรรยาและลูก รวมถึงพ่อแม่ของเขา
หลังจากไตร่ตรองสักพัก ลูเมี่ยนก็เริ่มเข้าใจเหตุผลที่ฟลามงไม่เขียนระบุตำแหน่งโครงกระดูกของครอบครัวตนให้ชัดเจน
เขารู้สึกผิดและตำหนิตัวเอง ใจหนึ่งก็อยากอยู่ใกล้ครอบครัว แต่ไม่กล้าอยู่ใกล้เกินไปนัก จึงหวังเพียงได้อยู่ในห้องฝังศพเดียวกัน คอยจ้องมองพวกเขาจากไกลๆ
ความเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ หลั่งไหลเข้ามาในใจลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่สักพัก สุดท้ายก็เลือกจะเคารพคำสั่งเสียของฟลามง สุ่มหาที่วางหีบอัฐิของคนบ้ารายนี้ลง
หลังจากที่พวกโรแบร์วางหีบอัฐิของคู่รักรูเอลมิเชลเสร็จ ทั้งสี่ก็เริ่มสวดมนต์ภาวนาพร้อมกัน บางคนปิดท้ายด้วย ‘สุริยันจงเจริญ’ บางคน ‘ไอน้ำจงพวยพุ่ง’
ระหว่างทางกลับ พวกเขาได้พบกับบ่าวสาวคู่เดิม รวมถึงแขกเหรื่อหนุ่มสาวในงานแต่ง
ขณะกำลังจะเดินผ่านไป ลูเมี่ยนเห็นหนุ่มสาวที่ดูเหมือนคู่รักซึ่งเดินรั้งท้ายขบวน กำลังหาจังหวะเป่าเทียนสีขาวในมือให้ดับขณะที่ผู้ดูแลสุสานเผลอ อยากรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร
ฟู่!
พวกเขาทำมันลงไป
เปลวเทียนสีเหลืองอมส้มสองดวงดับลงพร้อมกัน
ทันใดนั้น สมองของลูเมี่ยนเข้าสู่ภวังค์ชั่วขณะ
ไม่นานก็กลับเป็นปกติ แต่ในการมองเห็นกลับไม่พบหนุ่มสาวที่ดูเหมือนคู่รักนั่น
หายไปแล้ว… รูม่านตาลูเมี่ยนเบิกกว้างทันที อยากจะมองสถานการณ์ตรงหน้าให้ชัดเจน
ไม่กี่วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มก็ยืนยันข้อเท็จจริงหนึ่งได้:
คนหนุ่มสาวที่ดูเหมือนคู่รักนั่น หายตัวไปแล้วไม่ผิดแน่!
ลูเมี่ยนจึงกวาดตามองรอบขบวน
ไม่ว่าจะเป็นคู่แต่งงานที่เดินนำหน้าสุด แขกบางส่วน หรือแขกไม่กี่คนที่รั้งท้ายขบวน ก็ล้วนไม่มีใครเอะใจว่ามีคนหายไป ยังคงหัวเราะร่วน คุยเล่น และก้าวเดินต่อไปดังเดิม
…………………………………………….