ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 264 องค์กรลับ
ตอนที่ 264 องค์กรลับ
“รองหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ MI9 ของราชอาณาจักรโลเอ็น ถูกพบเห็น ณ จุดเกิดเหตุวินาศกรรมที่เขตตลาด!”
“รัฐสภาถกเถียงอย่างดุเดือดเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่ศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสควรแบกรับในคดีการลอบสังหารฮิวจ์·อาร์ทัวส์”
“การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรง!”
“สองศาสนจักรใหญ่ปรึกษาหารือกันเพื่อจำกัดความคุ้มครองของสมาชิกรัฐสภา”
“ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ได้สาบานตนได้รับความคุ้มครอง”
“รัฐสภา? รังของสาวกเทพมาร!”
“ฮิวจ์·อาร์ทัวร์ให้ที่พักพิงแก่สาวกเทพมารที่ก่อเหตุวินาศกรรมในเขตตลาด”
ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นยามบ่าย สายตาของจินนาเลื่อนผ่านพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ ซึ่งยืนอยู่คนละฝั่งขั้วอำนาจและโต้ตอบกันอย่างดุเดือด
สุดท้าย สายตาของเธอหยุดลงบนใบประกาศจับที่ติดอยู่ด้านหลังแผงขายหนังสือพิมพ์:
“กิโยม·เบเนต์…”
“ปัวริส·เดอ·โร้คฟอร์…”
“ลูเมี่ยน·ลี…”
“เชเลีย·เบลโล…”
จินนามองใบประกาศจับของตัวเอง รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นราวกับความฝัน
ภาพถ่ายหรือภาพวาดบนใบประกาศนั่น ไม่เหมือนกับเธอเลยสักนิด ยกเว้นโครงหน้าที่นับว่าสะสวย รายละเอียดอื่นบนใบหน้าแทบจะตรงกันข้าม อย่าว่าแต่นักล่าเงินรางวัลเลย ต่อให้ยูเลียน พี่ชายของเธอเห็นใบประกาศนี้ ก็คงไม่คิดว่านั่นคือน้องสาวของเขา
ดังนั้น ระยะนี้จินนาจึงยังเรียนการแสดงที่กรงพิราบเก่าตอนกลางวัน และร้องเพลงหาเงินที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยตอนกลางคืน ใช้ชีวิตไม่ต่างจากแต่ก่อนมากนัก
หากมิใช่เพราะหนังสือพิมพ์พูดถึงการตายของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ รวมถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นรายวันเพราะเหตุการณ์ดังกล่าว เธอคงสงสัยว่าการลอบสังหารฮิวจ์·อาร์ทัวส์ เป็นเพียงความฝันที่เกิดขึ้นระหว่างที่จิตใจของตนแตกสลาย
ตามข้อมูลที่ฟรังก้าสืบมาได้ รวมถึงข้อสันนิษฐานที่อิงจากข้อมูลเหล่านั้น บรรดาผู้วิเศษทางการคงชื่นชมการกระทำของจินนาเป็นอย่างมาก มองว่าเธอมีส่วนสำคัญในการช่วยกำจัดกลุ่มสาวกเทพมาร หากไม่ติดว่าได้รับแรงกดดันจากฝ่ายรัฐสภา รวมถึงข้อจำกัดด้านอื่น พวกเขาคงมอบเหรียญตราให้จินนาไปแล้ว
ดังนั้น ทางการจึงจงใจวาดใบหน้ามั่วๆ ในใบประกาศจับ และใช้ข้ออ้างเรื่องการสอบสวน ช่วยขจัดอิทธิพลชั่วร้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจยูเลียน ซึ่งเป็นรากเหง้าที่ทำให้อารมณ์ไม่มั่นคง รวมถึงช่วยรักษาอาการทางจิตให้ นอกจากนั้น ภายใต้ธงมนุษยธรรมและการสนับสนุนศาสนิกชน ทางศาสนจักรแนะนำให้ยูเลียนเข้าฝึกอบรมหลักสูตรช่างคีมเป็นเรื่องเป็นราว
สำหรับจินนา นอกจากต้องหลบเลี่ยงเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงทุกครั้งที่ไปเยี่ยมพี่ชาย ชีวิตของเธอแทบไม่มีอะไรเปลี่ยน เวลาที่ควรเรียนการแสดงก็ได้เรียน เวลาที่ควรเป็นนางพญาก็ได้เป็น
ตามประสบการณ์ของฟรังก้า หากอีกสองสามวันจินนายังไม่ออกจากเขตตลาด คงมี ‘ผู้ชำระ’ ของศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสติดต่อมาหา สอนความรู้เบื้องต้นและข้อห้ามบางอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้วิเศษเถื่อนอย่างเธอ สร้างหายนะโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็บ่มเพาะให้เป็นสายลับของพวกเขา
หากเป็นผู้วิเศษจากศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ ทางนั้นอาจเลือกจับตามองและแอบสะกดรอยตามจินนา เพื่อสืบหาที่มาของตะกอนพลังของเธอ และควบคุมตัวผู้วิเศษเถื่อนที่ติดต่อกับเธอทั้งหมด จากนั้นจึงค่อยพิจารณาตามความเหมาะสม ว่าจะจับไปบ่มเพาะให้เป็นสายลับ หรือรอตกปลาใหญ่ด้วยเบ็ดยาว แต่สำหรับ ‘ผู้ชำระ’ แล้วในกรณีที่จินนาสร้างคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวง พวกเขามักจะใช้วิธีที่ค่อนข้างเปิดเผยมากกว่า
จินนาไม่สนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร ถ้าผู้วิเศษทางการคิดจะจับ เธอก็จะหนี ถ้าพวกเขาอยากให้เป็นสายลับ เธอก็จะเป็น ถ้าพวกเขาไม่สนใจ เธอก็จะทำงานหาเงินต่อไป เร่งล้างหนี้สินที่ติดค้างอยู่ทั้งหมด และเก็บเงินค่าเล่าเรียนปีหน้าให้เพียงพอ
หลังจากถอนสายตากลับ จินนาที่เพิ่งออกจากกรงพิราบเก่า สวมชุดกระโปรงยาวสีเทาขาว เดินไปทางถนนเสื้อนอกขาว ตั้งใจว่าจะพักสักหน่อย แต่งหน้าฟุ้งๆ ให้เหมือนสาวใจแตก ก่อนจะไปเป็นนางพญาที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อย
บ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว อพาร์ตเมนต์ห้อง 601
ฟรังก้าที่สวมเสื้อเชิ้ตสตรี กางเกงขายาวสีอ่อนและรองเท้าแตะไม้ ยิ้มร่าเริงต้อนรับลูเมี่ยนที่มาเยี่ยมเยียน
“โรงละครกรงพิราบเก่าทำเงินได้มากกว่าที่ฉันคิดไว้อีก!”
ในงานประมูลการกุศล ซึ่งนำทรัพย์สินของพวกนอกรีตมาจัดประมูล โดยทำในนาม ‘การฟื้นฟูหลังสิ้นสุดภัยพิบัติ’ การ์ดเนอร์·มาร์ตินใช้เงิน 50,000 เฟลคินซื้อโรงละครกรงพิราบเก่า และมอบให้ฟรังก้าเป็นผู้จัดการ โดยกำไรส่วนใหญ่ก็ตกเป็นของคู่นอนอย่างเธอ
ภายในงานประมูล เขายังใช้เงิน 2,000 เฟลคินซื้อโรงแรมระกาทอง โดยจะส่งคนมาตรวจสอบนั่นนี่เป็นครั้งคราว ราวกับพยายามสืบหาข้อเท็จจริงเบื้องหลังวินาศกรรม
แต่สำหรับกิจการทั่วไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลูเมี่ยนเป็นผู้รับผิดชอบ
อากาศเริ่มร้อนขึ้น ลูเมี่ยนสวมกางเกงบางสีน้ำตาล เชิ้ตขาวกั๊กดำ โดยไม่ได้ใส่เสื้อนอก
เขาไม่ได้ถามถึงตัวเลขรายได้ของกรงพิราบเก่า แต่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วพูด
“ผมอยากฟังสถานการณ์ขององค์กรลับที่พวกเราสังกัดอยู่”
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าฟรังก้าจะหาจังหวะเหมาะๆ มาเล่าให้ฟัง แต่ปรากฏว่ารอมาหลายวัน อีกฝ่ายกลับทำเหมือนลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เขาจึงต้องมาถามด้วยตัวเอง
ฟรังก้าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโพล่งอุทานออกมา
“คุณไม่ทราบ?”
เข้าร่วมองค์กรโดยไม่รู้สถานการณ์ขององค์กรเนี่ยนะ?
ถ้าไม่ใช่เพราะมาดามจัดจ์เมนต์ยืนยันว่าลูเมี่ยนเป็นเพื่อนร่วมองค์กร เธอคงสงสัยว่าไอ้เด็กคนนี้กำลังต้มตุ๋นเธอ โดยที่ความจริงแล้วไม่ใช่สมาชิกขององค์กร
ลูเมี่ยนตอบเถรตรง
“ก่อนหน้านี้ผมอยู่ในช่วงทดลองงาน พอผ่านการทดลองแล้ว ไพ่ใหญ่อาร์คาน่าของผมก็อยากให้คุณเล่าแทน”
ฟรังก้ายอมรับคำอธิบายนี้ เพราะเธอเองก็เคยผ่านการทดลองงาน ตอนนั้นก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากเหมือนกัน
หญิงสาวกลับไปนั่งเก้าอี้เอนหลัง สองขาขัดสมาธิ หลังตั้งตรง แล้วจึงกล่าว
“พวกเราทุกคนเป็นสมาชิกของ ‘ชุมนุมทาโรต์’”
“ชุมนุมทาโรต์…” ลูเมี่ยนที่นั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามไม่แปลกใจเลย เนื่องจากสมาชิกองค์กรลับนี้ล้วนใช้ไพ่ทาโรต์เป็นโค้ดเนม โดยที่สมาชิกหลักใช้ไพ่อาร์คาน่าใหญ่ ส่วนสมาชิกทั่วไปใช้ไพ่อาร์คาน่าเล็ก
ความภาคภูมิใจค่อยๆ เผยขึ้นบนใบหน้าฟรังก้า
“จากทั่วทั้งโลก ชุมนุมทาโรต์ของเราถือเป็นองค์กรลับที่มีเอกลักษณ์ที่สุด ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงพลังที่สุดก็ว่าได้”
“นั่นเพราะผู้นำของเราคือองค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่เหนือทวยเทพทั้งปวง สำหรับองค์กรลับอื่น เทพที่พวกเขาเคารพบูชาเพียงแค่คอยเฝ้ามองและประทานวิวรณ์ มิได้เข้าร่วมโดยตรง แต่มิสเตอร์ฟูลพวกเขาจะเรียกประชุมเหล่าผู้ถือไพ่อาร์คาน่าใหญ่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เป็นประจำ ก่อนที่ในภายหลังพระองค์จะเข้าสู่ห้วงนิทรา”
“นี่เรียกว่าอะไร? นี่ต่างหากที่เรียกว่าการชุมนุมต่อหน้าพระพักตร์!”
“ศาสนจักรใหญ่ต่างก็มีการชุมนุมที่เรียกว่า ‘ชุมนุมต่อหน้าพระพักตร์’ เหมือนกัน แต่อย่างมากก็เป็นเพียงการประชุมภายใต้สายตาของเทพ มิใช่การชุมนุมที่องค์เทพร่วมด้วยในฐานะประธาน”
เล่าถึงตรงนี้ ฟรังก้าวางมือทาบอกแล้วย่อตัวเล็กน้อย
“มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ!”
ลูเมี่ยนเคยนึกถึงความเป็นไปได้ที่ชุมนุมทาโรต์จะสูงส่ง เนื่องจากมาดามเมจิกเชี่ยนทั้งดูลึกลับและทรงพลังอย่างมาก แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ องค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาดามเมจิกเชี่ยนเอ่ยถึงนั้น แท้จริงแล้วคือผู้นำของชุมนุมทาโรต์โดยตรง
นี่ทำให้กรอบความเข้าใจที่เด็กหนุ่มเคยมีต่อทวยเทพ แตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
เขาครุ่นคิดสักพักแล้วถาม
“ที่มิสเตอร์ฟูลถูกเรียกว่า ‘เดอะฟูล’ ก็เพราะพระองค์ถือไพ่ ‘เดอะฟูล’ จากไพ่อาร์คาน่าใหญ่หรือ?”
นั่นเท่ากับว่า พระองค์ก็เป็นสมาชิกของชุมนุมทาโรต์คนหนึ่งเหมือนกัน?
“ก็อาจเป็นไปได้” ฟรังก้าคิดอยู่สักไม่กี่วินาทีก่อนจะตอบ “แต่ไม่มีใครยืนยันได้หรอก ส่วนฉันสงสัยว่า ที่มิสเตอร์ฟูลใช้ชื่อชุมนุมทาโรต์เมื่อครั้งก่อตั้งองค์กรลับ และให้สมาชิกแต่ละคนถือไพ่ทาโรต์ที่แตกต่างกันไป ก็เพราะในบรรดาพระนามมากมายของพระองค์ มีคำว่า ‘เดอะฟูล’ รวมอยู่ด้วยไง”
“เราสามารถเรียกพระองค์ว่า ‘มิสเตอร์ฟูล’ ได้เลยหรือ?” ลูเมี่ยนรู้สึกว่านี่ฟังดูเหมือนการดูหมิ่นหรือไม่ให้ความเคารพต่อเทพ เพราะคำนำหน้า ‘มิสเตอร์’ ฟังดูเหมือนมนุษย์ไปสักหน่อย รู้สึกไม่น่าเกรงขามเท่าที่ควร
ฟรังก้าหัวเราะในคอ
“ไม่มีปัญหาหรอก ได้ยินว่ามิสเตอร์ฟูลเองก็ชอบให้เรียกชื่อนี้มาก”
เมื่อเห็นว่าลูเมี่ยนหมดข้อสงสัย ฟรังก้าก็เล่าต่อ
“ในอาคมพิธีกรรมหลายชนิด ถ้าคุณหาเป้าการสวดวิงวอนไม่ได้ ก็กำหนดให้เป็นมิสเตอร์ฟูลไปเลย ถึงแม้กระบวนการอาจผิดไปจากที่คิดไว้ แต่สุดท้ายมันจะเกิดผลลัพธ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์”
“ปัญหาเดียวคือมิสเตอร์ฟูลกำลังอยู่ในห้วงนิทรา เราไม่ควรรบกวนพระองค์บ่อยเกินไป ไพ่อาร์คาน่าใหญ่ของฉันแนะนำว่า ถ้าไม่จำเป็น ไม่ควรรบกวนเกินเดือนละครั้ง และการเอ่ยถึงพระนามห้วนๆ ไม่เพียงจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ แต่ยังมีความเสี่ยงด้วย เพราะลำพังเศษเสี้ยวพลังอันน้อยนิดที่เทพผู้หลับใหลเผลอปล่อยออกมา สามารถคร่าชีวิตพวกเราได้ร้อยรอบ จำเป็นต้องประกอบพิธีกรรมเพื่อรับรองความปลอดภัยให้ตัวเอง”
จุดนี้มาดามเมจิกเชี่ยนก็เคยพูดถึงเหมือนกัน แต่จากคำอธิบายของเธอ มิสเตอร์ฟูลดูเหมือนจะไม่ได้แค่หลับใหลธรรมดา… ฟรังก้าไม่ทราบเรื่องนี้? ลูเมี่ยนถามด้วยความสงสัยปนครุ่นคิด
“มิสเตอร์ฟูลเป็นเทพแบบไหนกันแน่?”
ฟรังก้ากระแอมล้างคอแล้วตอบ
“ถ้าให้ฉันพูดคงไม่ครอบคลุมและไม่ละเอียดพอ ฮ่าๆ ฉันจำไม่ได้มากขนาดนั้น”
“ขอแนะนำให้คุณไปฟังคำเทศนาของบิชอปที่วิหารมิสเตอร์ฟูลเลยดีกว่า”
“วิหารของมิสเตอร์ฟูล?” ลูเมี่ยนทวนคำด้วยความประหลาดใจ
ในทรีอาร์มีวิหารของมิสเตอร์ฟูลด้วยหรือ?
ไม่ได้มีแค่สองศาสนจักรใหญ่หรอกหรือ?
ฟรังก้าอธิบาย
“วิหารของมิสเตอร์ฟูลส่วนใหญ่อยู่บนหมู่เกาะรอสต์ที่ทะเลโซเนีย รวมถึงบางส่วนของทวีปใต้ แต่เนื่องจากพ่อค้า กะลาสี นักล่าเงินรางวัล และนักล่าสมบัติจำนวนไม่น้อยในทะเลเลื่อมใสศรัทธามิสเตอร์ฟูล เราจึงมักพบเจอสาวกของมิสเตอร์ฟูลได้ที่ท่าเรือลาวีนในเขตจัตุรัส”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมสองศาสนจักรใหญ่ถึงยอมให้ศาสนจักรเดอะฟูลสร้างวิหารเล็กๆ ที่นั่น เพื่อให้พ่อค้าทางทะเลที่สัญจรไปมาได้สวดวิงวอน แต่ห้ามเผยแผ่ศาสนาอย่างเปิดเผย ห้ามเทศนาในสถานที่อื่นนอกจากวิหาร คนส่วนใหญ่ในกรุงทรีอาร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีวิหารแบบนั้นอยู่”
เขตจัตุรัสตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำเซอเรนโซ่ ฝั่งทิศตะวันตกของกรุงทรีอาร์ ท่าเรือลาวีนรับสินค้าจำนวนมากที่ขนส่งมาจากท่าเรือชายฝั่งหลายแห่ง มักจะมีพ่อค้าทางทะเลแวะมาเป็นครั้งคราว รวมถึงกะลาสีที่มาสัมผัสความรุ่งเรืองและความคึกคักของกรุงทรีอาร์
ถัดจากท่าเรือลาวีนไปทางตะวันตก ก็คือเมืองชาโยที่ขึ้นเชื่อเรื่องไวน์ชาโย
ลูเมี่ยนพยักหน้าแผ่วเบา
“เดี๋ยวผมจะหาเวลาไปฟังเทศนาดู”
จากนั้น เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า
“แล้วศาสนจักรเดอะฟูลกับ ‘ชุมนุมทาโรต์’ ของเรามีความสัมพันธ์กันแบบไหน?”
……………………………………………..