ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 263 ทางเลือก (จบบทที่สอง)
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 263 ทางเลือก (จบบทที่สอง)
ตอนที่ 263 ทางเลือก
ก่อนหน้านี้ลูเมี่ยนเชื่อมาตลอดว่า อีกหนึ่งตัวตนในความฝันของเขา สื่อถึงด้านมืดของจิตใจ เป็นการกลายพันธุ์ของบุคลิกภาพ ซึ่งเกิดจากการปนเปื้อนของชะตากรรม
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนมันจะมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การตีความเนื้อแท้ของ ‘เขา’ แต่การที่ ‘เขา’ กับนกฮูกตัวนั้น เอาแต่หลบซ่อนในสุสานของจอมเวทตลอดเวลา พฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ดังกล่าว ถือเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใดหรือไม่?
เป็นสัญลักษณ์แทน ‘ผู้ชักใยเบื้องหลัง’ เป็นสัญลักษณ์แทน ‘เจ้านาย’ ของกิ้งก่าประหลาด เป็นสัญลักษณ์แทน ‘จอมบงการตัวจริง’ ที่วางแผนจัดพิธีสังเวยครั้งใหญ่ในหมู่บ้านกอร์ตู?
และตอนนี้ เขาซ่อนตัวอยู่ในความมืด พยายามช่วยให้เทอร์มีโพลอสหนีออกจากผนึก?
แต่ท่าทีที่เทอร์มีโพลอสมีต่อกิ้งก่าประหลาด ดูไม่เหมือนแบบนั้นเลย…
ลูเมี่ยนเงียบไปหลายวินาที มิได้ปิดบังการคาดเดาของตนเอง เล่าลงลึกรายละเอียดให้มาดามเมจิกเชี่ยนฟัง
มาดามเมจิกเชี่ยนฟังอย่างตั้งใจ ใคร่ครวญสักพักแล้วพูดว่า
“ตอนแรกฉันคิดว่า หากเธอเข้ารับการบำบัดทางจิตอย่างเป็นขั้นตอน นึกถึงความทรงจำที่ขาดหายไปทีละชิ้นส่วน ความจริงของหมู่บ้านกอร์ตูก็จะย้อนกลับมาปรากฏในหัวเธอเอง ซึ่งคงไม่แตกต่างจากสิ่งที่ฉันเข้าใจมากนัก”
“แต่หลังจากได้ฟังเธอเล่า ฉันเริ่มสงสัยว่าบางสัญลักษณ์และการอุปมาที่ปรากฏในความฝัน อาจซ่อนความลับไว้อีกชั้น ความลับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า”
“แต่ถึงจะพูดแบบนั้น… บรรดาสัญลักษณ์และการอุปมานั่น ล้วนเป็น ‘ภาพฉาย’ ในความฝันที่เกิดจากประสบการณ์ตรงของผมเอง… เป็นไปได้ด้วยหรือที่พอผมเรียกความทรงจำกลับมาได้ ตัวเองจะยังตีความมันไม่ออก?” ลูเมี่ยนลองตั้งข้อสังเกต
มาดามเมจิกเชี่ยนยิ้มเล็กน้อย
“ไม่เสมอไป”
เมื่อเห็นลูเมี่ยนงุนงง เธอช่วยอธิบายรวบรัด
“ด้านหนึ่ง เธออาจไม่ได้ประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าวโดยตรง แต่พลังวิญญาณหรือจิตใต้สำนึกตระหนักถึงอันตรายและความผิดปกติ จึงฉายมันในความฝันในรูปแบบขององค์ประกอบเชิงสัญลักษณ์”
“อีกด้านหนึ่ง ในร่างของเธอมีเทอร์มีโพลอสถูกผนึกอยู่ โชคชะตาของเธอเชื่อมโยงกับเจ้านั่น จิตใต้สำนึกของเธออาจค้นพบความผิดปกติจากเขาได้”
ลูเมี่ยนเข้าใจความนัยของมาดามเมจิกเชี่ยน คิดครู่หนึ่งแล้วพูด
“เมื่อผมเข้ารับการบำบัดทางจิตครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว มาดามซูซี่สามารถปลุกจิตใต้สำนึกของผม แล้วถามความหมายของสัญลักษณ์ต่างๆ ได้หรือไม่?”
“วิธีนี้อันตรายมาก พอถึงตอนนั้น ต้องให้นักจิตบำบัดทั้งสองร่วมกันวินิจฉัยและตัดสินใจ” มาดามเมจิกเชี่ยนพูดด้วยท่าทีครุ่นคิด “แต่นั่นเป็นเรื่องในอนาคตอันห่างไกล ระหว่างนี้ฉันช่วยเธอหาผู้วิเศษที่เชี่ยวชาญการถอดรหัสสัญลักษณ์ให้ได้ เผื่อว่าเขาสามารถตีความได้แม่นยำโดยไม่ต้องอาศัยจิตใต้สำนึก เธอสนใจไหม?”
“สนใจครับ” ลูเมี่ยนตอบตกลงโดยไม่รีรอ
จากนั้น เด็กหนุ่มถามด้วยสีหน้าเจือกังวล
“แล้วพวกผู้ช่วยของเทอร์มีโพลอสที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ผมล่ะครับ ต้องให้ความสนใจไหม?”
มาดามเมจิกเชี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
“ในเมื่อพวกเราระแคะระคายถึงพวกเขาแล้ว ฉันไม่คิดว่าทางนั้นจะยังกล้าเสี่ยงซุ่มอยู่ใกล้เธออีก แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยจับตามองไปเรื่อยๆ”
พูดจบเธอก็ถาม
“เธออยากทำภารกิจที่ ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ มอบหมายให้จนเสร็จไหม? เมื่อสักครู่คงมีคนไม่น้อยเห็นเธอวิ่งเข้าใส่ ‘พฤกษาเงา’ ภาพดังกล่าวอาจทำให้การ์ดเนอร์·มาร์ตินเกิดความสงสัย”
“หากเธอไม่อยากเสี่ยง ก็ไปบอกเรื่องนี้กับมิสเตอร์ K เขาคงจะดีใจมากที่เธอกำจัด ‘มารพฤกษาเสื่อมทราม’ ไปได้ตนหนึ่ง รวมถึงการทำลายแผนของ ‘สมาคมเสียวซ่าน’ … หลังจากนั้นก็คงมอบหมายภารกิจใหม่มาให้ทำ”
“แต่ถ้าเธออยากลุยต่อ ฉันจะให้คนไปลบความทรงจำของพยานในที่เกิดเหตุ เอาแค่พอพร่ามัว อย่างไรเสีย ในสภาพแวดล้อมดังกล่าว การมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของเธออย่างชัดเจน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด”
ลูเมี่ยนแทบไม่ลังเลเลย
“ผมอยากลุยต่อครับ”
ตัวการ์ดเนอร์·มาร์ตินเองก็เป็น ‘นักล่า’ ลำดับที่ 6 หรือ 5 มิหนำซ้ำรอบตัวเขายังมี ‘นักล่า’ อีกเพียบ การได้ใกล้ชิดชายคนนี้ต่อไปและเข้าร่วมองค์กรที่เรียกว่า ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ย่อมมีโอกาสเข้าถึงสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของ ‘นักวางเพลิง’ ได้มากกว่า
หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน ลูเมี่ยนได้เข้าใจลึกซึ้งถึงความต่างชั้นของแต่ละลำดับ เข้าใจความน่ากลัวของผู้อยู่สูงกว่า และเข้าในสถานะของตัวเอง เด็กหนุ่มปรารถนาอย่างยิ่งที่จะยกระดับฝีมือของตน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตอนแรกที่มาถึงทรีอาร์โดยไม่ได้คิดอะไร เอาแต่ล่องลอยไปกับการไล่ตามความหวัง
มีเพียงการเสริมพลังให้ตัวเองเท่านั้น จึงจะสามารถต่อกรกับเคราะห์กรรมความอับโชค จึงจะสามารถสืบหาความจริงของโศกนาฏกรรมท่ามกลางโลกแห่งศาสตร์เร้นลับอันบ้าคลั่งนี้
มีเพียงการเสริมพลังให้ตัวเองเท่านั้น จึงจะสามารถแยกแยะได้ว่าข้อเสนอ ‘การคืนชีพ’ ที่ถูกหยิบยื่นให้ มีเจตนาร้ายแฝงอยู่หรือไม่!
มาดามเมจิกเชี่ยนพยักหน้าแผ่วเบา
สืบเนื่องจากหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ ลูเมี่ยนจึงถามแกมอยากรู้อยากเห็น
“พฤกษาเงาถูกกำจัดหรือยังครับ”
“ด้วยวิธีไหน?” มาดามเมจิกเชี่ยนเยาะหยันหนึ่งเสียง “ต่อให้สองศาสนจักรใหญ่วิงวอนให้เทพเสด็จเยือนด้วยพระองค์เองแต่ ‘พฤกษาเงา’ ก็ไม่มีวันถูกกำจัด อา… ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีหรอกนะ แต่ราคาที่ต้องจ่าย แพงเกินกว่าจะมีใครยอมจ่าย”
“ราคาแบบไหน?” ลูเมี่ยนเซ้าซี้ถาม
มาดามเมจิกเชี่ยนเดินไปแถวๆ เชิงเขาสองก้าว คล้ายกำลังเดินเล่น
“หลังจากได้รับสารอาหารและอิทธิพลมานานนับพันปี ‘พฤกษาเงา’ ก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับกรุงทรีอาร์มานานแล้ว เปรียบดังด้านมืดหรือเงามืดของเมืองหลวง หากไม่ทำลายมหานครแห่งนี้ทิ้งไปเสีย พร้อมกับสังหารทุกคนในเมือง ต่อให้เป็นเทพแท้จริง ก็ไม่อาจทำลายมันได้หมด”
“จริงอยู่ เราสามารถย้ายกรุงทรีอาร์ไปไว้ตรงอื่น อพยพประชาชนทั้งหมดออกไป แล้วรออีกสักห้าหกปีจนกระทั่ง ‘พฤกษาเงา’ ที่ขาดแคลนสารอาหารอ่อนแอลงระดับหนึ่ง แล้วจึงค่อยถอดรากถอนโคนมัน แต่ถ้าทำแบบนั้น อันตรายอย่างอื่นใต้ดินทรีอาร์ก็ปะทุขึ้นมาแทน”
“ยังมีอันตรายอื่นอีก?” ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว
ใต้ดินของทรีอาร์มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?
เด็กหนุ่มถามด้วยความงุนงง
“ทำไมไม่ทำลายมันตั้งแต่ตอนที่พฤกษาเงาเพิ่งถูกปลูกล่ะ?”
มาดามเมจิกเชี่ยนหัวเราะ
“นี่ไม่ใช่การเร่งสร้างเมืองทับ เพื่อต่อต้านอันตรายบางอย่างจากใต้ดินหรอกหรือ? เธอสงสัยไหมว่าทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นพฤกษาเงาต้นหนึ่งที่มีคนแอบปลูกขึ้นมา?”
หญิงสาวมิได้เอ่ยถึงอันตรายอื่นๆ ให้ฟัง ราวกับว่ายังไม่ถึงเวลาที่ลูเมี่ยนต้องรู้
เด็กหนุ่มฉลาดพอที่จะเข้าใจโดยปริยาย จึงปิดปากเงียบ
มาดามเมจิกเชี่ยนมองเขาแล้วหัวเราะในลำคอ
“เธอโกรธฉันไหม ที่ส่งเธอมายังทรีอาร์ จนต้องพัวพันกับเหตุการณ์อันตรายมากมาย แถมยังไม่ได้ช่วยเหลืออย่างเหมาะสม?”
“ไม่ครับ” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจเหตุผลที่มาดามเมจิกเชี่ยนถามเรื่องนี้ออกมา
ในสายตาของเด็กหนุ่ม การรับภารกิจ ทำตามคำสั่ง แล้วได้รับรางวัลตอบแทน คือสิ่งที่ยุติธรรมดีแล้ว มิหนำซ้ำตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มาดามเมจิกเชี่ยนก็คอยแนะนำผ่านจดหมายอยู่เสมอ
หากไม่นับในช่วงไม่กี่ปีหลังที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ลูเมี่ยนเคยชินกับการไม่พึ่งพาคนอื่นแล้ว โดยจะมองหาลู่ทางใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน
มาดามเมจิกเชี่ยนอมยิ้ม
“เธอคงไม่เห็น ‘สองถ้วย’ อัญเชิญไพ่อาร์คาน่าชุดใหญ่ของเธอสินะ? โชคดีที่ทางนั้นอยู่ในทรีอาร์พอดี ไม่งั้นคงไม่ง่ายและได้ผลดีขนาดนี้”
หญิงสาวเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง
“หากฉันทำให้เธอเป็นดั่งการขยายสายตา เป็นดั่งการขยายแขนขาของฉัน เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตัวจริง ไร้ซึ่งความปรารถนาส่วนตัว ฉันสามารถให้เธอสวดวิงวอนนามเต็มของฉัน มอบความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม และรับประกันความปลอดภัยได้แทบทุกสถานการณ์ แต่ในเมื่อเธอเลือกเส้นทาง ‘นักล่า’ การต่อสู้คือสารอาหารที่ขาดไม่ได้ ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าก็เช่นกัน”
“ดอกไม้ที่ปลูกในเรือนกระจกไม่มีวันเป็น ‘นักล่า’ มือฉมังได้… ‘นักล่า’ ที่เอาแต่พึ่งพาคนคุ้มกะลาหัว เอาแต่สู้ในถิ่นปลอดภัย ยากที่จะได้รับบารมีเทพ กับนักบุญยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเมื่อถึงช่วงคอขวดขึ้นมา เธอต้องชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปด้วยเวลาและการเสียสละที่มีราคาสูงมาก”
“เธออยากเป็นแบบไหน?”
ลูเมี่ยนเงียบไปสองวินาที แล้วจึงตอบ
“อยากเป็นคนที่ทำให้ไอ้พวกสารเลวนั่นต้องตัวสั่น”
คำตอบชัดเจนในตัวเองแล้ว
มาดามเมจิกเชี่ยนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“แน่นอน มันไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่สนใจเธอ ทางนี้จะยังคงตอบจดหมาย คอยให้คำแนะนำ หรือแม้กระทั่งทำตามคำขอร้อง ให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม แต่ฉันไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าตัวเองจะได้รับการคุ้มครองตลอดเวลา”
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับแผ่วเบา เป็นนัยว่าเข้าใจ
เด็กหนุ่มนึกถึงตอนที่ซูซานน่า·มาติสเร่งสวดคาถาบางอย่าง เพื่อขอความช่วยเหลือจากตัวตนที่สูงส่งกว่า เมื่อนำมาผนวกกับคำสำคัญที่มาดามเมจิกเชี่ยนเอ่ยถึงเมื่อครู่ ลูเมี่ยนก็ถามด้วยสีหน้าเหมือนกำลังใคร่ครวญ
“การสวดวิงวอนถึงพระนามเต็มของผู้ยิ่งใหญ่บางองค์ จะทำให้พระองค์หันมาจับจ้อง และมอบความช่วยเหลือตามคำวิงวอนอย่างเหมาะสม?”
“ถูกต้อง” มาดามเมจิกเชี่ยนพยักหน้ารับ “แต่นั่นคือกรณีที่พระองค์มีเมตตา เมื่อเธอไปถึงระดับหนึ่ง ฉันจะบอกนามเต็มของตัวเองให้เธอเช่นกัน อา… ตอนนี้เธอมีพระนามเต็มของมิสเตอร์ฟูลแล้ว แต่หากไม่ประกอบพิธีกรรม ลำพังการสวดภาวนา ก็คงยากที่จะเกิดการตอบสนองใด ในกรณีเลวร้ายอาจได้เผชิญผลเสีย นั่นเพราะมิสเตอร์ฟูลกำลังต่อต้านเทพบรรพกาลบางพระองค์อยู่ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับบทสรุปของเราทุกคน รวมถึงบทสรุปของโลกใบนี้ ว่าจะผ่านวันสิ้นโลกไปในลักษณะใด”
มิสเตอร์ฟูล? อีกชื่อหนึ่งขององค์ผู้ยิ่งใหญ่นามว่า ‘เดอะฟูล’ สินะ? สมแล้วที่องค์กรใช้โค้ดเนมเป็นไพ่ทาโรต์… หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าลูเมี่ยนได้ยินคำว่า ‘เดอะฟูล’ เขาจะนึกถึงไพ่ทาโรต์ที่ปรากฏในชีวิตประจำวันโดยปริยาย มิใช่ ‘เดอะฟูล’ ในพระนาม ซึ่งฟังดูเหมือนกับบทนิยามมากกว่า
มาดามเมจิกเชี่ยนไม่สานต่อหัวข้อสนทนา เพียงมองท่อนไม้ในมือลูเมี่ยนแวบหนึ่ง
“นี่เป็นของดี การโจมตีที่ปราศจากบารมีเทพจะสร้างความเสียหายกับมันไม่ได้ และเมื่อโจมตีโดนเป้าหมาย มันยังอาจกระตุ้นแรงกระหายบางอย่างกับเหยื่อ”
“ถ้าบังเอิญว่าเธอได้รับตะกอนพลังที่สอดคล้องกับมันมา ก็ลองหาช่างฝีมือระดับนักบุญช่วยผสานเข้าด้วยกัน ทำเป็นสมบัติวิเศษก็ได้”
“แต่ห้ามพกติดตัวไว้ตลอด ไม่อย่างนั้น เธอจะเริ่มควบคุมแรงกระหายของตัวเองไม่ได้ สำหรับผู้วิเศษที่ดื่มโอสถ สิ่งนี้ถือว่าอันตรายมาก”
เพิ่งพูดจบ มาดามเมจิกเชี่ยนเอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับกำลังเงี่ยฟังบางอย่าง จากนั้นบอกกับลูเมี่ยน
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
วินาทีถัดมา เบื้องหน้าลูเมี่ยนพลันปรากฏแผ่นสีต่างๆ ซ้อนทับกันหลายชั้น รวมถึงสิ่งมีชีวิตโปร่งใสจำนวนมากที่เขาบรรยายรูปร่างไม่ถูก
ผ่านไปอีกวินาที เด็กหนุ่มเห็นถนนอลเวงที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว
มาดามเมจิกเชี่ยนอันตรธานหายไปจากการมองเห็นแล้ว
ลูเมี่ยนชะงักไปทันที ก่อนจะรีบนำเสื้อผ้าและกางเกงในมือมาสวมใส่
ทันทีหลังจากนั้น เขาเห็นฟรังก้าอยู่ไม่ไกล
ทั้งสองพร้อมใจกันยิ้มออกมา
พวกเขายังไม่ทันได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกของการเป็นสหายร่วมองค์กรลับ ก็เห็นจินนาวิ่งออกจากเงาในตรอก แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวสีเทาอมน้ำเงิน
ลูเมี่ยนและฟรังก้าต่างก็ตื่นตัว รีบยกระดับการป้องกันตัวทันที
จินนาแอบบังแผลตรงสีข้าง พลางร้องด้วยความยินดี
“แม่งเอ๊ย! พวกเธอปลอดภัยจริงๆ!”
“ตัวจริงสินะ…” ฟรังก้าพึมพำประโยคหนึ่ง เดินเข้าไปหา ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เธอบาดเจ็บได้ยังไง?”
จินนากวาดตามองรอบตัวด้วยความตื่นเต้น กดเสียงต่ำแล้วพูด
“โดนยิง… หลังจากลอบสังหารฮิวจ์·อาร์ทัวส์”
“เชี่ย! แล้วสำเร็จไหม? แถมยังหนีรอดมาได้?” ฟรังก้าตกตะลึงอย่างยิ่ง
เธอรู้สึกว่าต่อให้เป็นตน ก็คงทำแบบนี้ไม่ได้แน่
แบบนี้เรียกว่าอะไร?
นักลอบสังหารตัวจริงยังไงล่ะ!
ลูเมี่ยนเห็นว่าบนถนนอลเวงมีคนผ่านไปมาอยู่บ้าง จึงขัดจังหวะคำพูดจินนา
“ไปคุยกันต่อในโรงแรมระกาทองดีกว่า จะได้เอาหัวกระสุนออกและทำแผลด้วย”
“ฉันยังมียารักษาเหลืออีกครึ่งขวด” ฟรังก้าเสริมด้วยเสียงยินดี
เธอประคองจินนา เดินไปตามเงาข้างทาง มุ่งหน้ากลับโรงแรมระกาทอง
เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย พวกเขาพบกับนักค้าข่าวอ็องโตนี·รีด
ลูเมี่ยนหัวเราะออกมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน
“นึกว่าคุณหนีไปแล้วเสียอีก”
“ผมยังสะสางธุระในเขตตลาดไม่เสร็จน่ะ” อ็องโตนี·รีดตอบกำกวม
ทั้งสี่เดินต่ออีกไม่กี่ก้าว ก็เห็นตึกห้าชั้นสีเบจนั่น
โรงแรมระกาทองเอียงกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย บนผนังมีรอยแตกไม่มากนัก มีเถาวัลย์และกิ่งไม้ที่เริ่มแห้งเฉาเกาะอยู่
เนื่องจากผู้เช่าที่เหลือยังไม่กลับมา บรรยากาศรอบๆ จึงแผ่ความเดียวดายและความตายที่ยากจะอธิบาย
…………
หลังจากเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนั้นผ่านไปได้สักระยะ
ชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งกายเรียบง่าย ถือกระเป๋าเดินทางเก่าๆ เดินตามหลังฝูงชนลงจากรถไฟไอน้ำ ออกจากชานชาลา เดินมาจนถึงถนนอลเวง
เขาเห็นตึกห้าชั้นสีเบจนั่น โดยที่ผิวนอกถูกทาทับด้วยสีแดงสว่างหลายสิบจุด
“โรงแรมระกาทอง” เขาอ่านชื่อตึกหลังดังกล่าว ลูบธนบัตรและเหรียญในกระเป๋าเสื้อ คิดว่าคงจ่ายไหว
โรงแรมระกาทองสะอาดกว่าที่เขาคิดไว้มาก แม้จะมีหลายจุดถูกปิดทับด้วยหนังสือพิมพ์เก่าหรือกระดาษสีชมพูราคาถูก แต่ก็ไม่มีตัวเรือดเดินเพ่นพ่าน ไม่มีเสมหะเหนียวน่ารังเกียจและขยะมูลฝอยนานาชนิด
หลังจ่าย 15 เฟลคินเช่าห้อง 302 แล้วชายหนุ่มผู้นี้ถือกระเป๋าเดินขึ้นบันได พลางครุ่นคิดด้วยความยินดี
“ถูกกว่าที่คิดไว้อีก… โรงแรมที่สะอาดขนาดนี้ ราคาแค่ 15 เฟลคินต่อเดือนเอง…”
หลังจากวางกระเป๋าเดินทางไว้ในห้องอันคับแคบแล้ว เขาตัดสินใจนำเงินที่เหลือไปดื่มสักแก้ว
มาถึงเมืองแห่งความสนุกทั้งที ก็ต้องทำตัวให้เหมือนอยู่ในเมืองแห่งความสนุก!
เขาเดินลงไปยังบาร์ใต้ดิน เพิ่งจะก้าวเข้าไปก็สัมผัสถึงความอึกทึกคึกคัก
ชายหนุ่มที่สวมเชิ้ตผูกหูกระต่ายคนหนึ่ง ถือแก้วเบียร์ไว้ในมือ โบกแขนที่ค่อนข้างสั้นของตน ยืนอยู่บนโต๊ะกลมตัวเล็ก สาธยายบางสิ่งให้คนรอบข้างฟังอย่างกระตือรือร้น ส่วนลูกค้าคนอื่นบ้างก็ดื่มเหล้า บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็เต้นรำ ทุกคนไม่ยอมสงบนิ่ง
ตรงเคาน์เตอร์บาร์มีลูกค้าหลายคนนั่งอยู่ และมีเครื่องกลไกประหลาดๆ วางตั้งอยู่
ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ เพิ่งพินิจท่อยางกับโหลแก้วของเครื่องนั่นสักพัก แล้วจึงถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“อันนี้คืออะไร?”
ลูกค้าหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ผมสีทองสลับดำ หันตัวมาทางเขา ตอบด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า
“ชื่อของมันคือเครื่องวัดความโง่ ใช้วัดระดับความฉลาดของคน ในทำนองเดียวกัน มันก็วัดความโง่ได้ด้วย”
(จบบทที่สอง)
……………………………………………