ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 260 หัก
ตอนที่ 260 หัก
ไม่นานนัก ลูเมี่ยน ฟรังก้า และอ็องโตนีก็เข้าใกล้พฤกษาเงา เข้าสู่ระยะลงมือของซูซานน่า
คนหนึ่งถูกเปลวไฟแดงฉานหุ้มร่าง ผิวหนังชาไปหมดแล้ว แต่เลือดเนื้อยังคงส่งความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันไม่เหลือเกลือดมวิเศษ ส่วนอีกคนขยับร่างกายคล่องแคล่วว่องไว เปลี่ยนท่าทางอยู่ตลอด คอยหาจังหวะสูดเกลือวิเศษเป็นพักๆ แล้วก็ปล่อยเสียงตาม ส่วนอีกคนใช้พลัง ‘ปลอบโยน’ ของ ‘นักจิตบำบัด’ เพื่อทำให้จิตใจและอารมณ์สงบ
บนยอดไม้ที่มองเห็นได้ไม่ชัด ห่างจากพื้นดินเพียงสี่ซ้าห้าเมตร ซูซานน่า·มาติสครางฮึ่มฮ่ำ กระจกตาสะท้อนภาพฟรังก้าที่สวมเสื้อเชิ้ตสตรีและกางเกงขายาวสีอ่อน
ฟรังก้าพลันหวาดกลัวอย่างแรงกล้า
แต่ความกลัวมิได้เกิดจากภายนอก มิได้ถูกขยายใหญ่จนผิดวิสัย แต่มาจากการที่เธอตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบัน มาจากความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด
ซูซานน่า·มาติส ผู้รวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้ประหลาด ยามนี้ไม่ควรถูกมองเป็นเพียงลำดับ 5 ทั่วไป แต่ควรปฏิบัติเหมือนลำดับ 4 ที่อ่อนแอลง โดยปราศจากร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์!
ฟรังก้าตระหนักว่าตน ลูเมี่ยน และนักค้าข่าวนั่น ต่อให้ผนึกกำลังกันก็คงถูกซูซานน่า·มาติสในสภาพนี้จัดการอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะช่วยคนอื่น อันดับแรกก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง!
แม้จะยังจามไม่หยุด แต่ฝีเท้าฟรังก้าหยุดลงแล้ว ไม่อาจข่มความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของตน
หญิงสาวดูสองจิตสองใจ อยากรีบหนีไป แต่อีกใจก็ไม่อยากทิ้งพวกพ้อง
นัยน์ตาสีมรกตของซูซานน่า·มาติสหันไปจ้องอ็องโตนี·รีดบ้าง
นักค้าข่าวที่อารมณ์ยังสงบนิ่งอยู่ กลับสะดุ้งเฮือกกะทันหัน สัมผัสถึงความกลัวที่คุ้นเคยล้นทะลักจากก้นบึ้งหัวใจ
‘ผู้ชม’ ที่มีจิตใจบกพร่องสถานหนักนี่จัดการได้ง่ายจริงๆ … อ็องโตนี·รีดเข้าใจสถานการณ์ตัวเองเป็นอย่างดี แต่ไม่มีพลังที่จะขัดขืน
เขาถอนหายใจห่อเหี่ยว หลังจาก ‘การปลอบโยน’ ไร้ผล ก็ทำได้เพียงหลบมุมกำแพงใกล้ๆ ในสภาพตัวสั่นงก เอามือปิดหน้าผาก ทั้งกายใจถูกความกลัวครอบงำ
ซูซานน่า·มาติสจัดการเพื่อนพวกพ้องสองคนของลูเมี่ยนได้ในพริบตา จนไม่สามารถมอบความช่วยเหลือในเวลาอันสั้น
คราวนี้เธอหันเหสายตาไปหาลูเมี่ยน ซึ่งอยู่ห่างจากพฤกษาเงาไม่ถึงสิบเมตร
ในฐานะวิญญาณมาร ความคิดของเธอสุดโต่ง เปี่ยมไปด้วยความยึดติดที่ยากจะเอาชนะ เธอยังต้องการจับเครื่องเซ่นนี้ไว้
แม้พิธีกรรมคราวนี้จะสร้างความอึกทึกครึกโครมใหญ่หลวง มีนักบุญหรือกระทั่งเทวทูตหลายองค์รีบมาขัดขวาง ทำให้โอกาสสำเร็จต่ำมาก แต่พฤกษาเงาก็ไม่มีวันถูกทำลาย กระทั่งความเสียหายที่ได้รับก็ไม่มากมาย เว้นแต่สุริยันเจิดจรัสหรือเทพจักรกลไอน้ำจะยอมให้ผู้คนนับล้านที่อาศัยอยู่ในกรุงทรีอาร์ถูกฝังไปพร้อมกัน ปล่อยให้ปัญหาที่รุนแรงยิ่งกว่า ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ดินถูกเปิดเผย ดังนั้นแล้ว หนนี้ไม่สำเร็จก็ยังมีคราวหน้า คราวหน้าไม่สำเร็จก็ยังมีครั้งถัดไป
ตราบใดที่เครื่องเซ่นซึ่งผนึกเทวทูตยังอยู่ในการครอบครองของตน จะทดลองอีกเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น!
วิญญาณมารซูซานน่า·มาติสจึงยังอยากจับลูเมี่ยนให้ได้
เพียงพริบตา เด็กหนุ่มชะลอฝีเท้าลงเช่นกัน ในหัวเต็มไปด้วยความคิดประเภทหนึ่ง:
“เราจะตายไม่ได้ ตายไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเราตาย โอลัวร์ก็จะหมดโอกาสคืนชีพ…”
“เราต้องรอด ต้องสืบความจริงเบื้องหลังหายนะของหมู่บ้านกอร์ตู ค้นหาเหตุผลที่โอลัวร์นับถือชะตากรรม…”
“คนพวกนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา ถึงจะตายไปก็ไม่สำคัญ ไม่ใช่ว่าโลกนี้มีคนตายทุกวันอยู่แล้วหรือ?”
“…”
ลูเมี่ยนยิ่งวิ่งก็ยิ่งช้าลง สีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา
เปลวไฟแดงฉานยังคงลุกโชนบนผิวกาย ยังคอยมอบความเจ็บปวด ช่วยต่อต้านแรงกระหาย รักษาความตื่นรู้ไว้พอประมาณ
แต่ยิ่งคนเรารู้สึกตัว ก็ยิ่งอยากมีชีวิตรอด
คราวนี้อิทธิพลด้านแรงกระหายของซูซานน่า ในที่สุดก็ไม่ได้ล้มเหลวอีกต่อไป
‘มารพฤกษาเสื่อมทราม’ ปล่อยเถาวัลย์ กิ่งไม้ และลำต้นมากมายลงมาจากพฤกษาเงา ขังลูเมี่ยนไว้ในวงกลมรัศมีไม่ถึงสิบเมตร เปลี่ยนบริเวณดังกล่าวให้กลายเป็น ‘ป่าดงดิบ’ ที่มีพืชพรรณหนาแน่นจนน่าตกใจ
รากไม้ เถาวัลย์ และกิ่งไม้เหล่านั้น ผลิดอกไม้สีซีดชุ่มฉ่ำดอกแล้วดอกเล่า ทุกดอกพ่นแก๊สยาสลบไร้กลิ่น หวังจะเปลี่ยนมิติแคบๆ ให้กลายเป็นดินแดนแห่งการหลับใหล
ฉากดังกล่าวทำให้ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของลูเมี่ยน รวมถึงเจตจำนงอื่น กลายเป็นหนึ่งเดียวในพริบตา:
ลูเมี่ยนออกวิ่งอีกครั้ง ด้านหลังมีอีกาสีแดงกึ่งมายาสว่างขึ้นทีละตัว ทุกตัวโบยบินโฉบเฉี่ยวเข้าหาซูซานน่า·มาติสที่อยู่เหนือพื้นดินเพียงสี่เมตร
เด็กหนุ่มมิได้คิดว่าการทำเช่นนี้จะสร้างอันตรายแก่ ‘มารพฤกษาเสื่อมทราม’ ตรงหน้าได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ซูซานน่า·มาติสได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับพฤกษาเงา มีพลังป้องกันและพลังชีวิตกล้าแกร่งอย่างยิ่ง ซ้ำยังไม่ใช่พวกไร้สมองจนไม่รู้จักหลบหลีกหรือป้องกันตัวด้วยพลังวิเศษ
เป้าหมายของเขามีเพียงหยุดการ ‘มอง’ ของซูซานน่า·มาติสไว้ชั่วขณะ เพื่อประวิงเวลามิให้อีกฝ่ายกระตุ้นแรงกระหายอื่นเพิ่มเข้ามา
หนนี้ฝูงอีกาแดงฉานสามารถเข้าใกล้เรือนยอดไม้อันพร่ามัวได้แล้ว โดยการทะลวงผ่านแนวป้องกันที่อ่อนแอลง พุ่งหวือไปหาร่างของซูซานน่า·มาติส
เถาวัลย์และกิ่งไม้สีเขียวอมน้ำตาลหนาหลายชั้น เลื้อยพันรอบตัวซูซานน่า·มาติสในทันที ห่อหุ้มเธอดุจดังลูกบอลไม้ เหลือไว้เพียงดวงตาสีมรกตคู่หนึ่งสำหรับใช้มองโลกภายนอก
เสียงอึกทึกดังตามมา เถาวัลย์และกิ่งไม้เกิดระเบิดอย่างต่อเนื่อง โดยมีกิ่งใหม่งอกมาทดแทนช่องว่างไม่ขาดสาย
ขณะเดียวกัน สำหรับลูเมี่ยน ระยะทางไม่ถึงสิบเมตรคือเวลาเพียงชั่วกะพริบตา
แก๊สสลบนับไม่ถ้วนรุกล้ำเข้ามาจนถึงด้านข้างลำตัวแล้ว ส่วนใหญ่ถูกเผาจนระเหิดด้วยเปลวไฟสีแดงรอบกาย ซ้ำยังถูกกลบโดยกลิ่นเนื้อไหม้ มีเพียงส่วนน้อยที่สามารถแทรกซึมเข้าจมูกลูเมี่ยน
ฤทธิ์ของมันทำให้ความคิดตื้อตันไปบ้าง มึนหัวไปบ้าง แต่ยังไม่ส่งผลกับความเคลื่อนไหว
ลูเมี่ยนอาศัยแรงเฉื่อยจากการวิ่ง สองเท้าสลับกันย่ำลงบนผิวลำต้นสีเขียวอมน้ำตาล อาศัยหลักการดังกล่าว เด็กหนุ่มวิ่งไต่ในแนวตั้งได้ไกลสองสามเมตร จากนั้นก็กระโดดลอยสูง มองต่ำใส่ซูซานน่า·มาติสด้วยท่าทางดูแคลน
ด้านหลังของเด็กหนุ่ม ‘ลูกไฟยักษ์’ ถูกบีบอัดอย่างต่อเนื่อง กระจกตาสะท้อนภาพลูกบอลไม้สีเขียวอมน้ำตาล สะท้อนนัยน์ตาสีมรกตคู่งามของซูซานน่า·มาติส
ท่าทางของเขาดูเหมือนคนเตรียมจะพุ่งใส่ยอดไม้พร้อมกับลูกไฟยักษ์ กระแทกใส่โดยตรงทั้งคนทั้งลูกไฟ เพื่อทำลายก้อนกลมพืชพันธุ์สีเขียวอมน้ำตาลนั่นให้แตกออก
ท่าทางและการตัดสินใจของเขา เต็มไปด้วยองค์ประกอบของ ‘การเล่นใหญ่’ อย่างชัดเจน เป็นผลจากแรงกระหาย ‘อยากแสดงออก’ ในตัวลูเมี่ยน ซึ่งซูซานน่า·มาติสแอบกระตุ้นไว้อย่างแนบเนียน กระทั่งความเจ็บปวดก็ข่มได้ไม่มากนัก
ซูซานน่า·มาติสคลี่ยิ้มทันที พร้อมกับสั่งให้หนามแหลมจำนวนมากแทงออกจากผิวลูกบอลพืชพรรณที่หุ้มร่างของตน ดุจดังตัวเม่นที่กางหนามทั้งหมดในคราวเดียว รอให้ศัตรูกระโดดใส่แล้วเป็นฝ่ายเจ็บกลับไปเอง!
หากทำให้ลูเมี่ยนบาดเจ็บได้ เถาวัลย์กับกิ่งไม้ที่ประกอบกันเป็นก้อนกลมก็จะคลายตัวออกออกไปจับเหยื่อ
ขณะลูกไฟยักษ์ขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ร่างของลูเมี่ยนก็หล่นลงตามแรงโน้มถ่วง
แต่เด็กหนุ่มมิได้พุ่งชนซูซานน่า·มาติส เพียงจ้องเธอในระดับสายตาเดียวกัน ด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่
เขายังไม่ลงมือโจมตี ยังคงปล่อยตัวเองให้หล่นลงอย่างต่อเนื่อง จนแววตาซูซานน่า·มาติสที่เห็นเหยื่อไม่เข้ามาติดกับ เปี่ยมล้นไปด้วยความฉงน
เมื่อตกลงไปต่ำกว่าพุ่มยอดไม้ ลูเมี่ยนจึงเปลี่ยนอิริยาบถร่างกาย
ลูกไฟยักษ์ที่ยังคงบีบอัดไม่เสร็จเกิดระเบิดเสียงครืนครั่น ดันแผ่นหลังของเด็กหนุ่มกระแทกใส่ลำต้นพฤกษาเงาดุจดังกระสุนปืน
เขายกมือซ้ายที่ถือปรอทเสื่อมทรามซึ่งมีรอยร้าวเต็มไปหมด
ลูเมี่ยนไม่เคยเล็งโจมตีซูซานน่า·มาติส ซึ่งเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแถมยังมีพรในลำดับ 5
การโจมตีใส่เธอมีโอกาสสูงมากที่จะเปล่าประโยชน์ หรือกลับกัน อาจนำพาตัวเองเข้าสู่วิกฤติอันใหญ่หลวงได้
สิ่งที่เด็กหนุ่มเล็งมาตั้งแต่แรกคือ การแทงใส่พฤกษาเงาหนึ่งมีด ด้วยปลายแหลมของปรอทเสื่อมทราม!
ในสถานการณ์ที่ปราศจากอำนาจสนับสนุนของเทอร์มีโพลอส ปรอทเสื่อมทรามไม่มีทางแลกเปลี่ยนโชคชะตากับต้นไม้ยักษ์สีเขียวน้ำตาลได้แน่ แต่ลูเมี่ยนมั่นใจว่าตอนนี้ซูซานน่า·มาติสได้หลอมรวมเป็นหนึ่งกับพฤกษาเงาแล้ว
อย่าลืมว่า ‘มารพฤกษาเสื่อมทราม’ แค่ชื่อก็บอกแล้วว่า ต้องมีต้นไม้ก่อน จึงจะมีมาร
นี่ไม่เพียงเป็นข้อสรุปจากการสังเกตของลูเมี่ยน แต่ยังมาจากการคาดเดาของฟรังก้า จากคำอธิบายและท่าทีของซูซานน่า·มาติสเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากปรอทเสื่อมทรามแทงใส่พฤกษาเงา ภายใต้สภาวะที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนโชคชะตากันได้ ย่อมมีโอกาสสูงที่เป้าการแลกเปลี่ยนจะกลายเป็นซูซานน่า·มาติส ซึ่งหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน!
ท่าทีของลูเมี่ยนเมื่อสักครู่ ทำไปเพื่อให้ซูซานน่า·มาติสตายใจ หลีกเลี่ยงมิให้เธอขัดขวางการเข้าใกล้พฤกษาเงา รวมถึงเลี่ยงมิให้ถูกขัดขวางการใช้ ‘ลูกไฟยักษ์’ เป็นแรงขับเคลื่อน
แรงกระหายอยากแสดงออกที่ซูซานน่า·มาติสปลุกขึ้นมา ยิ่งทำให้การแสดงของลูเมี่ยนดูน่าเชื่อถือ
บึ้มมม! ลูเมี่ยนพร้อมกับปรอทเสื่อมทรามชนเข้ากับลำต้นสีเขียวอมน้ำตาลจนกระดูกซี่โครงหัก ข้อมือแตก เนื้อหนังกระจุยกระจาย แต่ก็ช่วยให้มีดสั้นสีเงินดำทะลวงเปลือกไม้ชั้นแรก ปักเข้าไปในชั้นที่สองสำเร็จ
และไม่ผิดจากที่คาด เด็กหนุ่มมิได้ ‘เห็น’ ฉากคลื่นยักษ์ที่แบกรับประวัติศาสตร์อันหนักอึ้ง แต่สัมผัสถึงสายน้ำมายาสีปรอทที่เป็นของซูซานน่า·มาติส
วินาทีถัดมา เขาถูกปลุกให้เกิดแรงกระหายอีกครั้ง พร้อมกับหอกไม้จำนวนมากที่พุ่งลงมาจากพุ่มยอดไม้อันพร่าเลือน
ถือโอกาสนี้ ลูเมี่ยนปล่อยมือซ้ายที่จับมีดสีเงินดำออก ฝากฝังให้ปรอทเสื่อมทรามจัดการส่วนที่เหลือ
เด็กหนุ่มดิ่งวูบลงพื้นด้วยความเร่ง อาศัยความเจ็บปวดดึงสติกลับมาเล็กน้อย ตะกายกลิ้งหลบหอกไม้ที่กระหน่ำแทงลงบนพื้นดิน
ซูซานน่า·มาติสเพิ่งเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของลูเมี่ยน จึงเกิดความโกรธ เสียใจ และหวาดหวั่น
ผลลัพธ์ที่เกิดจากการแทงมีดสีเงินดำคราวก่อน ยังทำให้เธอประทับใจไม่รู้ลืม
อย่างไรก็ดี ซูซานน่าแทบมิได้กังวลกับความปลอดภัยของตน เพราะเธอหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพฤกษาเงาแล้ว ต่อให้เผชิญหน้ากับนักบุญ ก็คงยากที่จะถูกสังหาร เพียงแต่หวั่นเกรงว่ามีดเล่มนั้นอาจทำให้เธอบาดเจ็บสาหัส จนเสียโอกาสในการจับเหยื่อไปอีกครั้ง
ประจวบเหมาะพอดีกัน ปรอทเสื่อมทรามแตกละเอียดเป็นเศษโลหะสีเงินดำ ร่วงกราวลงพื้นอย่างเงียบงัน
มันอยู่ในสภาพร่อแร่มานานแล้ว บัดนี้ไม่อาจค้ำจุนตัวเองได้อีก
แต่การที่มันถูกทำลาย ช่วยให้กระบวนการ ‘แลกเปลี่ยนโชคชะตา’ ที่ควรกินเวลาสองสามนาที จบลงก่อนกำหนด เนื่องจากมันไม่ได้งัดโชคชะตาใดออกจากซูซานน่า·มาติส แต่เพียงมอบโชคชะตาภายในใบมีดให้อีกฝ่าย
ตามปกติแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะปรอทเสื่อมทรามเคร่งครัดในกฎมาก แต่เนื่องจากใบมีดแหลกละเอียดจนไม่เหลือเค้าเดิม มันจึงไม่มีอำนาจในการยับยั้ง
ซูซานน่า·มาติสชะงักงันในทันที เปลวไฟสีออกม่วงลุกโชนบนผิวกาย
ปรอทเสื่อมทรามมอบโชคชะตา ‘หนึ่งในรากไม้ของพฤกษาเงาถูกเปลวไฟลึกลับใต้ดินเผาขาด’ แก่เธอ และในเมื่อเธอเทียบเท่ากับ ‘หนึ่งในลำต้น’ ของพฤกษาเงา ก็ย่อมหนีโชคชะตานี้ไม่พ้น!
เสี้ยววินาทีถัดมา เปลวไฟสีออกม่วงก็ล่องหนหายไป ซูซานน่า·มาติสกลายเป็นเถ้าถ่านไปพร้อมกับสายตาไม่อยากเชื่อและไม่อยากยอมรับ
หนึ่งในลำต้นลุกไหม้ทันที แล้วจึงหักโค่น ร่วงหล่นสู่เบื้องล่าง
………………………………………………..