ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 251 ต้นไม้ยักษ์
ตอนที่ 251 ต้นไม้ยักษ์
พี่ชายของจินนาเสียสติไปแล้ว? ความโกรธระลอกใหม่พุ่งทะลักภายในใจลูเมี่ยน
นี่ไม่ใช่ความโกรธที่มีต่ออีกฝ่าย โดยมองว่าเขามีสภาพจิตใจอ่อนแอเกินไป ถึงกับเสียสติไปแบบนี้ แต่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเย้ยหยันของโชคชะตาอีกครั้ง
ถึงแม้เมื่อวานจะได้เห็นไปแล้วว่า ยูเลียนรู้สึกผิดต่อการตายของเอโลดีมาก จนเกิดภาวะปิดกั้นตัวเองในระดับหนึ่ง แต่นั่นก็ยังห่างไกลจากการเสียสติ ต่อให้ภายหลังจะเกิดปัญหาทางจิต ก็จะเป็นแบบระยะยาวมากกว่า ไม่น่าจะทรุดโทรมลงในทันที
เว้นเสียแต่ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นอีก จนยูเลียนถูกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก!
ไอ้โชคชะตาเวรตะไล!
ฟรังก้าเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
เมื่อวานเธอเตือนจินนาแล้ว ให้คอยระวังสภาพจิตใจและอารมณ์ของพี่ชาย แต่คิดไม่ถึงว่ายูเลียนจะเสียสติในชั่วข้ามคืน
ตามความเข้าใจของฟรังก้า ยูเลียนเป็นชายหนุ่มที่ผ่านความทุกข์ยากมาแล้ว ซ้ำยังมีสุขภาพแข็งแรง ไม่น่าจะถูกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ง่ายๆ จนก่อให้เกิดแนวโน้มอันตราย ดังนั้น แม้ยูเลียนจะปิดกั้นตัวเองไปบ้าง ปล่อยตัวปล่อยใจไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับทรุดลงในชั่วข้ามคืน
จินนาเคยบอกว่า ยูเลียนมีนิสัยชอบทำอะไรสุดโต่ง แต่นั่นก็เพื่อครอบครัว ภายใต้สถานการณ์ที่น้องสาวยังมีชีวิตอยู่ ยังต้องแบกรับภาระหนี้สิน ต้องไปเป็นนักร้องใต้ดินที่มีโอกาสตกต่ำได้ง่าย ยูเลียนควรจะฝืนตัวเองเป็นสองเท่า ตั้งใจทำงาน ช่วยแบ่งเบาหนี้สินจนกว่าจะใช้หมด เมื่อถึงตอนนั้น หากปัญหาทางจิตของเขายังไม่ได้รับการแก้ไข อาการก็อาจจะทรุด หรือฆ่าตัวตายโดยไม่มีใครรู้
สิ่งนี้ทำให้ฟรังก้าสงสัยว่า ยูเลียนได้รับการกระตุ้นใหม่อีกครั้งเมื่อคืน
ในทำนองเดียวกัน เธอยังคาใจเรื่องที่แม่จินนาเลือกฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นจินนา
หญิงสาวเข้าใจหัวอก เข้าใจการตัดสินใจของเอโลดี เพียงแต่รู้สึกว่าการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นกะทันหันและง่ายดายเกินไป ราวกับว่าอารมณ์ได้รับอิทธิพลจากบางสิ่ง จนทำให้หุนหันพลันแล่นเกินเหตุ
ก่อนจะข้ามมายังโลกนี้ ฟรังก้าเคยอ่านรายงานที่คล้ายคลึงกันมาไม่น้อย จึงเข้าใจถึงความทุกข์ของคนจน เข้าใจความรู้สึกผิดที่ทำให้ครอบครัวต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่ เข้าใจความหวาดกลัวที่อาจกลับไปทำงานไม่ได้ เมื่อผนวกเข้ากับความรักอันบริสุทธิ์และการเสียสละ คนที่มองโลกในแง่ดีมาตลอดก็อาจเลือกจบชีวิตตัวเองเพื่อส่วนรวมได้เช่นกัน
แต่ก่อนจะปลิดชีพตัวเอง ส่วนใหญ่มักต้องใช้เวลาลังเลอยู่สักพัก อย่างไรเสีย ทุกคนล้วนแล้วแต่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ล้วนเป็นห่วงความรู้สึกคนใกล้ตัว มิใช่ว่าไม่มีโอกาสหุนหันพลันแล่นฆ่าตัวตายภายในวันเดียวกัน เพียงแต่โอกาสมันน้อยมาก
ฟรังก้าคาดเดาเบื้องต้นว่า มีความเป็นไปได้อยู่สองทาง หนึ่ง สภาพร่างกายที่ย่ำแย่ส่งผลต่อจิตใจของแม่จินนา หรือสอง การระเบิดโรงงานเคมีของเลขานุการโรแนกับพรรคพวกอาจหวังผลบางอย่าง หนึ่งในนั้นอาจเป็นความผันผวนทางอารมณ์อย่างรุนแรงเป็นวงกว้าง
หรือว่ายูเลียนก็ด้วย? ฟรังก้าครุ่นคิด ก่อนจะหันสายตาไปยังจินนาที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเดินขณะผ่านประตูห้อง 207
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ยูเลียนถูกไล่ออกจากงาน” จินนากล่าวด้วยสีหน้าค่อนข้างเคียดแค้น “แค่เพราะเขาไม่ได้ไปโรงงานช่วงบ่ายของเมื่อวาน… แต่ใครกันที่แม่เสียชีวิตแล้วจะมีกะจิตกะใจไปทำงาน? หลังออกจากโรงพยาบาล เขาก็รีบไปหาอาจารย์ทันที เพื่อขอลางาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือจดหมายไล่ออก ทั้งที่เขาฝึกงานอยู่ที่นั่นมาหนึ่งปีเต็มแล้ว!”
“บัดซบ!” ฟรังก้าสบถ “หักเงินไม่ได้หรือไง? พวกมันทุกคนเป็นเด็กกำพร้า ที่บ้านไม่เคยมีใครตายเลยหรือไง?”
“พวกเขาบอกว่าต้องลาล่วงหน้า ไม่อนุญาตให้ลาทีหลัง” จินนาเช็ดน้ำตารอบดวงตาอย่างไม่ใส่ใจ “เมื่อเช้ายูเลียนใจแตกสลายโดยสิ้นเชิง ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็ก เอาแต่พร่ำเพ้อถึงความรู้สึกผิดและไม่อยากตกงาน ฉันรอจนกระทั่งเขาร้องไห้จนเหนื่อย ผล็อยหลับไปเอง จึงได้รีบมาหาพวกคุณ ทีแรกแวะไปถนนเสื้อนอกขาวก่อน แต่ไม่เห็นใคร ก็เลยรีบวิ่งมาที่นี่”
เธอพูดจ้อไปจ้อมา เหมือนว่ามีอารมณ์สะสมในใจมากเกินไปจนอยากระบายออก
หลังจากฟังคำพูดจินนาจบ ฟรังก้าถอนหายใจเล็กน้อย
ฟังดูแล้วก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก เหมือนเป็นการแตกสลายเพราะความเครียดมากกว่า
“เชื่อฉันสิ ‘นักจิตบำบัด’ ตัวจริงสามารถรักษาพี่ชายของเธอจนหายดีเป็นปลิดทิ้งได้ ฉันจะไปนัดหมายให้เดี๋ยวนี้เลย!”
ขณะพูด ฟรังก้าก็หมุนตัวเดินไปทางบันได
ความโกรธในใจลูเมี่ยนยิ่งลุกโชนมากขึ้นทุกที
รายละเอียดที่ว่าลืมขอลางาน ขอลาย้อนหลังในวันเดียวกันแต่กลับถูกไล่ออก ก่อให้เกิดการกระตุ้นระลอกใหม่จนยูเลียนทนไม่ไหว กลายเป็นคนบ้า ชวนให้ลูเมี่ยนนึกถึง ‘ความบังเอิญ’
ไอ้สารเลวเทอร์มีโพลอส!
ไอ้สารเลวชะตากรรม!
ลูเมี่ยนหันไปพูดกับจินนาทันที
“เราไปเยี่ยมเจ้าของโรงงานนั่นกัน รวมถึงอาจารย์ของพี่ชายเธอด้วย!”
จินนากัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะพูด
“ได้”
ลูเมี่ยนเดินผ่านเธอไป เร่งฝีเท้าตามฟรังก้าไปที่ปากบันได นัยน์ตาสีน้ำเงินเผยให้เห็นเปลวเพลิงโชติช่วงสองกลุ่มที่เผาไหม้อยู่ภายใน
พอดีกับตอนนั้นเอง คำพูดของมาดามซูซี่ ‘นักจิตบำบัด’ ผุดขึ้นมาในหัวเด็กหนุ่ม
อย่าลืมว่าอารมณ์จะต้องไม่รุนแรงเกินไป หากเกิดปฏิกิริยาเช่นนั้น ให้รีบผ่อนคลายอารมณ์ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ …
ลูเมี่ยนเริ่มหายใจจังหวะช้า พลางเกิดความระแวดระวังขึ้นมา:
การได้ฟังเรื่องพี่ชายจินนากลายเป็นบ้า ได้เห็นคนจนถูกโชคชะตาเล่นตลก เขาควรจะโกรธ ควรจะต่อต้าน แต่ก็ไม่ควรถึงขั้นเดือดดาลจนนอตหลุดแบบนี้!
แทบจะในเวลาเดียวกัน ด้านหลังของลูเมี่ยน สีหน้าเคียดแค้นของจินนาเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย พร้อมกับชักมีดสั้นสีน้ำตาลอมเขียวออกจากที่ใดสักแห่ง
ดูเหมือนจะไม่ใช่อาวุธโลหะ คล้ายกับเหลาจากกิ่งไม้ต้นสักต้นมากกว่า บนผิวอาวุธที่เป็นเปลือกไม้ ลวดลายประหลาดที่แตกต่างกันถูกเรียงร้อยในลักษณะที่ชวนให้วิงเวียน
ฉับพลันนั้น มีดสั้นของจินนาแทงเข้าที่หลังลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มที่ตื่นตัวอยู่ก่อนแล้ว รีบหมุนร่างอย่างคล่องแคล่ว มีดนั่นจึงมิอาจปักใส่จุดสำคัญ ทำได้เพียงฝังอยู่ระหว่างไหล่และแผ่นหลัง
จินนากระโดดถอยหลังคล่องแคล่ว เลือดจากบาดแผลไหลทะลักออกมา แดงฉานดุจดังเปลวไฟ
บนมีดสั้นสีน้ำตาลอมเขียวที่ทำจากไม้ เปลือกไม้ทั้งหมดราวกับได้รับชีวิต รีบดูดซับเลือดของลูเมี่ยนที่เปรอะเปื้อน
ขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อใบหน้าของจินนาก็เปลี่ยนไปด้วย ลูเมี่ยนและฟรังก้าที่หันกลับมามอง ก็พลันเกิดความประหลาดใจ
ชาร์ล็อตต์·คัลวิโน!
ชาร์ล็อตต์·คัลวิโน นางเอกจากกรงพิราบเก่า!
ร่างของชาร์ล็อตต์คล้ายกับกลืนหายไปในสภาพแวดล้อม สามารถหลบลูกไฟสีแดงฉานที่ลูเมี่ยนขว้างใส่ได้ไม่ยากเย็น
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ประตูห้อง 207 พังทลาย ‘นักแสดง’ รายนี้หัวเราะแผ่วเบา
“จมูกไวจังเลยนะ พลาดโอกาสสังหารเสียได้”
“แต่ช่างเถอะ เราต้องการแค่เลือดของคุณนิดหน่อยเท่านั้น”
…………
ณ อาคารสีดินเหลืองบนถนนใหญ่ตลาด ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานสส.
จินนาเดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงด้วยความงุนงง แลเห็นขนมหวานชั้นเลิศ อาหารที่ปรุงสุกแล้ว และแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากสีสันวางเรียงกันบนโต๊ะยาวหลายตัว
มุมห้องจัดเลี้ยงมีวงดนตรีขนาดเล็กบรรเลงทำนองเบาสบายที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจ โคมระย้าคริสตัลกลางอากาศช่วยเสริมแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา
ผู้คนที่สวมเสื้อแจ็กเกตสีน้ำตาล เสื้อลินินสีฟาง ชุดกระโปรงยาวสีเทาขาว และเสื้อผ้าที่พบเห็นได้ทั่วไปในเขตตลาด กระจายตัวตามจุดต่างๆ อย่างไม่เป็นระเบียบ ดูขัดแย้งกับโถงจัดงานเลี้ยงลักษณะนี้
บางคนยืนตรงมุมห้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บางคนมองสิ่งของมีค่าเหล่านั้นอย่างเคียดแค้น บางคนกินอย่างเหม่อลอย บางคนดื่มแชมเปญอย่างตื่นเต้น และกระตือรือร้นอย่างประหลาด พลางเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงที่เป็นอภิสิทธิ์ของชนชั้นสูง
จินนาถอยเข้ามุมห้องตามสัญชาตญาณ ถอยเข้ามุมมืดที่มีแสงน้อยกว่า เหม่อมองทุกสิ่งอย่างไร้อารมณ์
ภายในห้องทำงานสส. บนชั้นสี่
ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ เจ้าของขมับหงอกประปรายและจมูกค่อนข้างใหญ่ สวมสูทหางนกสีดำ ผูกผ้าพันคอสีน้ำเงินเข้ม ยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองทิวทัศน์ของเขตตลาด
เขตที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงและเก่าแก่นี้ เปรียบเสมือนอาณาจักรของเขา
“ท่านสส. ครับ เหตุใดถึงจัดงานเลี้ยงปลอบขวัญ และเชิญพวกสามัญชนนั่นมาเข้าร่วมล่ะ?” โรแนผู้สวมแว่นทอง ผมหวีเรียบไปด้านหลัง ถามด้วยความฉงน
ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ยิ้มมุมปาก
“นี่เป็นหน้าที่ของสส. …แม้ผมจะมีตัวตนอื่น แต่อะไรที่ควรทำก็ต้องทำ”
“แล้วอีกอย่าง การให้กำลังใจ การให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าคนที่กำลังเศร้าโศก จะทำให้พวกเขาจำขึ้นใจ ต่อไปภายภาคหน้า พวกเขาอาจกลายเป็นผู้ติดตามของผม เมื่อถึงตอนนั้น มันก็ยิ่งง่ายที่จะเปลี่ยนความเชื่อพวกเขา”
คาแซนดราผมแดงได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะเสียงเบา
และคนเหล่านั้นจะไม่มีวันได้ทราบว่า ผู้ที่นำพาหายนะมาสู่พวกเขา ทำให้ทุกคนต้องทุกข์ทรมานและสิ้นหวัง ก็ไม่ใช่ใครนอกจากท่านสส.
“พวกเขาจะเกิดความซาบซึ้งหลังจากถูกดูแลดุจดังคนสำคัญ และพอใจกับสิ่งที่คุณรับปาก”
เลขานุการโรแนพยักหน้ารับ พลางพูดเสริมพร้อมรอยยิ้ม
ในสายตาพวกเขา ท่านสส. เป็นบุคคลสำคัญที่ต้องเงยหน้ามองเท่านั้นจึงจะเห็น ไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าชวนคุย ยิ่งไม่กล้าสงสัย โกรธแค้น หรือเกลียดชังเลยล่ะ
“หากไม่มีคนปลุกระดม พวกเขาก็จะไม่กล้าลุกขึ้นต่อต้านไปตลอดกาล”
ฮิวจ์·อาร์ทัวส์หัวเราะในลำคอ
“ถึงต้องแบ่งแยกพวกเขา ทำให้พวกเขาเกลียดชังกันเองยังไงล่ะ”
พูดถึงตรงนี้ ฮิวจ์·อาร์ทัวส์มองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแสงแดดสดใส พึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง
“พวกมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายน่าจะเริ่มลงมือแล้วกระมัง…”
…………
ณ ถนนอลเวง หน้าโรงแรมระกาทอง
พื้นดินแตกออกทันที ตรงกลางยุบตัวลง พ่อค้าแม่ขายหลายคนหลบไม่ทัน ตกลงไป เสียงกรีดร้องดังขึ้นเพียงวินาทีเดียวก็เงียบลงกะทันหัน
ต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลอมเขียวโผล่พรวดจากใต้ดิน แตกกิ่งก้านสาขามากมายไปรอบๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
พวกมันแผ่ออกไปไกลหลายบล็อกอาคาร คลุมโรงแรมระกาทองไว้หลายชั้น
คู่รักที่หนีตามกันมาเริ่มทำกิจกรรมโปรดกันอีกครั้ง พลางด่าทอกันไปมา นักค้าข่าวอ็องโตนี·รีดหลบอยู่ใต้โต๊ะไม้อีกครั้ง ตัวสั่นเทิ้ม ปาวาร์·นีซองต์เถ้าแก่ร้านเหล้าใต้ดินหยิบกระดานวาดรูปขึ้นมา ดื่มสุราจนเมามาย พลางวาดลวดลายในใจด้วยใบหน้าที่ฉายแววกังวล…
ต้นไม้ยักษ์สีน้ำตาลอมเขียวยังคงงอกเงยโดยไม่มีสัญญาณว่าจะหยุด
…………………………………………………
.