ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 250 เลี้ยงอาหารปลอบขวัญ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 250 เลี้ยงอาหารปลอบขวัญ
ตอนที่ 250 เลี้ยงอาหารปลอบขวัญ
เสียงร่ำไห้และโหยหวนของยูเลียน ดังก้องไปทั่วห้องที่มีดวงจันทร์เป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงหนึ่งเดียว
จินนายืนนิ่งอยู่หน้าประตู ไม่กล้าย่างเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
เธอกลัวว่าหากเดินเข้าไป จะพบว่านี่มิใช่ฝันร้าย แต่เป็นความจริง
ผ่านไปสักพัก จินนาหลับตาลงแล้วสูดหายใจ ก่อนจะฝืนเข้าไปในห้องที่เป็นทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องรับประทานอาหารของยูเลียน
หญิงสาวย่อตัวลงข้างพี่ชาย มิได้ห้ามอีกฝ่ายร้องไห้ฟูมฟาย มิได้แตะต้องตัวเขาที่ดูตื่นตระหนก เพียงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เราเหลือหนี้ไม่มากแล้ว ถึงจะเสียงานตอนนี้ก็ยังหาใหม่ได้ ไม่ต้องกังวล…”
“นายมีพื้นฐานที่ดี ต้องมีอาจารย์สักคนยินดีรับไปเป็นลูกมือแน่…”
“สิ่งที่แม่อยากเห็นคือ ฉันกับนายมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่การตำหนิตัวเอง…”
จินนาทวนประโยคเหล่านี้ซ้ำหลายหน จนกระทั่งยูเลียนที่เสียพลังใจมากเกินไปจนแตกสลาย เริ่มผ่อนคลายร่างกายลง พิงผนังข้างหน้าต่างแล้วผล็อยหลับไป
ในที่สุดเขาก็สงบลง
มองดูพี่ชายที่สีหน้าเริ่มคลายตัว ไม่ตื่นตระหนกหรือเจ็บปวดอีกต่อไป จินนาถอนหายใจอย่างเงียบงัน น้ำตาไหลรินโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น
หลังจากร้องไห้เงียบๆ สักพัก หญิงสาวลุกขึ้นยืน เดินไปทางเตียงของยูเลียน หยิบผ้าห่มขึ้นมา ห่มให้พี่ชายที่นอนพิงกำแพงอย่างทะนุถนอม
จัดการทั้งหมดเสร็จ เธอก็ลากสังขารกลับเข้าห้องด้านใน — ห้องนอนของจินนากับมารดา เอโลดี
จินนานอนลง เบิกตากว้างอย่างเหม่อลอย จ้องมองเพดานมืดๆ ที่สะท้อนแสงจันทร์อยู่เบาบาง
หญิงสาวนึกถึงคำสอนที่แม่พร่ำบอกเป็นระยะ แต่สุดท้ายก็นำมาใช้โน้มน้าวตัวเองไม่สำเร็จ
บางที นอกจากคนวาสนาดีเพียงส่วนน้อย ความมืดอาจเป็นฉากหลักของชีวิตคนเรา ส่วนแสงสว่างเป็นแค่ของประดับตกแต่ง
จินนาคว้าหมอนของแม่ขึ้นมา วางปิดหน้าตัวเองไว้ ร่างกายขยับไปในท่าต่างๆ เหมือนคนกำลังสะอื้น
ทำไม… ทำไมถึงมีแต่ความมืด ไม่มีแสงสว่างเลย?
ดวงอาทิตย์จะขึ้นอีกครั้งเมื่อไร?
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป ในที่สุดจินนาก็ผล็อยหลับด้วยความง่วงงุน
จนกระทั่งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงจากด้านนอก
เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตาที่บวมตุ่ย รีบร้อนเดินออกจากห้อง
ภาพที่เห็นคือยูเลียนกำลังปิ้งขนมปัง
เขามิได้แตกสลายหรือคลุ้มคลั่งเหมือนเมื่อคืน เพียงมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำอยู่
ริมฝีปากของจินนาเผยอเล็กน้อยสองสามวินาที สุดท้ายสิ่งที่เอ่ยออกมา กลับเป็นคำทักทายตามปกติ
“ทำไมถึงตื่นเช้านักล่ะ?”
ยูเลียนตอบอย่างเซื่องซึม
“เมื่อวานไม่ได้กินมื้อเย็น หิวจนตื่น”
“รออีกเดี๋ยวนะ ขนมปังปิ้งใกล้เสร็จแล้ว”
เห็นสภาพของพี่ชายแล้ว จินนาไม่เพียงไม่รู้สึกผ่อนคลาย กลับยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น
หากยูเลียนยังคงจิตใจแตกสลาย ร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดเหมือนเมื่อคืน แม้เธอจะรู้สึกแย่ กดดัน และสิ้นหวัง แต่เธอจะไม่กลัว
อย่างมากก็แค่ฝืนพาพี่ชายไปหาฟรังก้า รบกวนอีกฝ่ายให้รีบหา ‘นักจิตบำบัด’ ตัวจริงมารักษา
แต่ตอนนี้ หญิงสาวไม่แน่ใจว่ายูเลียนฟื้นตัวอย่างแท้จริง หรือดูปกติแค่ภายนอก
บางปัญหาหากไม่ได้รับการแก้ไข สั่งสมอยู่ในใจเป็นเวลานาน เมื่อถึงเวลาปะทุออกมา ก็อาจกลายเป็นอันตรายถึงชีวิต!
จินนาหวั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากตนกินมื้อเช้าเสร็จ จะได้เห็นพี่ชายฉวยโอกาสทีเผลอ กระโดดตึกฆ่าตัวตายตามแม่ไป
เธอสังเกตยูเลียนอย่างจริงจังพักหนึ่ง พบว่าอาการแตกสลายฟูมฟายหายไปแล้ว แต่จิตใจยังไม่ฟื้นตัวกลับเป็นปกติ
ขณะยูเลียนตระเตรียมมื้อเช้า ท่าทางของเขาดูคล่องแคล่ว ทะมัดทะแมง ไม่พบปัญหาในจุดใด แต่เมื่อเข้าสู่การสนทนาโต้ตอบ กลับแสดงอาการเซื่องซึม เฉื่อยชา ตอบสนองช้า
นี่ทำให้จินนายิ่งมั่นใจ ว่าพี่ชายฝืนข่มอาการแตกสลาย และคอยกดความคิด กดจิตวิญญาณตัวเองเอาไว้
เฮ้อ… ยังไงก็ต้องพาไปหา ‘นักจิตบำบัด’ ตัวจริงให้ได้… หมอกควันอีกชั้นก่อตัวในแววตาของจินนา
ไม่นานนัก ยูเลียนก็ปิ้งขนมปังเสร็จ ไปซื้อนมกระป๋องที่ยังค่อนข้างสดใหม่จากแผงลอยข้างถนน
จินนากินมื้อเช้าอย่างไร้รสชาติ พลางแอบมองพี่ชายและทำเป็นพูดผ่านๆ
“เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับ รู้สึกเครียดมาก อยากไปพบนักจิตบำบัด นายก็ดูไม่ต่างกัน ไปด้วยกันเลยไหม?”
ยูเลียนตอบกลับหลังจากผ่านไปสองวินาที
“ฉันต้องไปหางาน”
ความโศกเศร้าอย่างแรงกล้า ปะทุภายในใจจินนาอีกครั้ง
พี่ชายไม่ได้ถามถึงรายละเอียดการไปพบ ‘นักจิตบำบัด’ เลย
ชาวเมืองที่อาศัยในย่านนี้ กระทั่งจะไปหาหมอที่คลินิกก็ยังอิดออด ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงการไปพบ ‘นักจิตบำบัด’ เพราะสภาพจิตใจไม่ดี
ส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอาชีพ ‘นักจิตบำบัด’ และไม่คิดว่าตัวเองมีปัญหาทางจิตใจ
พอมาคิดว่าการนัดพบ ‘นักจิตบำบัด’ ตัวจริงอาจต้องนัดล่วงหน้า จินนาจึงไม่ได้บังคับ เพียงนึกสักพักแล้วพูดเชิงให้กำลังใจ
“ฉันว่าคราวนี้ นายเลือกนายจ้างกับอาจารย์ดีๆ ไปเลยดีกว่า การหางานไม่ได้ในสามถึงห้าวันถือเป็นเรื่องปกติ อาจต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งหนึ่งถึงสองเดือน”
“ถึงตอนนั้น เราสองคนต่างก็มีรายได้กันแล้ว ไม่แน่ว่าปีนี้อาจปิดยอดหนี้ได้หมด แต่ถ้าพึ่งแค่ฉันคนเดียว คงไม่มีทางแน่นอน รายได้ของนักร้องใต้ดินไม่คงที่ ไม่รู้ว่าจะเสื่อมความนิยมเมื่อไร”
จินนาพูดแบบนี้ด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่ง เพื่อลดแรงกดดันของพี่ชาย เผื่อว่ายูเลียนหางานไม่ได้สักที จะได้ไม่ถูกกระตุ้นจนจิตใจแตกสลายไปอีก สอง เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของพี่ชาย สื่อว่าถ้ามีแค่น้องสาวคนเดียวคงอยู่ไม่ได้ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีประโยชน์ ใช้ความรับผิดชอบมาค้ำจุนเจตจำนงในการดำรงชีวิต ป้องกันมิให้ยูเลียนฆ่าตัวตายกะทันหัน
เมื่อวานจินนาไม่ทันคิดถึงรายละเอียดเหล่านี้ แต่วันนี้เธอบังเอิญนึกขึ้นมาได้
ผ่านไปสักพัก จินนาที่ยังคงเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ตัดสินใจออกจากบ้านเลขที่ 17 ถนนปลาสเตอร์ มุ่งหน้าไปยังถนนนักบุญเกอร์ที่อยู่ไม่ไกล
เธออยากค่อยๆ เดินไปให้ถึงถนนเสื้อนอกขาว พอดีกับเวลาที่ฟรังก้าตื่นนอน เพื่อขอให้อีกฝ่ายช่วยนัด ‘นักจิตบำบัด’ ตัวจริงให้
ขณะเดินผ่านทางแยกอย่างเหม่อลอย จินนากวาดตามองเรื่อยเปื่อย จนเห็นพาดหัวข่าวบนหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งบนแผงขายด้านข้าง
“สส. ฮิวจ์·อาร์ทัวส์เน้นย้ำให้จัดการเหตุระเบิด ณ โรงงานเคมีโกลด์ไวร์อย่างเป็นธรรม”
ข้อความเหล่านี้ดึงดูดใจจินนาอย่างยิ่ง จิตสำนึกจึงสั่งให้เดินเข้าไปใกล้ หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวขึ้นมาอ่าน
“…ฮิวจ์·อาร์ทัวส์สส. ใหม่ป้ายแดงของเขตตลาด มองว่าไม่ควรใส่ร้ายเจ้าของโรงงานเพียงเพราะอุบัติเหตุครั้งเดียว และไม่ควรปล่อยให้เจ้าของโรงงานที่สร้างงานและภาษีจำนวนมากให้แก่ประเทศ ต้องตกที่นั่งลำบากเพียงเพราะอุบัติเหตุหนึ่งครั้ง จนถึงกับต้องยื่นขอล้มละลาย ซึ่งจะนำไปสู่การปิดกิจการและการว่างงานจำนวนมาก ก่อให้เกิดการประท้วงและความวุ่นวายรอบใหม่”
“ฮิวจ์·อาร์ทัวส์กล่าวว่า เขายังไม่ลืมผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการระเบิด โดยจะหาลู่ทางก่อตั้งกองทุนสาธารณะใหม่ เพื่อช่วยเจ้าของโรงงานจ่ายเงินเยียวยาบางส่วน รวมถึงช่วยให้โรงงานยังดำเนินกิจการต่อไปได้ บีบให้เจ้าของโรงงานต้องไถ่โทษด้วยการสร้างงานให้มากขึ้น จ่ายภาษีให้มากขึ้น”
“เขายังกล่าวด้วยว่า ตนจะเสนอญัตติในสภา เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมให้กลุ่มผู้ประกอบการ ช่วยให้ไล่คนงานและพนักงานไร้คุณภาพออกได้ง่ายขึ้น ปรับให้ค่าชดเชยให้สมเหตุสมผลมากขึ้น…”
ไหล่ทั้งสองข้างจินนาเริ่มสั่นโดยปริยาย
หญิงสาวหัวเราะร่า หัวเราะจนตัวสั่น อยู่นานจนหยุดไม่ได้
ผ่านไปสักพัก เธอวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินต่อ
รู้ตัวอีกที จินนาเดินมาถึงถนนนักบุญเกอร์ มาถึงโรงงานเคมีโกลด์ไวร์ที่ส่วนใหญ่กลายเป็นซากปรักหักพัง
มองถังโลหะใบใหญ่ที่พังยับเยิน เธอนึกถึงแม่เอโลดีขึ้นมาอีกครั้ง
จินนาเดินเข้าไปเรื่อยๆ ตรงเข้าหาวัตถุที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์นั่น
ไม่กี่นาทีถัดมา สายตาของหญิงสาวที่ยังคงพร่ามัว แลเห็นใบหน้าที่แปลกตาแต่ก็ค่อนข้างคุ้นเคย
อีกฝ่ายคือสตรีในชุดกระโปรงเก่าคร่ำคร่า เธอพูดกับจินนาว่า
“เร็วเข้า ไปที่ถนนใหญ่ตลาดกัน ท่านสส. กำลังจะเลี้ยงอาหารปลอบขวัญ เชิญพวกเราไปด้วย บางทีอาจจะมีอะไรให้แย่งชิงก็ได้!”
ผู้หญิงคนนั้นรีบพยักหน้า
“ใช่! แม่ของเธอก็บาดเจ็บจากเหตุระเบิดด้วยไม่ใช่หรือ? ลืมไปแล้วสินะ เราเคยเจอกันที่ห้องพักคนไข้ไง?”
“เมื่อสักครึ่งชั่วโมงก่อน ท่านสส. เพิ่งไปโรงพยาบาล อีกสักครู่ก็จะเริ่มเลี้ยงอาหารปลอบขวัญแล้ว!”
“ฮิวจ์·อาร์ทัวส์?” จินนาถามตามจิตใต้สำนึก
“ใช่! ใช่แล้ว ชื่อนั้นแหละ” ผู้หญิงคนนั้นคว้าแขนของจินนา พาเธอที่ยังคงงุนงงอยู่บ้าง รีบร้อนไปยังสำนักงานสส. บนถนนใหญ่ตลาด
ครึ่งชั่วโมงถัดมา ทั้งสองมาถึงอาคารสี่ชั้นสีดินเหลือง
ผู้คนมากหน้าหลายตา แต่งกายในชุดที่บอกได้ว่าเป็นคนจน กำลังต่อแถวรอรับการตรวจเพื่อเข้าไปในห้องโถง
วันนี้จินนาใส่กระโปรงยาวเรียบง่าย สีเทาอมน้ำเงิน ปล่อยผมตามธรรมชาติ ไม่ได้แต่งหน้าทาปาก
หญิงสาวเดินไปต่อหลังแถว ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าทีละนิด
ผ่านไปเกือบสิบห้านาที ในที่สุดก็ถึงคิวของเธอ
หญิงสาวในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มเริ่มตรวจสอบศีรษะของจินนา ไปจนถึงรองเท้าบูต
หลังจากยืนยันว่าเธอไม่ได้พกพาสิ่งของอันตราย พวกเขาปล่อยให้จินนาเข้าไปลงทะเบียน ยืนยันตัวตน และเข้าไปในห้องโถงจัดเลี้ยง
…………
โรงแรมระกาทอง ห้อง 207
ลูเมี่ยนมองฟรังก้าที่มาโผล่หน้าประตู พูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจอยู่บ้าง
“วันนี้ก็แต่เช้าอีกแล้วนะ”
ฟรังก้ายังคงแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสตรี กางเกงขายาวสีอ่อน และรองเท้าบูตสีแดง แต่เป็นคนละชุดกับเมื่อวาน
เธอส่งเสียง ‘เฮอะ’ แล้วพูด
“พอดีไม่ค่อยสบายใจน่ะ กลัวว่าคุณกับจินนาจะทำทีเป็นรับปาก แต่พอหันหลังให้ก็แอบไปลอบสังหารเลขาโรแนลับหลังฉัน”
“ในสายตาคุณ ผมเป็นคนใจร้อนขนาดนั้นเชียว?” ลูเมี่ยนย้อนถาม
“ใช่” ฟรังก้าตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
เธอถึงกับอยากเติมคำว่า ‘ที่สุด’ ต่อท้ายเพื่อบรรยายเสริม แต่พอนึกถึงคนรู้จักที่เป็น ‘ผู้บันดาลโทสะ’ แถวเมืองชายทะเล ก็รู้สึกว่าลูเมี่ยนยังไม่ถึงขั้นนั้น
หญิงสาวถอนหายใจพลางกล่าว
“ในเมื่อแม้แต่คุณยังไม่ผลีผลาม ทางจินนาก็คงไม่มีปัญหา… ฉันว่าจะไปหาเธอสักหน่อย ดูว่าพอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง”
เสียงของฟรังก้าเพิ่งจะเงียบไป เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังมาจากชั้นล่าง ตรงมาทางห้อง 207
ลูเมี่ยนกับฟรังก้าที่ยืนอยู่หน้าประตู หันศีรษะไปมองพร้อมกัน เห็นจินนาในชุดกระโปรงยาวเรียบง่ายสีเทาอมน้ำเงิน ผมปล่อยยาว สีหน้าร้อนรน วิ่งเข้ามาพลางสะอื้นพูด
“พี่ชายฉัน… พี่ชายฉันเป็นบ้าไปแล้ว! เขาเป็นบ้าไปแล้ว…”
……………………………………………………..