ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 217 การรับรอ
ตอนที่ 217 การรับรอง
วิหารนักบุญโรแบร์ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟไอน้ำซูสิต เป็นมหาวิหารของศาสนจักร ‘สุริยันเจิดจรัส’ ในเขตตลาดคนซื่อ
วิหารมีหลังคาทรงหัวหอมกลมทั่วไป ผิวด้านบนทาสีทองอันเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ ด้านล่างเป็นอาคารสีขาวขอบทองและตราศักดิ์สิทธิ์สุริยันอันใหญ่
ติดกันมีหอระฆังที่ใช้ลูกบอลสีทองเป็นหลังคาเช่นกัน
เห็นจินนาเดินตามฝูงชนเข้าไปในวิหารเพื่อสวดมนต์ยามเช้า ฟรังก้าจึงเลือกที่จะรออยู่ใกล้ๆ
เธอไม่แน่ใจว่าวิหารของศาสนจักร ‘สุริยันเจิดจรัส’ จะวางกับดักเอาไว้หรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ ‘การพรางตัว’ ของเธอหมดประสิทธิภาพ จึงต้องระมัดระวังสักหน่อย
เฉกเช่นวิหารอื่นของศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส วิหารนักบุญโรแบร์ก็ใช้สีทองเป็นพื้น มีแผ่นทองฝังอยู่ทุกที่ ผสานกับกระจกสีสดใส ภาพจิตรกรรมฝาผนังผืนใหญ่กระจายอยู่ทั่วที่ว่าง รูปนักบุญที่เรียงด้วยสีฟ้า เขียว แดง และพื้นที่โถงสูงกว้างขวาง ทำให้เหล่าผู้ศรัทธารับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ จนต้องก้มหัวลงอย่างสำรวม และกลายเป็นผู้ศรัทธาอย่างลึกซึ้ง
จินนาเดินมาที่ด้านหน้าแท่นบูชา เลือกนั่งแถวที่สอง
เธอหลับตาลงทันที ก้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย และไขว้แขนทั้งสองข้างไว้บนอก
ในฐานะผู้เคยผ่านศีลล้างบาป เข้าออกวิหาร ‘สุริยันเจิดจรัส’ มาตั้งแต่เด็ก แม้เธอจะไม่ถือว่าเป็นผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้า แต่ก็คุ้นเคยกับขั้นตอนเหล่านี้ดี เพียงไม่นานก็ขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป สวดวิงวอนอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ
บทเทศนาของบิชอปทำให้เวลาดูเหมือนหยุดนิ่งอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้
หลังจากผ่านไปเกือบสิบห้านาที จินนาลืมตาขึ้น ลุกขึ้นอย่างเงียบงัน แล้วเดินไปทางโต๊ะยาวด้านข้างห้องโถง
โต๊ะยาวดังกล่าว ยาวราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบเมตร บนนั้นวางเทียนขาวสูงประมาณนิ้วมือ ปักอยู่ในโคมไฟสีทองที่แตกต่างกัน เปลวไฟกะพริบอย่างเงียบงัน
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ศรัทธาต้องการขอบคุณ หรือสรรเสริญนักบุญ หรือเทวทูตสักองค์ ก็สามารถซื้อเทียนได้จากคนของวิหารที่ยืนข้างโต๊ะยาว จุดไฟแล้ววางไว้ในโคมไฟที่ยังว่าง
จินนามองเปลวเทียนที่กะพริบวูบวาบอยู่สองสามวินาที ก่อนเลื่อนสายตาไปหาคนของวิหาร ผู้สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวปักด้ายทอง
ชายคนดังกล่าว อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ผมสีบลอนด์หวีเรียบ โรยแป้งเล็กน้อย นัยน์ตาสีฟ้ากว่าน้ำในทะเลสาบ แต่ค่อนข้างเล็ก
เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีเหลือง และเสื้อนอกผ้าทวีดสีน้ำเงินที่ติดกระดุมทองสองเม็ด และเฉกเช่นบุรุษที่พอจะมีสถานะทางสังคมอยู่บ้างในทรีอาร์ มีร่องรอยการแต่งหน้าอย่างชัดเจน
รอจนกระทั่งชายคนดังกล่าวถือเทียนเดินไปที่โคมไฟว่าง จินนาจึงเข้าไปใกล้คนของวิหารที่สวมชุดสีขาวปักด้ายทอง กางแขนทั้งสองข้างแล้วกล่าว
“สุริยันจงเจริญ!”
“สุริยันจงเจริญ!” คนของวิหารตอบกลับมา ด้วยท่าทีอ่อนโยนและรอยยิ้มอบอุ่น
จินนาลังเลใจอยู่สองวินาทีก่อนจะพูด
“ฉันอยากได้สร้อยคอที่อวยพรแล้ว”
เมื่อเทียบกับการซื้อเทียน นี่เป็นการกระทำที่ศรัทธามากกว่า
แน่นอนว่า ราคาก็แพงกว่าด้วย
คนของวิหารยิ้มอย่างเป็นกันเองยิ่งขึ้น
“พี่น้องหญิง สร้อยเส้นนี้เป็นอย่างไร?”
เขาหยิบสร้อยคอทองคำที่ห้อยจี้รูปวิหคสุริยันออกจากกลุ่มเทียนขาวที่ยังไม่ได้ขาย
ตรงตำแหน่งดวงตาของวิหคสุริยันยังฝังอัญมณีสีแดงเข้มสองเม็ด
เช่นเดียวกับที่เรียกผู้ชายศาสนาเดียวกันว่า ‘พี่น้อง’ ศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสก็เรียกสาวกฝ่ายผู้หญิงว่า ‘พี่น้องหญิง’ แม่ชีบางคนยังรวมตัวกันเป็น ‘ภราดรภาพเก้าพี่น้องหญิง’ และเป็นพันธมิตรกับ ‘ภราดรภาพน้อย’
จินนามีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าสร้อยนี้ต้องแพงอย่างแน่นอน ราวกับได้ยินเสียงกระเป๋าสตางค์กำลังร่ำไห้
หลังจากเลือกอย่างพิถีพิถัน ในที่สุดหญิงสาวก็ซื้อเครื่องรางที่มีตราศักดิ์สิทธิ์รูปสุริยันขนาดเล็กที่ดูเรียบง่ายกว่า
นี่ทำให้เธอเสียเงินไปถึงสามสิบเฟลคินเต็ม ภายในใจเจ็บปวดยิ่งนัก
แม้ว่าจินนาจะได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างสูงในหมู่นักร้องใต้ดินของเขตตลาด แต่เธอเพิ่งเริ่มได้รับความนิยมเมื่อเดือนที่แล้วเอง ก่อนหน้านี้ เงินที่หามาได้เพียงพอแค่สำหรับจ่ายค่าเช่าบ้าน กินอิ่ม ซื้อชุดแสดงและอุปกรณ์แต่งหน้าโดยไม่ต้องขอเงินจากที่บ้าน
แม้ว่าตอนนี้เธอจะมีรายได้เกือบสามร้อยเฟลคินต่อเดือน ซ้ำยังเป็นงานเสริม แต่เธอกลับไม่รู้สึกว่าฐานะการเงินดีขึ้นเลย เพราะยังต้องออมเงินค่าเล่าเรียนสำหรับปีหน้า ไม่อยากให้แม่ต้องกังวล และยังอยากช่วยแบ่งเบาภาระหนี้สินของครอบครัวอีกส่วนหนึ่ง
สวมเครื่องรางนั้นแล้ว จินนาสูดหายใจยาว ออกจากวิหารนักบุญโรแบร์ เข้าไปในโรงละครกรงพิราบเก่าก่อนเก้าโมงเช้า
ห้องเรียนของนักแสดงฝึกหัดอยู่บนชั้นสอง เธอเดินผ่านไปตลอดทาง ผ่านห้องทำงานของผู้จัดการ
ห้องดังกล่าวปิดประตูสนิท ไมป์·ไมเออร์คงยังไม่มาถึงโรงละคร
หนีไปแล้วจริงๆ ? จินนาละสายตากลับมา เดินต่อไปข้างหน้า
ไม่นานนัก เธอผ่านห้องพักส่วนตัวของนางเอกสาวคนดัง ชาร์ล็อตต์·คัลวิโน
ที่นี่ก็ล็อกประตูเช่นกัน
จินนาถอนหายใจเงียบงัน ยืดอกเชิดหน้า เดินเข้าไปในห้องเรียน
เธอมาค่อนข้างสาย กัสปาร์ ครูสอนการแสดงคนแรกของวันนี้ได้มาถึงแล้ว กำลังตอบคำถามส่วนตัวของเด็กฝึกคนหนึ่ง
เขาเป็นชายวัยกลางคนใจเย็น แต่บนเวทีก็สามารถรับบทพระเอกหนุ่มเจ้าสำราญได้เช่นกัน
…………
ณ ส่วนลึกของทรีอาร์ใต้ดิน ในโพรงที่เต็มไปด้วยซากกิ่งไม้และเถาวัลย์
ตรงกลางของที่นี่มีรอยยุบลงไป ดินโคลนยุ่งเหยิง มองเห็นร่องรอยการเสียดสีอย่างคลุมเครือ ไม่รู้ว่านำไปสู่หนแห่งใด
อ็องกูแลม·เดอ·ฟรองซัวตามพระคาร์ดินัลเข้ามา ยืนอยู่ริมขอบ สีหน้าค่อนข้างอึดอัดใจขณะจ้องมองทุกสิ่งตรงหน้า
พวกหนูสกปรกนั่นย้ายหนีอีกแล้ว!
อ็องกูแลมได้รับสัญญาณจากพระคาร์ดินัล จึงชักดาบยาวสีทองที่ดูคล้ายควบแน่นจากแสง แต่ก็ดูจริง ออกจากหัวหุ่นยนต์สีเทาขาวที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เพียงดาบเล่มดังกล่าวปักลงดิน กิ่งไม้และเถาวัลย์ที่เขียวชอุ่มหรือเหี่ยวแห้ง ก็ลุกไหม้ไปทั้งหมด แต่ไม่มีควันดำลอยโชย
เมื่อสิ่งกีดขวางเหล่านี้หายไป รูปลักษณ์แท้จริงของพื้นดิน ผนังหิน และเพดานถ้ำก็ปรากฏสู่สายตาอ็องกูแลมกับคนที่เหลือ
งูหลายร้อยหลายพันตัวที่เย็นลื่นรัดพันกันไปมา ผสมพันธุ์กันอย่างบ้าคลั่ง หนูสีเทานับไม่ถ้วนกัดกันเองไม่ยอมถอย สู้กันจนตาย แมลงหลากชนิดกินใบไม้และดินอย่างสุดชีวิต จนกระทั่งท้องแตก…
…………
หลังจากพบว่าตำรวจในชุดพลเรือนปิดล้อมโรงละครกรงพิราบเก่าอย่างเงียบเชียบ ฟรังก้าออกจากตึกสามชั้นสีอิฐแดงนี้ ซ่อนตัวอยู่ในตรอกด้านข้าง คอยสังเกตสถานการณ์จากชั้นสอง
คาบแรกของวิชาการแสดงใกล้จบแล้ว จินนาพบว่าไมป์·ไมเออร์ที่ชอบเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องเรียน วันนี้ไม่ได้ปรากฏตัว
ถัดมา ตำรวจในชุดดำสองสามนายที่ถือรายชื่อในมือ ก็เดินเข้ามา
หัวหน้ากลุ่มหยุดการเรียนการสอน พูดกับทุกคนในห้อง
“ไมป์·ไมเออร์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นสาวกนอกรีตของลัทธิมาร ทางเราจำเป็นต้องยืนยันความเชื่อของพวกคุณ”
เสียงสูดปากและเสียงร้องอุทานดังขึ้น สถานการณ์วุ่นวายไประยะหนึ่ง
“เงียบ!” หัวหน้าตำรวจตะโกนหนึ่งคำ “ใครที่ผมเรียกชื่อ ให้เดินมาเซ็นหนังสือรับรอง สิ่งนี้จะเป็นพยานต่อพระเจ้า ไม่มีใครสามารถโกหกได้”
ยืนยันความเชื่อ… หัวใจของจินนาที่เอ่อมาถึงคอแล้ว ไหลย้อนกลับไปอย่างผ่อนคลาย
ครูและนักแสดงฝึกหัดภายในห้อง เดินไปข้างหน้าทีละคน รับหนังสือรับรองจากมือตำรวจคนหนึ่ง กรอกความเชื่อของตน และเซ็นชื่อให้สอดคล้องกัน
ไม่นาน จินนาก็ได้ยินชื่อของตัวเอง
“เชเลีย·เบลโล”
เธอเดินไปอย่างมั่นคง รับหนังสือรับรองและปากกาหมึกซึมสีแดง
เนื้อหาในหนังสือรับรองคือ
“ข้าพเจ้าขอสัญญาว่า จวบจนปัจจุบัน ข้าพเจ้ายังคงเชื่อใน () ไม่เคยแปรเปลี่ยน”
“ผู้ให้สัญญา ()”
“ผู้รับรอง ()”
จินนากรอก ‘สุริยันเจิดจรัส’ และ ‘เชเลีย·เบลโล’ ลงในวงเล็บสองวงแรกตามลำดับ ส่งหนังสือรับรองและปากกาหมึกซึมคืนให้ตำรวจ
หลังจากนักแสดงและเด็กฝึกทุกคนเซ็นหนังสือรับรองเสร็จ พวกเขาถูกร้องขอให้อยู่ในห้องเรียนและห้องซ้อม ไม่สามารถออกไปไหน รอฟังประกาศถัดไป
…………
ในห้องทำงานผู้จัดการที่เดิมเป็นของไมป์·ไมเออร์ หนังสือรับรองหลายฉบับถูกรวบรวมมาที่นี่
ผู้วิเศษสองสามคนที่สังกัดศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส ผลัดกันถือปากกาหมึกซึมทองคำบริสุทธิ์ เขียนอักษรย่อ ‘D.E.’ ลงในช่องผู้รับรอง
ดูเหมือนพวกเขาใช้หมึกสีแดง สีสันสดใสเหมือนเลือด
ทุกครั้งที่หนังสือรับรองถูกกรอกข้อมูลครบถ้วน ก็จะเปล่งประกายสีทองวาบหนึ่ง ก่อนจะกลับคืนสภาพเดิม
ระหว่างกระบวนการ บางครั้งหนังสือรับรองของใครสักคนก็ปะทุแสงสีเลือดอันน่าขนลุก และมักมาพร้อมเสียงร้องโหยหวนชวนสยองขวัญจากชั้นเดียวกัน
— แม้นักแสดงและเด็กฝึกบางคนจะใช้ชื่อปลอม แต่ก็เป็นชื่อปลอมที่ใช้มาเนิ่นนาน คนรอบข้างรู้จักกันดี มีความเชื่อมโยงทางศาสตร์ลึกลับประมาณหนึ่ง
…………
โรงแรมระกาทอง ห้อง 504
ชาร์ลีพลิกไปพลิกมาแต่ก็นอนไม่หลับ แม้ว่าจะเหนื่อยมากแล้วก็ตาม
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ตุบๆๆ
“ใครครับ?” ชาร์ลีทำตัวเหมือนกระต่ายตื่นตูม รีบลุกพรวดขึ้นมานั่ง ตะโกนถามเสียงดัง
“อ็องกูแลม·เดอ·ฟรองซัว” บุคคลด้านนอกประตูกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและน่าเชื่อถือ
ชาร์ลีนึกถึงสุภาพบุรุษที่เคยสอบปากคำตนในคดีการตายของคุณนายอลิซ จึงรีบปีนลงจากเตียง เปิดประตูห้อง
บุคคลที่ยืนอยู่ข้างนอก คืออ็องกูแลมผมบลอนด์ คิ้วบลอนด์ เคราบลอนด์ กับอิมเรผู้มีเชื้อสายจากทวีปใต้ ผิวเข้มปานแทน ริมฝีปากหนา
“มิสเตอร์ฟรองซัว มีอะไรหรือครับ?” ชาร์ลีถามอย่างระวังปาก
ขณะเดียวกัน ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว
อ็องกูแลมไม่ตอบในทันที เดินเข้ามาในห้องชาร์ลี ส่งสัญญาณให้อิมเรปิดประตูไม้
เขามองไปรอบห้องแล้วพูด
“ข่าวร้าย ซูซานนา·มาติสยังไม่ถูกกวาดล้าง เธออาจจะมาหาคุณเมื่อไรก็ได้”
ชาร์ลีไม่เก็บซ่อนความผิดหวัง เจ็บปวด สับสน และหวาดกลัวของตน
“แล้วผมต้องทำยังไงดี…”
อ็องกูแลมพยักหน้าเบาๆ
“แต่ก็มีข่าวดีเช่นกัน ทางเราวางแผนจะมอบงานฝ่ายพลเรือนให้คุณ อยู่ภายใต้องค์กรของเรา ซึ่งจะทำให้เราปกป้องคุณได้ง่ายขึ้น”
“ค่าจ้าง 320 เฟลคินต่อเดือน รวมค่าชดเชยสำหรับปกปิดความลับ ในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนแรก คุณจะต้องเข้ารับหลักสูตรภาษาอินทิสเข้มข้น ถือเป็นช่วงทดลองงาน ได้รับ 200 เฟลคินเท่านั้น เมื่อผ่านการประเมินแล้ว ก็จะได้บรรจุเป็นพนักงานประจำ”
“คุณสนใจไหม? ทางเราไม่บังคับ”
เดือนละ 320 เฟลคิน? แถมยังปกป้องเราได้ง่ายขึ้น? ในหัวของชาร์ลีเหลือเพียงสองประโยคดังกล่าว โดยเชื่อว่าไม่มีคนปกติคนใด ตอบปฏิเสธโอกาสทองเช่นนี้แน่
เขามองว่าแม้แต่งานเด็กเสิร์ฟที่ได้ค่าจ้างแค่แปดสิบเฟลคินต่อเดือน ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!
ชาร์ลีนึกถึงคำบอกใบ้ของชาร์ลและฟรังก้า จึงตอบกลับด้วยความตกใจปนยินดี
“ไม่มีปัญหา!”
…………
ที่หน้าต่างห้อง 207 ลูเมี่ยนยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้ มองชาร์ลีตามชายแปลกหน้าสองคนเดินไปทางถนนใหญ่ตลาด
เด็กหนุ่มจดจ่อสมาธิ อ่านดวงชะตาของชาร์ลี แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด
นี่แสดงว่าสองคนนั้นมิใช่ ‘นักแสดง’ ที่เอามือซุกหีบ!
สายตาของลูเมี่ยนย้ายไปยังบุรุษผมบลอนด์ อยากเห็นว่าผู้วิเศษทางการจะมีดวงชะตาเป็นเช่นไร
ทันใดนั้น ลางสังหรณ์อันตรายของเด็กหนุ่มแจ้งเตือนอย่างสุดโต่ง จึงรีบย่อตัวนั่งยอง
อ็องกูแลมหันหน้ากลับมาทันที มองไปยังหน้าต่างแต่ละบานของโรงแรมระกาทองใบหน้ากังขา
เขาสัมผัสได้ว่า มีคนกำลังจดจ้องตน
…………………………………………………….